“ข้าพเจ้าเป็นราษฎรไทย ทั้งข้าพเจ้าต้องการให้ทุกๆ คนบนพื้นอันเป็นสยามประเทศนี้ เป็นราษฎรเสมอหน้ากันหมด ปราศจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูง”
– เตียง ศิริขันธ์
“เราเต็มทีแล้ว มีอาการหนักเหมือนกับบุรุษผู้มีกำลังหลายคนจับคนไม่มีกำลังคนเดียวจะสู้ได้อย่างไร…ไปวัดสุทธาวาส จังหวัดสกล จะเหมาะดี”[1]
-พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
เตียง ศิริขันธ์ (พ.ศ. 2452-2495) นักการเมืองชื่อยังฉายา ‘ขุนพลภูพาน’ ตำแหน่งเสนาธิการใน ‘สี่เสืออีสาน’ อันประกอบด้วย ทองอินทร์ ภูริพัฒน์, เตียง ศิริขันธ์, ถวิล อุดล และ จำลอง ดาวเรือง อดีตครูประชาบาลผู้อุทิศชีวิตให้กับระบอบประชาธิปไตยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อาสาลงสมัครเลือกตั้งจนได้รับความไว้วางใจจากชาวจังหวัดสกลนคร เป็น ส.ส.ถึง 5 สมัย ร่วมมือกับ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ต่อต้านญี่ปุ่นในฐานะผู้นำเสรีไทยสายอีสาน[3] ฉายา ‘พลูโต’ จนหลังสงครามได้รับการไว้วางใจให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีถึง 3 วาระ
แต่เส้นทางการเมืองต้องมาเพลี่ยงพล้ำร่วมกับท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดีด้วยรัฐประหาร 8 พ.ย. 2490 ท้ายที่สุดต้องจบชีวิตด้วยโศกนาฏกรรมเมื่อถูกอุ้มฆ่าและเผาศพทิ้งเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2495[4] หรือ 3 ปีภายหลังสามสหายรัฐมนตรีอีสานร่วมอุดมการณ์ถูกยิงทิ้งนับจากความพ่ายแพ้ของ ฯพณฯ ปรีดี จนถูกเรียกขานว่ากบฏวังหลวง 26 ก.พ. 2492 นายเตียงถูกตั้งข้อหาร้ายแรงมากมายตั้งแต่กบฏจนถึงคอมมิวนิสต์
ทั้งนี้ในแง่การพระพุทธศาสนา อดีต ส.ส.สกลนคร ผู้นี้มีส่วนสำคัญในการจัดงานศพของพระมหาเถระชื่อก้องแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ‘พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต (พ.ศ. 2413-2492)’ หรือที่คุ้นเคยในชื่อ ‘พระอาจารย์มั่น’ ผู้เพิ่งได้รับการบรรจุชื่อในรายนามของ UNESCO ในวาระ 150 ปีชาตกาล พ.ศ. 2563[5]
หนังสือ เผยความหลังแห่ง อาพาธ-มรณภาพ-ประวัติ-ฌาปนกิจของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
โดย สมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร)
เรื่องราวประวัติของพระอาจารย์ใหญ่แห่งวัดป่าธรรมยุตที่เรียบเรียงโดยเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม (วิริยังค์ สิรินฺธโร) ทั้งหมดพึงกล่าวได้ว่ามีรูปแบบบันทึก ‘ชีวประวัติ (Biography)’ ที่มีความเป็น ‘ประวัติศาสตร์นิพนธ์ (Historiography)’ มากที่สุดเล่มหนึ่งเมื่อเทียบเคียงกับฉบับอื่นๆ ที่ค่อนไปในรูปแบบของ ‘กฤษดาภินิหารนิพนธ์ (Hagiography)’
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ศิษย์อุปัฏฐากใกล้ชิดพระอาจารย์มั่นเริ่มเดินทางไปกับพระอาจารย์กงมาเพื่อพบหลวงปู่มั่นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2484 และอยู่ร่วมศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์มั่นจนถึง พ.ศ. 2488 เคยให้สัมภาษณ์ว่า “เราเป็น ท.ส.มาตั้ง 4 ปี”[6] ท่านเป็นหนึ่งในผู้ร่วมบันทึกหนังสือมุตโตทัย อันเลื่องชื่อขณะอาจารย์มั่นยังดำรงธาตุขันธ์และทันได้อ่านด้วยตนเอง อีกทั้งหนังสือมุตโตทัย นี้ยังได้จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในวาระที่ท่านเจ้าคุณจูม ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น ‘พระธรรมเจดีย์’ เมื่อ พ.ศ. 2489 จวบจนอีก 3 ปีถัดมาได้ถูกรวมเข้าจัดพิมพ์ในงานฌาปนกิจของพระอาจารย์มั่น
ส่วนชีวประวัติของพระวิริยังค์ปรากฎในนามแฝง ‘พระอาจารย์วิน’ ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ 108 อาจารย์ฉบับสมบูรณ์ และท่านได้เรียบเรียงประวัติของพระอาจารย์มั่นจบสมบูรณ์เมื่อ 1 ตุลาคม 2512[7] ซึ่งเรียกว่าเกือบจะพร้อมเพรียงกับประวัติอาจารย์มั่นอีกหนึ่งฉบับเรียบเรียงโดยหลวงตามหาบัวที่ทยอยตีพิมพ์ลงนิตยสารศรีสัปดาห์ต้นทศวรรษเดียวกัน และรวมเล่มพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2514
