ธารีรัตน์ เลาหบุตร และ Miroslav Nozina เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพ
‘สาธารณรัฐเช็ก’ เชื่อได้ว่าหากพูดถึงประเทศนี้แล้ว ปัจจุบันคนไทยจำนวนหนึ่งยังอาจไม่รู้จักประเทศนี้ว่ามีอะไรโดดเด่นและมีความสำคัญอย่างไร โดยเฉพาะในบริบทของความสำคัญต่อประเทศไทย ในทางกลับกัน ก็เป็นเรื่องน่ายินดีและน่าประหลาดใจที่ประเทศไทยกลับเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปของชาวเช็ก ทุกครั้งที่ผู้เขียนแนะนำตัวเองว่ามาจากประเทศไทย ผู้คนจะตื่นเต้นและตอบสนองกลับมาในทางที่ดีเสมอ
สำหรับชาวเช็กนั้น ประเทศไทยเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมให้เป็นหนึ่งในประเทศนอกภูมิภาคยุโรปที่ชาวเช็กอยากเดินทางมาท่องเที่ยวมากเป็นอันดับต้นๆ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยต้องจัดตั้งสำนักงานขึ้น ณ กรุงปราก เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก ในปี 2016 เพื่อประชาสัมพันธ์และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐเช็กและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก
สถิติจำนวนนักท่องเที่ยวจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ล่าสุดในปี 2019 พบว่ามีนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยกว่า 85,000 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2018 กว่าร้อยละ 16
ในโอกาสที่ผู้เขียนได้มีโอกาสมาศึกษาต่อปริญญาโท และได้ทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยที่สถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Institute of International Relations – IIR) ณ กรุงปราก ซึ่ง IIR เป็นสถาบันคลังสมอง (think tank) โดยทำหน้าที่เขียนร่างเสนอแนวทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศประจำปีให้กับกระทรวงการต่างประเทศของเช็ก จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้เขียนและวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของไทยและสาธารณรัฐเช็กตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และความสำคัญของเช็กต่อไทยในมิติด้านต่างๆ
หากมองอย่างผิวเผินแล้วทั้งสองประเทศนี้ไม่น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันได้ เนื่องด้วยภูมิประเทศที่ห่างไกลกันกว่า 8,000 กิโลเมตร และไม่มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน และประเทศไทยก็เพิ่งสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐเช็ก ในปี 1993 จึงอาจทำให้เข้าใจได้ว่าทั้งสองประเทศเพิ่งเริ่มต้นมีความร่วมมือและความสัมพันธ์ต่อกัน แต่แท้จริงแล้วทั้งสองประเทศมีความร่วมมือและความสัมพันธ์ต่อกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ไทยยังคงเป็นสยามและสาธารณรัฐเช็กยังคงเป็นสาธารณรัฐเชโกสโลวาเกีย เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว
จึงอยากชวนผู้อ่านย้อนเวลาทำความรู้จักสาธารณรัฐเช็กในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับไทย และความสำคัญของสาธารณรัฐเช็กในด้านเศรษฐกิจ
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์: สยาม-เชโกสโลวาเกีย
จากบันทึกเอกสารทางการทูตของเช็ก ผู้เขียนพบข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการ อาทิ บันทึกการเดินทางของชาวเช็ก ซึ่งทำให้ทราบว่าชาวเช็กคนแรกที่ได้เดินทางมาถึงและรู้จักสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่ง ณ ขณะนั้นเช็กยังคงเป็นอาณาจักรเช็กซึ่งปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ และปรากฏชัดเจนอีกครั้งว่ามีชาวเช็กเดินทางมายังสยาม ในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีทั้งบันทึกข้อความและภาพถ่ายต่างๆ อย่างละเอียด แต่อย่างไรก็ดี ณ ขณะนั้นเช็กถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งและอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (Austro-Hungarian Empire) แม้ว่าสยามและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จะมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการต่อกันตั้งแต่ปี 1865 แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์สยาม-เชโกสโลวาเกีย อย่างไรก็ตาม สำหรับเช็ก สยามไม่ใช่ดินแดนลึกลับที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน
ในปี 1918 เช็กได้รับเอกราชอีกครั้งหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้สถาปนาเป็นสาธารณรัฐเชโกสโลวาเกีย ความสัมพันธ์สยาม-เชโกสโลวาเกีย เริ่มต้นพัฒนาขึ้นอย่างไม่เป็นทางการในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จประภาสยุโรปเป็นการส่วนพระองค์ ในปี 1934 โดยพำนักที่สาธารณรัฐเชโกสโลวาเกียเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แต่เนื่องด้วยเป็นการเดินทางส่วนพระองค์จึงเพียงแจ้งให้เชโกสโลวาเกียทราบผ่านทางสถานทูตเท่านั้น เนื่องจากในปี 1932 สยามปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ด้วยประเด็นดังกล่าวทำให้เป็นข้อสังเกตว่า หลายประเทศมหาอำนาจในยุโรป อาทิ สหราชอาณาจักร แสดงทีท่าห่างเหินและไม่ได้ตอบรับสยามว่ายินดีที่จะต้อนรับการเยือนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นอกจากสาธารณรัฐเชโกสโลวาเกียจะให้การต้อนรับอย่างดีต่อการเยือนแล้ว ทางรัฐบาลยังเสนอเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด และใช้โอกาสดังกล่าวในการทำความรู้จักผู้นำระดับสูงของฝ่ายสยาม ทั้งในแวดวงการทหาร แวดวงทางการทูตและการต่างประเทศ และแวดวงทางการเงินและธุรกิจ นอกจากนี้ยังประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมที่โดดเด่นของเชโกสโลวาเกีย อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องแก้ว อุตสาหกรรมอาวุธและปืนใหญ่ และได้พาคณะเยี่ยมชมบริษัท Škoda Works ซึ่งเป็นบริษัทด้านวิศวกรรมที่โดนเด่นมากที่สุดของเชโกสโลวาเกีย ซึ่งผลิตและส่งออกเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิอุตสาหกรรมน้ำตาล เหมืองแร่ รวมถึงยังผลิตและส่งออกเครื่องจักรไอน้ำ ชิ้นส่วนราง รถราง รถไฟ และรถยนต์ รวมถึงการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์อีกด้วย
เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้สยามสามารถส่งออกสินค้า อาทิ ข้าว ยางสด ไม้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเทศ และเส้นใยธรรมชาติสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม มายังเชโกสโลวาเกียได้เป็นครั้งแรก ส่วนเชโกสวาเกียก็สามารถส่งออกสินค้า อาทิ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ กระดาษ สารเคลือบแก้ว เครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า เข้ามายังสยามได้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้บริษัท Škoda Works ยังสามารถขยายตลาดเข้ามาในสยามได้สำเร็จ และได้รับสัมปทานก่อสร้างจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นผู้ก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำตาล ที่จังหวัดลำปาง ซึ่งถูกสร้างเสร็จในปี 1937 แต่การขยายความร่วมมือระหว่างสยามต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากเชโกสโลวาเกียถูกเยอรมนียึดครองตั้งแต่ปี 1939
ความสัมพันธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยอุปสรรคและความแตกต่าง: จาก สยาม-เชโกสโลวาเกีย สู่ ไทย-สาธารณรัฐเช็ก
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าเชโกสโลวาเกียจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต แต่ก็ยังคงมีความพยายามที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับสยาม โดยขณะนั้นรัฐบาลคอมมิวนิสต์เห็นว่าสยามเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ สามารถเป็นตลาดทางเศรษฐกิจและประตูสู่ตลาดเอเชียให้กับเชโกสโลวาเกียได้ จึงพยายามเจรจาที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสยาม กระทั่งในเดือนตุลาคม ปี 1947 รัฐบาลสยามได้ตอบรับเบื้องต้นที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเชโกสโลวาเกีย แต่แล้วในเดือนพฤศจิกายน 1947 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (รัฐประหาร 2490) ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวระหว่างสองรัฐบาลหยุดชะงัก
