วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เรื่อง
วันนี้ คำพูดเท่ๆ ที่เรามักได้ยินบ่อยๆ แทบจะทุกวงการคือ ไทยแลนด์ 4.0
คนพูดหลายคนยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริง คนฟังก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องทำเป็นว่ารู้เรื่อง ตามกระแสสังคม หรือตามเห่อประเดี๋ยวประด๋าว
“กระแสสังคม” เปรียบไปก็เหมือนกับ “กระแสน้ำ” ผ่านมาเป็นระลอกคลื่นแล้วก็ผ่านไป
ตอนเป็นระลอกคลื่นผ่านมา มันดูน่าตื่นเต้น เพราะเป็นคลื่นกระเพื่อมอยู่เหนือน้ำอันราบเรียบ แต่พอผ่านไป เลิกเห่อกันแล้ว ไม่ค่อยมีใครสนใจ
หากการเห่อกระแสสังคมเป็นแค่แฟชั่น อาทิ เห่อสวมหมวก เห่อใส่กางเกงใต้เข็มขัด ก็พอจะเข้าใจได้
แต่คนไทยเห่อกระแสสังคมทุกเรื่อง โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาล อันนี้น่าเป็นห่วงมากกว่า
กระแสสังคมกับคนไทยเป็นของคู่กันมานานแล้ว
ผมจำผลของกระแสสังคมได้ชัดเจน ตอนปี พ.ศ. 2533 ภายหลังจากที่คุณสืบ นาคะเสถียรเสียชีวิตใหม่ๆ คนหันมาสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้น ตอนนั้นกระแสเรื่องสีเขียวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในภาครัฐและเอกชน สินค้า ผลิตภัณฑ์ในตลาด ต้องมีคำว่าสีเขียว ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ สบู่ ยาสีฟัน บะหมี่สำเร็จรูป รวมไปถึง ผ้าอนามัยของคุณผู้หญิง
แต่เป็นกระแสอยู่ได้ไม่นาน สีเขียวหรือความสนใจด้านอนุรักษ์ธรรมชาติก็จางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
จากนั้นสังคมไทยก็มีกระแสต่างๆ เข้ามาเป็นระยะ จนช่วงหลังมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ เมื่อสองสามปีก่อน ที่ประชาคมอาเซียนจะเปิดประตูเข้าหาใกล้ชิดกัน จะมีเศรษฐกิจเสรีเกิดขึ้น ก็เกิดกระแส ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน 2015
รัฐบาลรณรงค์ให้คนไทยตื่นตัว รู้จักประเทศเพื่อนบ้าน โรงเรียนทุกแห่งมีการสอนคำทักทายภาษาประเทศเพื่อนบ้าน และรู้จักธงชาติอาเซียน
รายการทีวีมีการนำเสนอ รู้จักประเทศอาเซียน กันทุกช่อง
มีการใช้งบประมาณมหาศาลโดยเฉพาะภาครัฐบาล กระทรวง กรม กองต่างๆ จัดงานอีเว้นท์ใหญ่โตเรื่องเกี่ยวกับอาเซียน ใครไม่จัดถือว่า KPI ไม่ผ่าน
ช่วงนั้นใครจะเสนอโครงการอะไร หากมีติ่งห้อยท้ายว่า อาเซียน 2015 เชื่อแน่ว่า จะได้รับการอนุมัติโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์เพื่ออาเซียน การศึกษาแบบอาเซียน ไปจนถึง วิ่งเพื่อสุขภาพอาเซียน
แต่พอหลังปี 2015 กระแสอาเซียนก็หายวับไปทันที หน่วยงานหรือรัฐบาลแทบจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย ทั้งๆ ที่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนยังคงเดินหน้าต่อไป
แต่ถึงบัดนี้คนไทยจำนวนมากยังงงๆ ไม่รู้เลยว่า เปิดประตูสู่อาเซียน 2015 คืออะไรกัน
จนล่าสุดคำว่า ไทยแลนด์ 4.0 กลายเป็นกระแสสังคมที่ได้รับความนิยมสูงสุด พูดกันและอ้างอิงกันทุกวงการ โดยเฉพาะราชการไทย
ช่วงนี้หน่วยงานใดจะเขียนโครงการอะไร ต้องมีติ่งหรือพ่วงคำว่าไทยแลนด์ 4.0 รับรองว่าโครงการผ่าน
ตอนนี้สถาบันต่างๆ ในแวดวงการศึกษา พาณิชย์ อุตสาหกรรม หรือการจัดอีเว้นท์ต่างๆ จะมีคำว่า ไทยแลนด์ 4.0 ต่อท้ายเสมอ
ถามว่า ไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร
หากพูดง่ายๆ ก็คือ แนวทางการปรับตัวของประเทศไทยที่เปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม การเกษตรก็ต้องเปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิม ไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการบริหารจัดการและใช้เทคโนโลยี เปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำไปสู่แรงงานที่มีความรู้และทักษะสูง
ฟังดูเป็นแนวคิดที่ก้าวหน้าและทันสมัยมาก
แต่ในทางปฏิบัติจะไปได้ก้าวหน้าเพียงใด เพราะเอาเข้าจริงหน่วยราชการไทยสนใจนโยบายนี้จริงจังแค่ไหน หรือสนใจแค่ว่า “นาย” มีนโยบายอะไร ต้องรับ “งับ” ให้ทัน เพื่อสนองนโยบาย “นาย” แบบเอาหน้าให้เห็นด้วย
ทุกวันนี้เห็นแต่ทุ่มเงินจัดอีเว้นท์ เชิญผู้ใหญ่ไปเปิดงาน จัดสัมมนาเรื่อง ไทยแลนด์ 4.0 “ทุกภาคส่วน” เพื่อ “จัดการความรู้” เพื่อ “การบูรณาการทุกภาคส่วน” รวมไปถึง “ถอดบทเรียน” และเกณฑ์ผู้คนมาเป็นแขกเหรื่อในงาน
พอเปิดเสร็จ ท่านประธานเดินดูนิทรรศการพอเป็นพิธี กลับไป งานก็แทบจะร้างผู้คน
คนไทยสนใจแต่คำใหญ่ๆ เท่ๆ เก๋ๆ แต่ไม่ค่อยจริงจังกับเนื้อหาข้างใน และกระบวนการที่จะไปถึงตรงนั้น
ดูตัวอย่างกรณีอูเบอร์กับรถแท็กซี่ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ราชการไทยปรับตัวเพียงใด
คนไทย หน่วยงานไทย ฮิตกับคำพูดเท่ๆ เก๋ๆ ตลอด ส่วนจะเข้าใจหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเดี๋ยวจะมีศัพท์ใหม่ๆ เป็นกระแสสังคม ตามเทรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตลอด
คำเก่าก็ลืมกันไป
หรือเปลี่ยนรัฐบาล ก็รอฟังว่า “นาย” คนใหม่ จะออกนโยบายอะไร นโยบายเก่าทิ้งลงถังขยะ
คนไทยจึงเก่งแต่จัดงานจัดอีเว้นท์ ส่วนคอนเท้นท์ช่างหัวมัน
ก็อยู่ๆ กันไป แบบ “ไทยแลนด์ 4.0”