ก่อนหน้าหนังสือประวัติสมบูรณ์เล่มดังกล่าว ผู้เขียนพบว่ามีหนังสือเล่มสำคัญที่มิค่อยได้รับการเผยแพร่นักของผู้ประพันธ์ท่านเดียวกัน ชื่อว่า “หนังสือเดินธุดงค์ภาคอีสาน 92 ของ พระวิริยังค์ สิรินธโร เผยความหลังแห่ง อาพาธ-มรณภาพ-ประวัติ-ฌาปนกิจ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (พระอาจารย์ใหญ่ของคณะกรรมฐาน) และ กรรมฐานวินิจฉัย-อุปกรณ์กรรมฐาน”[8] หนังสือเล่มนี้สาธยายถึงเหตุการณ์ช่วงสุดท้ายของชีวิตพร้อมพิธีการงานศพของพระอาจารย์มั่นอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุดประหนึ่งการได้กลับไปอ่านพระสูตรมหาปรินิพพานในคัมภีร์ชั้นพระบาลี
บันทึกนี้พบว่าท่านวิริยังค์ได้เอ่ยถึง ‘ขุนพลภูพาน’ เตียง ศิริขันธ์ และฆราวาสท่านอื่นๆ จำนวนไม่น้อยในกาลนั้น
เริ่มเดินทาง
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เริ่มล้มป่วยลงแต่เดือน 4 พ.ศ. 2492 จนอาพาธเริ่มหนักขึ้นเมื่อล่วงเข้าเดือน 10 “พระอาจารย์เทศก์ เทสรํสี ท่านได้มาพักอยู่ที่เสนาสนะป่าท่าแฉลบ จันทบุรี ส่งข่าวมาแก่ข้าพเจ้าว่า จะไปนมัสการท่านอาจารย์ใหญ่โดยด่วน” เป็นเหตุให้พระวิริยังค์นัดแนะกับพระอาจารย์เทศก์ร่วมเดินทางด้วยรถโดยสารเข้าสู่พระนครเพื่อนั่งรถไฟไปยังอีสานและต่อรถยนต์เข้าเยี่ยม ‘ท่านอาจารย์ใหญ่’ ณ บ้านหนองผือ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม
ทันทีที่พบหน้ากัน พระอาจารย์ก็ทักขึ้นว่า “ด่วนหยังแท้ บ่อจัดที่ก่อนเฮามันยังบ่อทันเผาดอก” แปลว่า “ด่วนมาเร็วแท้ เรามันยังไม่ทันเผาดอก”[9] ท่านวิริยังค์ได้พยาบาลพระอาจารย์มั่นอยู่ที่บ้านหนองผือเป็นเวลา 8 วัน ผู้ที่มาพยาบาลเป็นประจำคือ 1.พระวัน อุตฺตโม 2.พระทองคำ ญาณภาโส 3.พระหล้า เขมปัตโต[10] ท่านทั้ง 3 นี้ได้ปฏิบัติประจำมาเป็นนิจหลายปี (ก่อนหน้ามีเอ่ยถึงท่านมหาบัวว่าเป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิดร่วมกับ ท่านวัน และ ท่านทองคำ และมีพระเถระรุ่นผู้ใหญ่อยู่ใกล้เช่น อาจารย์ฝั้น อาจาโร, อาจารย์อ่อน ญาณศิริ, มหาทองสุก สุจิตโต, อาจารย์กงมา จิรปุญโญ เป็นต้น)
5 พรรษาสุดท้ายของชีวิต พระอาจารย์มั่นจำที่วัดป่าบ้านหนองผือ (ปัจจุบันใช้ชื่อทางการว่าวัดป่าภูริทัตตถิราวาส) ตำบลนาใน อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร หลังออกพรรษา พ.ศ. 2492 พระอาจารย์มั่นกำชับให้ลูกศิษย์นำท่านไปยังวัดป่าสุทธาวาส เนื่องด้วยบ้านหนองผือเป็นหมู่บ้านเล็ก “ถ้าตายที่นี่จะเป็นการกระเทือนและทำลายชีวิตสัตว์ไม่น้อยเลย สำหรับผมตายเพียงคนเดียว แต่สัตว์ที่จะพลอยตายเพราะผมเป็นเหตุนั้นมีจำนวนมากมาย เพราะคนจะมามาก ทั้งที่นี้ไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน…อย่างไรก็ขอให้นำผมออกไปตายที่สกลนคร เพราะที่นั้นเขามีตลาดอยู่แล้ว คงไม่สะเทือนชีวิตของสัตว์มากเหมือนที่นี่”[11]
ดังนั้นในวันที่ 10 ค่ำ เดือน 12 (31 ตุลาคม 2492) จึงเริ่มเดินทางออกจากบ้านหนองผือ หยุดพักค้างคืนระหว่างทาง จนท้ายที่สุดได้ไปละสังขารยังวัดสุทธาวาสตามเจตจำนงที่ตั้งใจไว้เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 เวลา 02.23 น. ท่านเจ้าพระคุณพระธรรมเจดีย์ ได้จัดงานสัตตมวารกำหนดทำบุญ 7 วันหนึ่งครั้ง แบ่งเป็น 12 สัตตมวารก่อนจะถึงกำหนดวันฌาปนกิจ 31 มกราคม พ.ศ. 2493
มหาสันนิบาต
“ในระหว่างที่ยังไม่ถึงวันฌาปนกิจศพนั้น เป็นเวลา 81 วัน ฝ่ายพระภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกาต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามาทุกทิศทุกทาง พากันมาเพื่อจะนมัสการศพบ้าง บริจาคทรัพย์บำเพ็ญกุศลเพื่อแทนคุณท่านบ้าง ท่านองค์ใดมีศิษย์มากก็พาศิษย์มาทำบุญกัน ผู้ตั้งใจจะมาเองก็มีมาก ฝ่ายพระภิกษุสามเณรที่เป็นสานุศิษย์และนับเนื่องมาด้วยสานุศิษย์ ก็พากันล้นหลามเข้ามาเป็นการใหญ่ หวังเพื่อนมัสการศพอันเป็นคารวะในวาระสุดท้าย และเป็นโอกาสดีสำหรับคณะสานุศิษย์ทั้งหลาย ที่พลัดพรากจากกันไปนานจะได้มาพบปะกัน อันจะได้พบปะกับคณะที่เป็นสหธรรมมิก อันชื่อว่ามีครูอาจารย์เดียวกัน ทั้งเป็นเวลาที่เหมาะในกาล ที่จะสนทนาเป็นธรรมสากัจฉาด้วยประการต่างๆ และก็ได้เป็นที่รู้จักรูปลักษณะสัณฐาน ซึ่งบางท่านก็ได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น ซึ่งทำให้เป็นกาลอันสำคัญยิ่ง