นอกจากนี้ จากความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ในช่วงทศวรรษ 1950 ที่ลุกลามถึงคาบสมุทรอินโดจีน ในฐานะที่สยามเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา และต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้ความพยายามเจรจาอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 1951-1956 ของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ไม่เกิดผล และยังไม่สามารถสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันได้ จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามเวียดนามในเดือนมกราคม ปี 1973 ด้วยท่าทีที่ผ่อนปรนต่อคอมมิวนิสต์มากขึ้นของรัฐบาลไทย ทำให้ทั้งสองประเทศสามารถบรรลุข้อตกลง และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันได้ในเดือนพฤษภาคม ปี 1973 และผลักดันให้เกิดความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง จนสามารถลงนามข้อตกลงการค้า ไทย-เชโกสโลวาเกีย ได้ในปี 1978
แม้ว่าเชโกสโลวาเกียในอดีตและสาธารณรัฐเช็กในปัจจุบันจะเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมหลายสาขาในภูมิภาคยุโรป แต่เช็กไม่ได้ถือเป็นประเทศที่แสดงบทบาทนำทางการเมืองในเวทีระหว่างประเทศ จึงทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเช็กที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆ นอกภูมิภาคยุโรป ใช้ปัจจัยทางการค้าและเศรษฐกิจเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ รวมถึงความสัมพันธ์กับสยามและไทยด้วย
จริงอยู่ที่เชโกสโลวาเกียจะเริ่มต้นสานความสัมพันธ์กับสยามผ่านสถาบันกษัตริย์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจหรือความสงสัยได้ว่า การกระทำดังกล่าวนั้นอาจมีนัยยะทางการเมืองแอบแฝง แต่แท้จริงแล้ว ปัจจัยสำคัญในการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับสยามในเวลานั้น คือบริบททางการเมืองและเศรษฐกิจภายในของเช็ก กล่าวคือในช่วง 1918 – 1938 เป็นช่วงที่เช็กได้รับเอกราชอีกครั้ง และในฐานะประเทศสาธารณรัฐใหม่ เชโกสโลวาเกียมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศเอกราชใหม่ อีกทั้งยังจำเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ หากจะมีนัยยะแอบแฝงผู้เขียนเห็นว่า เป็นนัยยะที่เช็กได้ทำความรู้จักบริบททางประวัติศาสตร์ในอดีตของสยามผ่านบันทึกต่างๆ ในอดีตที่มีชาวเช็กเดินทางเข้ามาและทราบว่า สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่มีความสำคัญและส่งผลในเชิงสัญลักษณ์ต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงทางปกครองเป็นต้นมา พลวัตการเมืองภายในของไทยเกิดความเปลี่ยนแปลง แม้จะส่งผลให้บทบาทและสถานะทางอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในทางการเมืองลดลง แต่ในทางสังคม และความนิยมต่อสถาบันกษัตริย์นั้น เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัฐบาลทหาร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี 1957 ความนิยมดังกล่าวส่งผลทางอ้อมต่อบริบทการต่างประเทศ ซึ่งเป็นภาพปรากฏในสายตานานาชาติ ณ ขณะนั้น และก็เป็นที่รับรู้โดยทั่วว่าสถาบันกษัตริย์มีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย
ในอีกทางหนึ่งพลวัตรการเมืองของเช็กในขณะนั้น มีความคล้ายคลึงกับช่วงระหว่างปี 1918 -1938 เนื่องจากหลังการปฏิวัติกำมะหยี่ (Velvet Revolution) เช็กสถาปนาประเทศใหม่เป็นสาธารณรัฐเช็ก ในฐานะรัฐเอกราชใหม่จึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นลำดับแรกๆ ดังนั้นด้วยพลวัตทางการเมืองของทั้งสองประเทศ การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของ วาตซลัฟ ฮาเวล (Václav Havel) ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐเช็ก และได้เข้าพบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในปี 1994 จึงสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทโดยอ้อมของสถาบันกษัตริย์ไทย ในบริบทการต่างประเทศ ณ เวลาดังกล่าว ซึ่งการเยือนครั้งนี้นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองประเทศแล้ว ยังนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อาทิการลงนามข้อตกลงทางการค้าร่วมกัน (mutual trade agreement) ซึ่งช่วยลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทยและสาธารณรัฐเช็กมากยิ่งขึ้น ได้แก่ การเก็บภาษีซ้ำซ้อน นโยบายการปกป้องทางการลงทุน และสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ เป็นต้น
