อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
จนบัดนี้เป็นเวลาเกือบเดือนหนึ่งแล้ว ที่หลักหมุดประชาธิปไตย เสาหมุดรัฐธรรมนูญ หรือ หมุดคณะราษฎร สุดแท้แต่จะเรียกขานขนานนาม ซึ่งประดิษฐานปักตรึงอยู่กลางลานพระบรมรูปทรงม้ามาช้านานกว่า 80 ปี ได้อันตรธานสูญหายไปอย่างพิสดารพันลึก ทิ้งเป็นปริศนาให้ชาวบ้านราษฎรงวยงงสงสัย ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยพูดไม่ออกบอกไม่ถูก พะอืดพะอมกันถ้วนหน้า
ยิ่งคิดก็ยิ่งพิศวง
ขณะที่โลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 วิทยาศาสตร์ท้าทายพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ปัญญาลบล้างคติความเชื่อมากมายที่อยู่บนพื้นฐานของศรัทธาแต่โดยลำพัง มนุษย์กำลังไปดาวอังคาร แต่บ้านนี้เมืองนี้กลับยังเต็มไปด้วยเรื่องราวอันเหลือเชื่อเหนือเหตุผล
อยู่กันด้วยอภินิหารของกฎหมายโดยไม่แยแสสนใจอารยธรรมและความเป็นไปของโลก!
จะไม่เห็นเป็นเรื่องประหลาดพิสดารได้อย่างไร เพราะอย่าว่าแต่จะกระทำย่ำยีเลย แม้เพียงแค่คิด ผู้คนโดยทั่วไปคงไม่กล้าคิดกัน
เป็นหลักโฉนดที่ดินเอกชนกลางป่ากลางดงสูญหายก็ว่าไปอย่าง
แต่นี่คือหลักหมุดทองเหลืองอันทรงคุณค่า มีความหมายทางประวัติศาสตร์ ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของระบอบการปกครองไทย ปักตรึงวางอยู่บนตำแหน่งแห่งหน ซึ่งเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แปดสิบห้าปีก่อนนั้น พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เคยยืนอ่านแถลงการณ์คณะราษฎร ก่อการปฏิวัติ ประกาศเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย
สถานที่หมุดหมายปักตรึงก็เป็นพื้นที่อันโล่งแจ้งอยู่บนลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศ เต็มไปด้วยสถานที่ราชการสำคัญรายรอบ
เป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลใด ใครจะไปทำอะไรลับๆ ล่อๆ ขุดเจาะเลาะพื้นคอนกรีตกันโครมคราม โดยไม่มีคนพบเห็น
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
จู่ๆ หมุดหมายซึ่งมีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ของชาติ กลับอันตรธานสูญหายไปโดยไม่มีใครรู้ ผู้ใดเห็นอะไรทั้งสิ้น
แถมเกิดขึ้นในยุคสมัยซึ่งรัฏฐาธิปัตย์ได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร ทรงพลานุภาพด้วยกำลังทหาร 3 เหล่าทัพ ตำรวจ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ความมั่นคงฝ่ายพลเรือน รวมจำนวนเป็นเรือนล้าน เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีอันทันสมัยในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย
ท้องถนนหนทางเต็มไปด้วยทหารตำรวจวางกำลัง ตั้งด่านความมั่นคง
แต่เมื่อเกิดกรณีหมุดหมายคณะราษฎรสูญหาย กลับทำราวกับเป็นกำลังพลพิกลพิการ ง่อยเปลี้ยเสียขา บอดใบ้นัยน์ตาฝ้าฟางพร้อมกันขึ้นมาดื้อๆ
จะพึ่งพากล้องวงจรปิดในพื้นที่บริเวณดังกล่าวก็ให้บังเอิญใช้การไม่ได้ขึ้นมาเสียอีก กทม.อ้างว่าอยู่ระหว่างถอดถอนออกไปซ่อมบำรุงพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
ลักขุดหมุดทองเหลืองซึ่งมีข้อความบันทึกจารึกเอาไว้ว่า “ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ” อันตรธานสูญหายไปไม่พอ
ยังทำหมุดหมายใหม่ พร้อมข้อความ “ความนับถือรักใคร่ในพระรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง ขอประเทศสยามจงเจริญ ยั่งยืนตลอดไป ประชาชนสุขสันต์ หน้าใส เพื่อเป็นพลังของแผ่นดิน“ มาสวมแทน
เพื่ออะไรก็ยากจะคาดเดา
ครั้นเป็นเรื่องอื้อฉาวข่าวใหญ่โตขึ้นมา ก็วางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารไปเฝ้าดูแลหลักหมุดใหม่ เอารั้วมารายล้อม ทำราวกับเป็นเขตพื้นที่หวงห้ามสำคัญ ใครอย่าได้ไปยุ่งเชียว
สร้างความงุนงงสงสัยให้กับประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเป็นยิ่งนัก