ด้วยเหตุนี้แหละบรรดาพระภิกษุสามเณร จึงได้ล้นหลามเข้ามากันเป็นการใหญ่ จนถึงกับไม่มีที่จะอยู่ เวลาฉันก็ล้นหลามเต็มศาลา ต้องไปนั่งฉันกันตามป่าก็มี เวลาไปบิณฑบาตร์ก็แถวยาวตั้งหลายเส้นดังกล่าวมาแล้ว เวลาทำข้อวัตต์มีการปัดกวาดเป็นต้น จับนั่นจับนี่คนละทีสองทีก็แล้ว เวลาซักชุดจีวรก็จนเตาไม่ว่างเว้น ไฟในเตาปรากฏเปลวอยู่เป็นนิจ เวลาเข้ามาเจ้าบัญชีต้องการทราบจำนวนก็จดกันจนไม่ทัน (ที่ไม่ได้จดเสียก็มาก) เวลาพระเจ้าของถิ่น จะรับอาคันตุกะก็รับกันแทบไม่ไหว (เพราะมาไม่มีเวลาตั้งแต่เช้าตลอดคืนเลย) เวลาพักอยู่กันก็แออัดยัดเยียดกันแทบเป็นทหาร เวลาพูดกันก็นั่นนิดนี่หน่อยคนละคำ 2 คำก็ดังราวกับเครื่องบิน เวลาให้พรก็ดังราวกับเครื่องกระจายเสียง เวลาเข้านั่งชักบังสุกุลกันก็จนหมดที่ เวลาเดินก็ไขว่เขวเตนัง เวลาจะตามหากันแต่ละองค์ตั้งวันก็ค้นไม่เจอ เออ/ อะไรๆ ก็วิตถารเหลือเหตุ ดูๆ ก็น่ายินดีปรีดาเสียจริงๆ ดูๆ ก็อึกอัดใจแทบวายปราณ คิดๆขึ้นมาก็น่าแปลกใจอัศจรรย์จริงๆ เพราะเมื่อต่างได้ยินข่าวมรณภาพของท่านอาจารย์ใหญ่ก็พากันมาเป็นการใหญ่ซึ่งเป็นของเป็นเองเป็นของที่ยากแท้ ยากที่จะเป็นได้เช่นนี้ การมาไม่ใช่จำเพาะจังหวัดเดียว เมื่อรวมกันแล้ว 16 จังหวัด (ยังจะกว่าอีก) จำเพาะพระภิกษุสามเณรที่มาในงานศพ 800 กว่า เฉพาะคฤหัสถ์เป็นจำนวนหมื่นๆ มากมายเหลือครณา เลยทำให้งานเป็นงานใหญ่โตขึ้นมาก จึงต้องมีการจัดการให้ใหญ่เป็นพิเศษอีก การจัดเตรียมก็ช่วยกันทั้งฝ่ายคฤหัสถ์และบรรพชิตเมื่อมาถึงเข้าแล้วไม่มีที่อยู่ จึงพากันจัดแจงกันในป่าข้างๆวัด จัดเป็นร้านเรียงรายตามความประสงค์ของใคร กุฏิมี 20 กว่าหลัง ศาลาใหญ่ 2 หลัง โรงยาว 2 หลัง ยังจุพระที่มาไม่ได้ครึ่ง จึงจำต้องจัดเอากันในป่าเต็มเดียระดาษไปเป็นแถวกันตัดถนนซอยเล็กซอยน้อยเข้าหากันทำร้านใหญ่บ้างเล็กบ้างเบื้องต้นปูกระดาน กระดานหมด ปูฟากๆ ก็หมด ปูฟางๆ ก็หมด ปูใบไม้ๆ ก็หมดอีกจนต้องปูด้วยผ้าอาบน้ำ การจ่ายหมอนๆ ก็หมด ก็ไม่ทั่วถึงกันต้องหนุนตีนบาตร์ ดูเป็นพืดไป ถ้าใครไม่เคยเดินเข้าไปเป็นต้องหลงออกมาไม่ถูก เพราะเป็นทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวเนื้อที่กว้างเป็นป่าทึบ ดูๆแล้วคล้ายกับตลาดในกรุงเทพฯเลย เมื่อมาพูดถึงความอดทนของพระที่ท่านมานับว่าดีมาก แต่ว่าท่านทั้งหลายนี้เคยอดทนมาแล้ว เพราะว่าในเมื่อปรกติ ก็มีการเดินธุดงค์อยู่ตามป่าไม้ตากแดดตากฝนกันมาชำนาญ แม้เมื่อมาประสพเหตุการณ์เช่นนี้ จึงมิได้มีจิตคิดวิตกอะไร ซ้ำเป็นงานศพของครูบาอาจารย์เสียด้วยซ้ำ
ก็เมื่อวันก่อนๆ มายังไม่สู้อัศจรรย์เท่าใดนักสำหรับเหตุการณ์ ครั้นถึงวันงานเข้าแท้ๆ คือ วันที่ 28-29 มกราคม 2493 ดูอัศจรรย์พิลึกน่าสะพรึงกลัวเนื่องจากว่า ต่างคนต่างมาในวันนั้นก็มากแท้ล้นหลามกันมาคล้ายกับน้ำพุไม่รู้ขาด บ้างก็มาด้วยการเดินเท้าหาบหามเครื่องไทยธรรมากัน บ้างก็มาด้วยเกวียนบรรทุกเครื่องไทยธรรมมา บ้างก็มาด้วยรถยนต์บรรทุกเครื่องไทยธรรมมา ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งคนในเมืองและตามชนบทบ้านนอก ทั้งคนมั่งมีคนจนและปานกลาง บางคนก็สวยงาม บางคนก็ขี้เหร่ขี้ร้าย บ้างสูงจนเกินไป บ้างต่ำจนดูไม่ได้ บ้างอ้วนจนลงพุง บ้างผอมยังกับคางคกตายซาก บ้างตาบอดหูหนวก ทั้งดำทั้งขาว ทั้งพ่อค้าคฤหบดี ทั้งพลเรือนข้าราชการ ทั้งชาวสวนชาวไร่ชาวนา ทั้งลูกจ้างกรรมกร ต่างก็แตกตื่นกันมาคล้ายๆ กับว่า จะมาเป็นเกียรติยศเกียรติศักดิ์ให้แก่ศพท่านอาจารย์ใหญ่ เมื่อนึกคิดไปก็ตรงกับพุทธภาษิตว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย กรรมนั่นแลย่อมจำแนก (แบ่ง) สัตว์ทั้งหลายให้เลวและประณีต ยิ่งดูคนที่เดินขวักไขว่กันไปมา แลเห็นต่างๆ ดังนั้นเลยเข้าใจไปว่ากรรมนั้นหนอช่างจำแนกให้เป็นไปต่างๆ อย่างคาดไม่ถึงแท้ๆ ยิ่งเข้ามาพบกับตา ในขณะคนทั้งหลายเข้ามาประชุมกันเป็นจำนวนนับด้วยหมื่นๆ ต่างก็แสดงกิริยาท่าทางความเป็นต่างๆ ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงความจริงแห่งพุทธวจนะนี้ยิ่งขึ้น ครั้งมาถึงเข้าแล้ว คนทางไกลที่จะต้องแรมค้างก็แสวงหาที่พักเป็นการใหญ่ ใครมาถึงก่อนก็ได้พักสบายหน่อย ใครมาถึงทีหลังก็ต้องเบียดกันเข้าไปตามแต่จะหาได้ มันเป็นของเหลือวิสัย จริงไหมละ? ท่านทั้งหลาย คนจังหวัดเดียวที่จะจัดที่รับคนเป็นสิบๆจังหวัด โดยการไม่รู้ตัวให้เพียงพอได้จะไหวที่ไหน แต่ว่าเป็นศรัทธาของผู้มีความประสงค์จะทำบุญกันก็หากันมา มิใช่ว่าเป็นการบังคับจับไสแม้ด้วยประการใด ฉะนั้นเมื่อขาดตกบกพร่องผิดถูกอย่างไรก็ควรให้อภัยซึ่งกันและกันเถิด”
เมรุและหีบศพของพระอาจารย์มั่น
ผู้ก่อสร้างหีบศพและเมรุพระอาจารย์มั่น วิศิษฎ์ วัฒนสุชาติ (ภาพวัยหนุ่มถ่ายพร้อมภริยา น้องสาวคนเล็กตระกูลชุวานนท์ นางลูกอินทร์ ผู้ร่วมสร้างวัดป่าสุทธาวาส)
การดำเนินงานจัดทำหีบศพและเมรุนั้น คุณวิศิษฐ์ วัฒนสุชาติ (ร้านสกลวัฒนา) เป็นหัวหน้าดำเนินงาน โดยมีผู้ร่วมงานหลักคือ 1.นายฟอง 2.ครูสาท 3.ครูเปลื้อง หีบศพแรกใช้เวลาทำอย่างรีบเร่งด้วยไม้ตะเคียนสำเร็จในวันรุ่งขึ้นแล้วเตรียมนำศพลงไว้บูชา ณ ที่ศาลา ต่อจากนั้นจึงเร่งรีบทำหีบที่สวยงามขึ้น ทำทั้งกลางวันและกลางคืน
หีบศพกำลังทำนี้เป็นหีบศพชั้นนอกครอบกับหีบเดิม แม้ชั้นนอกก็ทำด้วยไม้ตะเคียนเขียนเป็นลายแล้วเดินทอง ด้านข้างทั้ง 2 ข้างเป็นลายกนกขดประดับเทพพนม ด้านหัวท้ายเป็นลายเทพพนมมีเท้าสิงห์ตั้งรับ ส่วนเมรุมาสทำด้วยประสาทเรือนยอด มีมุขทอดทั้งสี่ด้าน มีเพดานและแก่นตั้งศพเป็นฐาน ฐานกลางเป็นกลีบบัวคว่ำและบัวหงาย เสาทั้ง 12 ต้นเป็นลายประจำยามก้านแหย่ง หน้าจั่วทั้งสี่มีเป็นลายนำขบประกอบลายก้านขดดูงดงามดังนี้
‘เตียง ศิริขันธ์’ ณ งานศพ ‘พระอาจารย์มั่น’
ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484-2488 นายเตียง ศิริขันธ์ ถือสถานะหัวเรือใหญ่ของเสรีไทยสายอีสาน ทว่ายังไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้พบปะกับพระอาจารย์มั่นที่ระยะนั้นพำนักอยู่ จ.สกลนคร หรือไม่ ช่วงนี้ประจวบกับท่านวิริยังค์เองก็ยังทำหน้าที่อุปัฏฐากพระอาจารย์มั่นอยู่บริเวณนี้ ท่านได้เล่าถึงประสบการณ์ตรงที่มีส่วนร่วมกับเสรีไทยช่วงปลายสงครามปี พ.ศ.2488 ระหว่างได้รับการอาราธนาให้ไปปราบผีกระสือที่หมู่บ้านเต่างอย อ.เมือง จ.สกลนคร ไว้ว่า
“สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งกองทัพในประเทศไทยทั่วประเทศ…ชาวบ้านเต่างอยนี้อยู่ชายภูเขาภูพานเหมือนกัน…เวลานี้ใกล้สงครามจะสงบอยู่แล้ว…คณะเสรีไทยก็อยู่บนภูเขาซึ่งพระวิริยังค์ก็ได้อยู่กับพวกเขา อาวุธ-กระสุน-อาหาร-เครื่องใช้-เวชภัณฑ์ได้ถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบินเป็นร่มชูชีพ…คณะเสรีไทยพร้อมกับชาวบ้านก็ร่วมกันใช้อาวุธที่ส่งมาเหล่านี้ บนภูเขาภูพานพระวิริยังค์เข้าตาจน ต้องร่วมอยู่กับเขาด้วย…จนกระทั่งในระยะต่อมาญี่ปุ่นรู้ว่าพวกเสรีไทยรวมกันตั้งกองอยู่ที่นี่ ญี่ปุ่นมันก็ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ไทยทำการกวาดล้าง คณะเสรีไทยยังไม่พร้อมก็พากันขนของหนีเข้าไปในป่าลึก ก็ในวันนั้นเองทหารญี่ปุ่นก็เข้ามาถึงพอดี ของที่เหลืออยู่มีปลอกกระสุนปืน ส่วนของอื่นเอาไปฝังดินหมด ทหารญี่ปุ่นเข้ามาประชิดตัวพระวิริยังค์ พระวิริยังค์เอาปลอกกระสุนปืนใส่กล่องเอาหมอนอิงทับและนั่งอยู่ พวกมันเข้ามาถามหาคณะเสรีไทยว่าอยู่ที่ไหน พระวิริยังค์ตอบว่าไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แต่พวกทหารญี่ปุ่นไม่เชื่อ พยายามอยู่หลายชั่วโมง ข้าพเจ้าต้องให้โยมช่วยหาอาหารตามมีตามได้เลี้ยงมัน เมื่อพวกมันกินอิ่มแล้วก็กลับไปที่ตั้ง พระวิริยังค์โล่งใจ รีบเอาปลอกกระสุนไปเททิ้งที่หลุมส้วม”