ที่สำคัญทั้งสองประเทศได้เริ่มต้นการเจรจาภายใต้กรอบความร่วมมือการค้าเสรีระหว่างกลุ่มประเทศยุโรปกลาง (the Central European Free Trade Association – CEFTA) และกลุ่มประเทศอาเซียน (the ASEAN European Free Trade Association – AFTA) ท้ายที่สุดในระหว่างการแถลงข่าว วาตซลัฟ ได้กล่าวปิดท้ายว่าการเยือนประเทศไทยครั้งนี้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ไทย-เช็กแน่นมากขึ้น และปรารถนาให้ประเทศทั้งสองเป็นประตูเชื่อมภูมิภาคของกันและกัน
ภายใต้การบริหารงานของ อันเดรย์ บาบิช (Andrej Babiš) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากยิ่งขึ้น โดยเมื่อต้นปี 2019 อันเดรย์ ได้เดินทางเยือนประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นทางการ ได้แก่ สิงคโปร์ และไทย โดยการเยือนประเทศไทยครั้งนี้ของอันเดรย์ ถือเป็นการเยือนประเทศไทยของผู้นำระดับสูงของเช็กเป็นครั้งแรก หลังจากการเยือนของวาตซลัฟ ตั้งแต่ปี 1994
อันเดรย์ ได้เข้าพบและหารือกับผู้นำระดับสูงของไทย อาทิ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งโดยภาพรวมทั้งสองประเทศ มุ่งเน้นที่จะขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยมีการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทย-เช็ก เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ แม้จะมีการหารือในประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ ความร่วมมือด้านการทหาร การถ่ายทอดความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านการศึกษาและการวิจัย และด้านการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี หัวใจสำคัญของความร่วมมือระหว่างไทยและสาธารณรัฐเช็กยังเป็นเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก ประเด็นอื่นๆ เป็นเพียงปัจจัยเสริมเพื่อที่จะใช้เพื่อเปิดโอกาส ให้มีการขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจให้ครอบคลุมในมิติต่างๆ มากขึ้นมากกว่า แม้ล่าสุดเช็กจะขยายความร่วมมือทางการทหารกับไทย แต่ผู้เขียนเห็นว่าการขยายความร่วมมือดังกล่าว เป็นเพียงความพยายามที่จะครอบคลุมผลประโยชน์ทางการค้าและเศรษฐกิจให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธ และผลิตเครื่องบินเพื่อส่งออกของเช็ก ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมส่งออกที่ทำรายได้สำคัญ
ปัจจุบันไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐเช็ก ด้วยมูลค่าการส่งออก ในปี 2562 มากกว่า 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สาธารณรัฐเช็กจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมการค้าขึ้น
รูปแบบความสัมพันธ์ไทย-เช็ก เป็นความสัมพันธ์แบบเน้นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก (economy-oriented relationship) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เช็กใช้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนใหญ่กับประเทศนอกกลุ่มสหภาพยุโรป แม้ปัจจุบันทั้งไทยและสาธารณรัฐเช็ก จะขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมด้านต่างๆ มากยิ่งขึ้น แต่การขยายความร่วมมือดังกล่าวไม่ใช่การพยายามเพิ่มบทบาททางการเมืองและความมั่นคงของเช็กในไทย ดังเช่นหลายประเทศตะวันตก อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี เป็นต้น และแม้ว่าเช็กจะเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งถือเป็นตัวแสดงต่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในทางการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ซึ่งจุดยืนทางการเมืองของสหภาพยุโรป จึงจะถือเป็นจุดยืนร่วมของประเทศสมาชิกซึ่งรวมถึงเช็กด้วย อย่างไรก็ดีหากพิจารณาเชิงลึกจะพบว่า แม้ว่าสาธารณรัฐเช็กจะเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป แต่ที่ผ่านมาเช็กไม่เคยหยิกยกประเด็นทางการเมืองหรือความมั่นคงเป็นประเด็นในการเจรจาหรือหารือ ในกรอบความสัมพันธ์ทวิภาคี (bilateral relationship) กับไทยแม้แต่ครั้งเดียว
จากประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสาธารณรัฐเช็ก และมิติในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ ทำให้ผู้เขียนไม่รู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมผู้คนโดยทั่วไปจึงไม่ได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สาธารณรัฐเช็ก ทั้งความห่างไกลทางภูมิศาสตร์ ความแตกต่างทางภูมิรัฐศาสตร์ในอดีต และบริบทการเมืองภายในของเช็กเองที่เพิ่งจะเริ่มมีเสถียรภาพหลังการปฏิวัติกำมะหยี่ ในปี 1989
ยิ่งไปกว่านั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสาธารณรัฐเช็กไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือแม้แต่พยายามที่จะสร้างบทบาทผ่านการใช้อำนาจอ่อน (soft power) เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ภาษา การศึกษา และการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย นอกจากการเน้นที่จะขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ความเป็นไปได้ที่สาธารณรัฐเช็กจะใช้อำนาจอ่อนกับประเทศนอกภูมิภาคยุโรปมีความเป็นไปได้น้อยถึงน้อยมาก อย่างไรก็ดีในอนาคตก็อาจมีความเป็นไปได้ที่สาธารณรัฐเช็กจะให้ความสำคัญกับการใช้อำนาจอ่อนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะทำให้สาธารณรัฐเช็กเป็นที่รู้จักกับผู้คนทั่วไปในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
สำหรับแวดวงอุตสาหกรรมของไทยแล้ว ด้วยการเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองของสาธารณรัฐเช็ก ทำให้ไทยจัดให้สาธารณรัฐเช็กอยู่ในกลุ่มประเทศนอกภูมิภาคเอเชีย ที่มีศักยภาพในด้านอุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดรัฐบาลไทยก็ได้ชักชวนให้ภาครัฐและเอกชนของสาธารณรัฐเช็กเข้ามาลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor – EEC) โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน
หมายเหตุ
ผู้เขียนขอขอบคุณ Dr. Miroslav Nožina ผู้เป็น supervisor ของผู้เขียนและเป็นนักวิจัยอาวุโส (senior researcher) ประจำศูนย์เพื่อความสัมพันธ์เอเชีย-ยุโรป (Centre for EU-Asia relationship) ณ IIR ที่ได้ให้คำแนะนำ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อมุมมองด้านการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสาธารณรัฐเช็ก ที่สำคัญที่สุดบทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยใช้หนังสือ Siam Undiscovered (เรื่องราวที่ยังไม่มีใครค้นพบในสยาม) เป็นฐานข้อมูลหลัก ซึ่ง Dr. Nožina เป็นหนึ่งในผู้เขียน ดังนั้นสำหรับผู้เขียนแล้วบทความชิ้นนี้ถือเป็นบทความร่วมกันระหว่างผู้เขียน และ Dr. Miroslav Nožina นักวิจัยอาวุโส ประจำศูนย์เพื่อความสัมพันธ์เอเชีย-ยุโรป สถาบันคลังสมอง IIR สาธารณรัฐเช็ก
อ้างอิง
– Baker, C., & Phongpaichit, P. (2009). A History of Thailand (2nd ed.). Cambridge University Press.
– Nož M, Šitler. J, Todorovová. J, Kučera. K, Pierre. A, Chitrabongs. C, Kroupa. K. J, and Fajfrová. J. Siam Undiscovered. Amarin Printing and Publishing Public Company Limited, 2004.
– Pramoolwong, P., & Ratanaruang, P. (2013). Bpra Chaa Tip Thai [Paradoxocracy]. Matichon Public Company Limited
– ข่าวเด่น: สรุปผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเช็ก
– การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสำเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ค.ศ 1933 – 34
– สถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ( International Tourist Arrivals to Thailand)