เพราะถึงแม้จะเต็มไปด้วยร่องรอยความผิดปกติมากมายสักเพียงใดก็ตามที หาได้มีข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดแยแสสนใจ คิดที่จะสืบสวน เสาะหาความจริงให้ปรากฏแต่อย่างใดไม่
ไม่มีผู้ใดคิดใคร่จะรู้ ไม่มีใครคิดอยากจะเห็นว่า สิ่งใดเกิดขึ้นกับหลักหมุดประชาธิปไตยอันมีความหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ บุคคลใดไปปู้ยี่ปู้ยำทำอะไรกลางลานพระบรมรูปทรงม้า
ที่เคยขึงขัง ฮึมฮัมคำรามใส่ผู้คน กลับสงบปากสงบคำ
นายตำรวจมือปราบ ผู้ซึ่งไม่เคยประหวั่นพรั่นพรึงครั่นคร้ามเกรงกลัวหน้าไหน ใครทั้งสิ้น อ้างว่าไม่รู้จะทำคดีความได้อย่างไร ไม่สามารถรับแจ้งความใดๆ ได้ เพราะไม่ทราบว่าใครคือผู้เสียหาย หลักหมุดเป็นของผู้ใดก็ไม่รู้
ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะไปร้องทุกข์กล่าวโทษ กลับข่มขู่ให้ระวังเจอข้อหาแจ้งความเท็จ
เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก
จริงอยู่ว่าใครหลายคนอาจจะมองเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ค่อยมีความหมายมากมายอะไรนัก เพราะอาจจะมีซาเล้งเก็บของเก่าที่ไหนมาเลาะเจาะหมุดทองเหลืองเอาไปชั่งกิโลขายก็เป็นได้
แต่หากได้ลองย้อนหวนกลับไปทบทวน พินิจพิจารณาปรากฏการณ์หลายต่อหลายอย่างซึ่งอุบัติเกิดขึ้นในห้วงระยะเวลาอันใกล้ ไม่ช้าไม่นานแล้ว น่าสนใจจับตาเป็นยิ่งนัก
ไล่เรียงแต่เรื่องราวข่าวคราวเกี่ยวด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ขั้นตอนสุดท้ายก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุด โดยเฉพาะกับกรณีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2560 บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมาแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบางประเด็นได้
ตามด้วยประกาศแสดงความปรารถนาดีจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ให้ประชาชนโดยทั่วไปงดติดตาม ติดต่อ เผยแพร่ หรือกระทำการใดๆ ที่มีลักษณะเป็นการเผยแพร่เนื้อหาข้อมูลของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ และนายแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชลล์ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อมิให้เป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
ยังมีกรณีของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 ซึ่งผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยที่ประชุมลับ สามวาระรวด ลงราชกิจจานุเบกษา ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมาย แต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา
มีเนื้อหาสาระให้โอนสำนักราชเลขาธิการและสำนักพระราชวัง, กรมราชองครักษ์ กระทรวงกลาโหม, หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ กระทรวงกลาโหม, สำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปเป็นส่วนราชการในพระองค์
ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนให้แก่ส่วนราชการในพระองค์
ให้ทรัพย์สินของส่วนราชการในพระองค์ไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี และผู้ใดจะยกอายุความขึ้นอ้างกับทรัพย์สินของส่วนราชการในพระองค์มิได้
ให้การพ้นจากราชการของข้าราชการในพระองค์เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
ฯลฯ
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นทิศทางความเป็นไปภายใต้ระบอบการปกครองประชาธิปไตยไทยในปัจจุบัน ตลอดจนอนาคตข้างหน้าได้เป็นอย่างดี
ถือเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจริงแท้แน่นอน ดั่งเช่นที่ตราไว้ตามมาตรา 2 ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทุกประการ
แต่จะสอดคล้องต้องด้วยหลักการประชาธิปไตยตามนิยามความหมายสากลหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
[/et_pb_text][/et_pb_column][/et_pb_row][/et_pb_section]