หลังจากนั้นทหารญี่ปุ่นยังคงตั้งค่ายข้างวัดนานนับหลายเดือน เมื่อสงครามสิ้นสุด “เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้แล้ว ณ ที่พระวิริยังค์อยู่นี้ ทหารญี่ปุ่นได้รวมกันตั้งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไปไหน ไม่ทราบคณะเสรีไทยมาจากไหน ได้ทราบว่าออกจากป่าจำนวนมาก เข้าทำการปลดอาวุธของทหารญี่ปุ่นที่ข้างวัดนี้เอง ข้าพเจ้าได้เห็นกับตา”[12]
พระอาจารย์มั่นยังคงดำรงชีวิตเบื้องปลายในบริเวณ จ.สกลนคร ตลอดหลังสงครามยุติจนละสังขารในอีก 4 ปีต่อมา เมื่อปลายปี พ.ศ. 2492 ในงานศพของท่านต้นปีถัดมา ส.ส.จังหวัดสกลนครขณะนั้น เจียม ศิริขันธ์ และน้องชายเตียง ศิริขันธ์ อดีตเสรีไทยทั้งคู่ ได้เข้าร่วมงานในฐานะกรรมการจัดงานฝ่ายฆราวาส ปรากฏรูปถ่ายหมู่ทั้งสิ้น 3 รูปหน้าเมรุชั่วคราว และชื่อทั้งสองได้รับการกล่าวขานจากท่านวิริยังค์ ดังแสดงไว้บนย่อหน้านี้ว่า
“ฝ่ายว่าคณะที่จะช่วยทางมหรสพ ก็รีบรุดเข้าไปในบริเวณวัดสุทธาวาส โดยเฉพาะนายเตียง ศิริขันธ์ และนายเจียม ศิริขันธ์ ส.ส.สกลนคร ได้นำเครื่องไฟฟ้ามาทำไฟฟ้าให้ในงาน พร้อมกับเครื่องนีออนประดับเมรุฯ และเครื่องขยายเสียงกับคณะพิณพาทย์บางบัวทองมาช่วยบรรเลง วันที่ 28 มกราคม 2493 ก็ได้เคลื่อนศพขึ้นสู่เมรุฯ เมื่อก่อนจะเคลื่อนศพ พระภิกษุสามเณรก็เข้าธรรมวัตต์ (คารวะ) ศพกันแน่นขนัดเป็นตอน 1 อุบาสกอุบาสิกาก็มาธรรมวัตต์ศพกันเนืองแน่นเต็มแผ่นวัด ครั้งเสร็จสรรพก็หามศพเคลื่อนขบวน ขณะที่ศพเคลื่อนขบวนนี้แหละ มหาสํเวโค อันว่าความสังเวชใหญ่ ได้บังเกิดขึ้นแก่บรรดาสานุศิษย์พร้อมทั้งพิณพาทย์บรรเลง ยิ่งทำให้รัญจวนวาบหวิวใจยิ่งขึ้น ต่างคนต่างหยาดน้ำตาไหลนองหน้าให้แก่ศพของท่านอาจารย์กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งคงจะมีความคิดว่า โอหนอ! ท่านอาจารย์แต่ก่อนแม้เคยสั่งสอนพวกเรา บัดนี้เขาจะนำไปเป็นเชื้อเพลิงเสียละ ยิ่งทำให้จำต้องคิดพิจารณาไปถึงความเสื่อมสิ้นหมดเป็นระยะไป ในไม่ช้าเขาก็นำศพขึ้นสู่เชิงตะกอน บรรดาสานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ก็เข้านมัสการกันตลอดวันตลอดคืนไม่มีว่างเว้นเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งช่างถ่ายภาพจะหาเวลาถ่ายภาพในโอกาสที่ไม่มีคนไม่ได้ ผู้ต้องการด้วยกุศลก็พากันมาบังสุกุลนิมนต์พระเอาตามแต่ใครสมัครดูไม่ขาดเลย ทางฝ่ายโต๊ะเหรัญญิกผู้เก็บเงินที่เขามาบริจาคช่วยในงานศพต้องทำงานหนัก มีตั้ง 5-6 โต๊ะ ยังเขียนชื่อแทบไม่ทัน ฝ่ายนายเตียง ศิริขันธ์ ก็ช่วยอ่านชื่อผู้บริจาคโดยเครื่องกระจายเสียงจนเสียงแห้งวันยังค่ำ”
ในงานนี้ ได้เงินบริจาคทั้งหมดเป็นเงิน 58,650.12 บาท ใช้จ่ายไป 11,327.20 บาท คงเหลือ 47,322.92 บาท เพื่อบูรณะวัดสุทธาวาสต่อไป
พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้กล่าวถึงพิธีเดียวกันนี้ไว้ว่า “งานนี้ท่านทำพิธีเปิดมีกำหนด 3 คืนกับ 4 วัน (28-31 มกราคม พ.ศ. 2493 – ผู้เขียน) ซึ่งเริ่มแต่วันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 ถวายฌาปนกิจศพท่านคืนของวันขึ้น 13 ค่ำ ราว 6 ทุ่ม พอรุ่งเช้าของวันขึ้น 14 ค่ำก็เป็นวันเก็บอัฐิท่าน ส่วนวันที่และเดือนอะไรนั้นจำไม่ค่อยได้ กรุณานำไปเทียบกับปฏิทินร้อยปีอาจพอทราบได้”[13]
ส่วนบุคคลที่ปรากฏฉายภาพร่วมกับนายเตียง ประกอบด้วย นายเจียม ศิริขันธ์ พี่ชาย และเป็น ส.ส.จังหวัดสกลนครขณะนั้น นายประสาท สุขุม (พ.ศ. 2444-2516)[14] บุตรชายของท่านเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) กับท่านผู้หญิงตลับ (สกุลเดิม ‘ณ ป้อมเพชร’) ตากล้องผู้อำนวยการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก The King Of The White Elephant ที่มีปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้กำกับในปี พ.ศ. 2483 ท่านผู้นี้คนไทยคนแรกที่ได้ไปเรียนและฝึกงานการถ่ายทำภาพยนตร์ในโรงถ่ายภาพยนตร์พาราเมาท์ที่ฮอลลีวูดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2466 และเป็นสมาชิกสมาคมช่างถ่ายภาพยนตร์อเมริกัน (American Society of Cinematographer : A.S.C.) ทั้งยังเป็น ส.ส.จังหวัดพระนครอีก 1 สมัยในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2489
นายวิศิษฎ์ วัฒนสุชาติ (พ.ศ. 2450-2539) สมรสครั้งแรกกับนางลูกอินทน์ หนึ่งใน 3 พี่น้องอุปัฏฐายิกาตระกูล ‘ชุวานนท์’ คือ แม่นุ่ม แม่นิล แม่ลูกอินทร์ ผู้ร่วมสร้างวัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร วิศิษฎ์เขียนบันทึกส่วนตัวด้วยความภาคภูมิใจไว้ว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีอากาศ ใช้กำลังกาย กำลังใจ กำลังความคิด และกำลังทรัพย์เท่าที่หาได้ด้วยตนเอง ผนึกกำลังกับชาวบ้านและมีบทบาทในการสร้างวัดสุทธาวาส…ข้าพเจ้าได้ไปฟังธรรมะคำสั่งสอนจากท่านหลายครั้ง”[15]
บุคคลผู้นี้เป็นรับผิดชอบงานสร้างเมรุและหีบศพของพระอาจารย์มั่น ร่วมกับบุคคลในภาพอีกหนึ่งท่านคือ นายฟอง นวลมณี (พ.ศ. 2440-2531) อดีตเสรีไทยและมีศักดิ์เป็นพี่เขยเจียม ศิริขันธ์ ทั้งยังเป็นพ่อตาของนายวิศิษฎ์ (ในการสมรสครั้ง 2) เป็นตัวแทนนายเตียง ศิริขันธ์ ส.ส. สกลนคร นำเงินจากรัฐบาลมาช่วยเหลือชาวญวนอพยพ, ลาวอพยพ ให้มีงานทำ และมีเงินก่อนกลับไปภูมิลำเนา ปี พ.ศ. 2512 ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองสกลนคร[16] นายเจียม ศิริขันธ์ เคยเอ่ยว่า “นายฟอง นวลมณี ผู้ที่ข้าพเจ้าและนายเตียง ศิริขันธ์ เคารพรักเหมือนพี่ในไส้”[17]
ท้ายสุด นายวิเศษ เชาวนสมิทธิ์ ทราบแต่เพียงเป็นลูกเขยแม่ชุ่ม[18] (ชุวานนท์) ผู้ร่วมสร้างวัดสุทธาวาส
หนังสืองานศพพระอาจารย์มั่น
พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) แห่งวัดโพธิสมภรณ์ ผู้เป็นประธานจัดงานฌาปนกิจพระอาจารย์มั่นเมื่อ 31 มกราคม 2493 เขียนคำนำให้กับหนังสืออนุสรณ์งานศพของพระอาจารย์มั่นไว้ว่า “ตกลงให้มีการพิมพ์หนังสือแจกเรื่องหนึ่ง คือให้เรื่องประวัติของท่านอาจารย์ เพื่อเป็นทิฏฐานุคติแก่ศิษยานุศิษย์รุ่นหลังอย่างหนึ่ง รวบรวมธรรมเทศนาของท่านอาจารย์ที่ศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิดได้จดบันทึกไว้ มาตีพิมพ์แจกเพื่อเป็นมรดกแก่ศิษยานุศิษย์ทั่วถึงกัน”
ภารกิจนี้ได้พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) แห่งเขาสวนกวาง เป็นผู้ดำเนินการ โดยส่วนแรกเรื่องประวัติท่านเจ้าคุณรูปนี้เป็นผู้เรียบเรียงผ่านการอาศัยบันทึก คำบอกเล่าของพระภิกษุทองคำ ญาโณภาโส บันทึกไว้ กับอาศัยปรึกษาไต่ถามท่านเทศ เทสรํสี (ต่อมาคือพระราชนิโรธรังสี) ประกอบกับความทรงจำส่วนตัว
ส่วนหลังเรื่องธรรมเทศนา ประกอบด้วยธรรมะที่ลูกศิษย์จดจำกันมา หนึ่งคือมุตโตทัย ที่เคยได้พิมพ์มาแล้วโดยเป็นของ “พระภิกษุวิริยังค์ กับ พระภิกษุทองคำเป็นผู้บันทึกสมัยท่านอาจารย์อยู่จำพรรษา ณ เสนาสนะป่าบ้านโคกนามน (พ.ศ. 2484-ผู้เขียน) ตำบลตองโขบ อำเภอเมืองสกลนคร และตอนแรกไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ข้าพเจ้ารับเอาบันทึกนั้นพร้อมกับขออนุญาตท่านอาจารย์พิมพ์เผยแพร่ ท่านก็อนุญาตและสั่งให้ข้าพเจ้าพิมพ์เรียบเรียงบ้าง ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติตามนั้นทุกประการ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีที่กระเทือนใจผู้อ่านอยู่บ้าง…” และสองธรรมเทศนา บันทึกโดยพระภิกษุทองคำ ญาโณภาโส กับพระภิกษุวัน อุตฺตโม จดบันทึกไว้ในปัจฉิมสมัย ระหว่าง พ.ศ. 2491-2492
เจ้าคุณเส็งบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้ได้แสดงความประสงค์ไว้ในคำนำว่าบันทึกทั้งสองนี้ “หากจะพิมพ์เผยแพร่ต่อไป ก็ควรพิมพ์รวมกันในนามว่า มุตโตทัย และควรบอกเหตุผล และผู้ทำดังที่ข้าพเจ้าชี้แจงไว้นี้ด้วย จะได้ตัดปัญหาในเรื่องชื่อ และที่มาของธรรมเทศนาด้วย.”
และท้ายสุดของหนังสืองานศพนี้คือ “บทประพันธ์ และบทธรรมบรรยาย” ของพระอาจารย์มั่นเอง “ปรากฏมีในสมุดของเก่าที่มอบให้เป็นมรดกแก่พระภิกษุทองคำ ผู้อุปัฏฐากใกล้ชิดในปัจฉิมสมัย บทประพันธ์นั้นคล้ายร่ายหรือกลอนแปด เป็นลายมือของท่านอาจารย์เขียนเอง และบอกไว้ตอนท้ายว่าท่านอาจารย์เป็นผู้แต่ง ครั้งอยู่วัดปทุมวัน พระนคร ส่วนบทธรรมบรรยายนั้น เขียนด้วยอักษรธรรม เป็นลายมือของท่านอาจารย์เหมือนกัน สังเกตดูเป็นของเก่า ท่านอาจารย์คงตัดย่อความเอามา…ในการคัดลอกบทธรรมบรรยาย ซึ่งเป็นอักษรธรรมลงสู่อักษรไทยนั้น ได้อาศัยกำลังของพระภิกษุฉัตร โสมบุตร จิรปุญฺโญ…”
รายชื่อพระทั้งหมด 4 รูปที่ร่วมสร้างอนุสรณ์งานศพเล่มนี้จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 ส่วนของหนังสือนี้ 1.ชีวประวัติ 2.ธรรมเทศนา ที่จดจำมาและพิมพ์รวมในชื่อมุตโตทัย 3.บทประพันธ์ และ ธรรมบรรยาย จากบันทึกส่วนตัวของพระอาจารย์มั่นทั้งในรูปแบบร้อยกรองที่ต่อมารู้จักกันดีในชื่อขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ และร้อยแก้ว ล้วนเกี่ยวข้องกับชื่อพระภิกษุทองคำ
ศิษย์ใกล้ชิดท่านนี้คือใคร? นามเดิมคือ ทองคำ ประพาน ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ เกิดเมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2466 อุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) แห่งวัดโพธิสมภรณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ ฉายา ‘ญาโณภาโส’ ต่อมาลาสิกขาเมื่อ พ.ศ. 2508 มีครอบครัวประกอบสัมมาอาชีวะ ให้กำเนิดธิดา 2 คน
ทิดทองคำได้กลับมาบวชใหม่อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2536 กับสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) ณ วัดราชบพิธ ได้รับฉายาพระใหม่ว่า ‘จารุวณฺโณ’ กระทั่งมรณภาพเมื่อ 25 ธันวาคม 2547[19] ทั้งนี้ ก่อนละสังขารได้เขียน เกร็ดประวัติ ปกิณกธรรมและพระธรรมเทศนา ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร เป็นลายมือจำนวน 6 เล่ม[20] มอบแด่พระเทพญาณวิศิษฏ์ (ชัยทวี คุตฺตจิตฺโต) แห่งวัดปทุมวนาราม จัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อว่า รำลึกวันวาน เมื่อ พ.ศ. 2547 ประวัติฉบับนี้มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของหลวงตามหาบัวและท่านวิริยังค์ โดยเฉพาะความแตกต่างในสถานที่บรรลุพระอรหันต์ที่หลวงตาทองคำว่าบังเกิดขึ้น ณ ถ้ำสิงโต เขาพระงาม จ.ลพบุรี อันแตกต่างจากประวัติของหลวงตามหาบัวที่ระบุว่าเป็นถ้ำแถบ จ.เชียงใหม่
ด้านพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ชาตะ พ.ศ. 2451 คนจังหวัดขอนแก่น นามเดิม เส็ง โนนไม้ (ต่อมาได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่ว่า ‘ไชยสาร’) ได้รับการอุปสมบทจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ภายหลังก็ได้ลาสิกขาเช่นกันเมื่อ พ.ศ. 2508 แต่ยังคงบำเพ็ญพรตในชื่อ ‘ฤษีสันตจิต’ บั้นปลายชีวิตได้รับการอุปถัมภ์เป็นอย่างดีจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาละวันซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดขณะยังเป็นเจ้าคุณเส็ง กระทั่งสิ้นอายุขัยเมื่อ พ.ศ. 2526[21]
พระอีก 2 รูปใน 4 ที่ร่วมจัดสร้างหนังสืองานศพนี้ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม มรณภาพด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อ พ.ศ. 2523 ส่วน พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร ศิษย์ใกล้ชิดของพระอาจารย์มั่น ดำรงสังขารถึงอายุ 100 ปีเศษ ครองสมณศักดิ์สุดท้ายในระดับสมเด็จพระราชาคณะ ราชทินนามสมเด็จพระญาณวชิโรดม เป็นเวลาไม่นาน ก็ละสังขารมรณภาพในปี พ.ศ. 2563
อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าในหมู่ศิษยานุศิษย์ทั้งหมดจะเห็นพ้องในการจัดพิมพ์ครั้งนั้น มีความพยายามยับยั้งการเผยแพร่หนังสืองานศพดังว่าถึงขั้นนำขึ้นกราบเรียนทักท้วงต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เรื่องราวได้รับการถ่ายทอดจากพระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต แห่งวัดป่าสันติพุทธาราม จ.ราชบุรี โดยเล่าว่า
“หลวงปู่เจี๊ยะ[22]ท่านจะพูดถึงว่าตอนที่เผาศพหลวงปู่มั่น ตอนเผาศพหลวงปู่มั่น นี่สมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านเป็นประธาน แล้วมีพูดไปถึง หลวงปู่เจี๊ยะพูดกับพระ แล้วไปถึงหูท่าน ท่านก็เรียกหลวงปู่เจี๊ยะเข้าไปถามไง เพราะตอนนั้นก็มีพระที่อยู่กับหลวงปู่มั่นนี่แหละเขียนประวัติหลวงปู่มั่น เขียนประวัติหลวงปู่มั่นแจกในงานศพหลวงปู่มั่น ตอนเผาที่วัดป่าสุทธาวาส แล้วหลวงปู่เจี๊ยะท่านก็คัดค้าน แล้วข่าวนี่มันไปถึงสมเด็จ สมเด็จท่านก็เรียกหลวงปู่เจี๊ยะเข้าไป
หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกว่า ‘เกล้ากระผมมีความเห็นว่าหนังสือที่เขาเขียนเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่จะพิมพ์ในงานศพหลวงปู่มั่นมันไม่ควรแจก’
หลวงปู่เจี๊ยะพูดกับเราเองสองต่อสอง บอกว่า
‘ถ้าหนังสือนี้แจกออกไป ถ้าคนที่เขาอ่านหนังสือนี้แล้วเขามีหลักมีเกณฑ์ คือเขาภาวนาเป็น เขาจะหาว่าหลวงปู่มั่นเราติดสมาธิ’
ก็เขาเขียนได้แค่สมาธิไง แค่ความว่างๆ แต่มันไม่มีเหตุมีผลไง ท่านบอกว่าถ้าหนังสือนี้แจกไปเขาจะหาว่าหลวงปู่มั่นติดสมาธิ คือหลวงปู่มั่นภาวนาได้สูงสุดแค่สมาธิ
‘เออ เราเห็นด้วย เราเห็นด้วย’
ฉะนั้น หนังสือนี่ท่านไม่ให้แจกนะ หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น มีพระองค์หนึ่งพิมพ์ กลุ่มใหญ่เลยที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นท่านจดจารึกกันมา แล้วเวลาพวกนี้พวกมีการศึกษา เป็นพวกเปรียญเขาก็จด เขาก็เขียนกัน แล้วเขาพิมพ์กัน พิมพ์กันในคณะศรัทธาของเขา แล้วจะแจกในงานหลวงปู่มั่น สมเด็จท่านสั่งไม่ให้แจก แต่หนังสือมันพิมพ์มาเสร็จแล้วมันก็แจกกันมา แล้วก็มาอ้างอิงกันในสมัยปัจจุบันว่าหนังสือเล่มนี้ได้แจกในงานศพหลวงปู่มั่น ได้แจกในงานศพหลวงปู่มั่น
แต่สุดท้ายแล้วประธานสงฆ์ ประธานสงฆ์คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านไม่ให้แจก ทีนี้หนังสือพิมพ์มาเสร็จแล้วมันก็แจกใต้ดินกันนั่นแหละ มันก็เป็นไป นี่พูดถึงประเด็นหนึ่งไง ประเด็นอย่างนี้มันมีมาตลอด”[23]
สมเด็จมหาวีรวงศ์ (อ้วน) พระองค์นี้เดิมไม่ใคร่เห็นความสำคัญต่อพระป่าอรัญวาสีสายอาจารย์มั่นมากนัก แต่ต่อมาได้เปลี่ยนมุมมองและให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ท่านได้รับเลือกจากรัฐบาลคณะราษฎรเพื่อดำรงตำแหน่งสังฆนายกรูปแรกเมื่อ พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ. 2484 ประกาศใช้ และในงานฌาปนกิจร่วมพระธรรมยุต 4 รูป พ.ศ. 2486 ซึ่งรวมถึงพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล สมเด็จพระองค์นี้ได้พิมพ์หนังสืองานศพให้ถึง 2 เล่ม[24] โดยเฉพาะหนังสือสำคัญวรรณกรรมอีสานเรื่องท้าวฮุ่งหรือเจือง อีกทั้งในปัจฉิมแห่งชีวิตได้นิมนต์ท่านพ่อลี ธมฺมธโร หนึ่งในศิษย์เอกของพระอาจารย์มั่นเข้ามายังพระนครเพื่อธรรมสากัจฉาเรื่องกรรมฐานและอุปัฎฐากยามอาพาธ
อนึ่ง คำบอกเล่าจากความทรงจำดังกล่าวปรากฏความคลาดเคลื่อนในเรื่องของประธานงานที่เดินทางไปจากพระนคร เพราะชื่อและรูปถ่ายพระมหาเถระที่ปรากฏในงานฌาปนกิจที่วัดป่าสุทธาวาสกลับไม่ใช่สมเด็จอ้วน แต่คือ “พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ)” แห่งวัดบวรนิเวศ และหนังสืออนุสรณ์งานศพเล่มนี้ยังได้รับการพิมพ์ซ้ำต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยถือว่าเป็นชีวประวัติอาจารย์มั่นเล่มแรกในบรรณพิภพ
ฌาปนกิจสังขารพระอาจารย์ใหญ่แห่งวัดป่าธรรมยุต
บันทึกของพระวิริยังค์บรรยากาศในงานศพเมื่อบ่ายวันที่ 31 มกราคม 2493 ไว้ว่า “จำเพาะพระภิกษุสามเณรที่มาในงานศพ 800 กว่า เฉพาะคฤหัสถ์เป็นจำนวนหมื่นๆมากมายเหลือครณา…ท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) ได้นำธูปเทียนของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (มรว.ชื่น นพวงศ์) ขึ้นไปยังเมรุมาสก่อน…แม้ว่าเวลาถวายเพลิงอยู่นั้นต้องมียาม มิฉะนั้นจะถูกคนขโมยหรือแย่ง (อัฏฐิธาตุ) เอา แม้ถึงอยู่ยามอยู่ก็ยังมีคนมาแย่งยื้อเอามือลงไปในไฟจับเอาอัฏฐิเสียไปได้ทีหนึ่ง ขณะถวายเพลิงอยู่บรรดาผู้หวังบุญพิเศษ ยังได้โยนหมวกที่สวมอยู่บ้าง เงินทองอะไรๆ บ้างเข้าเผาด้วยมากมาย”[25]
“เวลา 17 นาฬิกาของวันเผา คือรวมกันวางดอกไม้จันทน์ หรือเรียกว่าเผาหลอก ประชาชนแน่นขนัดในบริเวณวัดเนื้อที่ 50 ไร่ แม้เขาเหล่านั้นจะวางดอกไม้จันทน์กันแล้วทุกคนไม่กลับ รอคอยประชุมเพลิงจริง (เผาจริง) ดังนั้นถึงคราวเผาจริงคนจึงยิ่งมาเพิ่มขึ้นในเวลา 22.00 น.”
“วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 3 (ตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2493) เจ้าพระคุณธรรมเจดีย์ก็ได้รับเป็นผู้แจกพระอัฏฐิธาตุให้แก่บรรดาศิษย์ทั้งหลาย…”
เมรุชั่วคราวของพระอาจารย์มั่นนี้ คือตำแหน่งปัจจุบันของพระอุโบสถวัดป่าสุทธาวาสที่สร้างครอบทับเชิงตะกอนครั้งนั้นนั่นเอง
ในปีเดียวกันกับงานฌาปนกิจพระอาจารย์มั่น พ.ศ. 2493 นายเตียง ได้รับหน้าที่บรรณาธิการจัดพิมพ์ พงศาวดารเมืองสกลนคร โดย พระบริบาลศุภกิจ (คำสาย ศิริขันธ์) ผู้มีศักดิ์เป็นลุง หนังสือเล่มนี้พิมพ์จำหน่ายเพื่อสมทบทุนบูรณะวัดธาตุศาสดาราม เมืองสกลนคร
[1] พระวิริยังค์ สิรินธโร, หนังสือ เดินธุดงค์ภาคอีสาน 92 เผยความหลังแห่ง อาพาธ-มรณภาพ-ประวัติ-ฌาปนกิจ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ (พระอาจารย์ใหญ่ของคณะกรรมฐาน) และ กรรมฐานวินิจฉัย-อุปกรณ์กรรมฐาน ในหนังสือฉลองวัดธรรมมงคล เถาบุญนนทวิหาร, (โรงพิมพ์ตำรวจ 2510),น.103-104.
[2] ภาพในเว็บไซต์ http://www.luangpumun.org/b58b/pic/other2.jpg ระบุว่านายเตียงเป็น ‘ประธานกรรมการ’ ไม่ปรากฏเชิงอรรถอ้างอิงที่มาของข้อมูลนี้
[3] นิยม รักษาขันธ์, 2488 ครูอีสานกู้ชาติ สภาบันราชภัฎสกลนคร จัดพิมพ์ในโอกาส 100 ปี ปรีดี พนมยงค์ 91 ปี เตียง ศิริขันธ์ สืบสานอุดมการณ์ ประชาธิปไตย, พ.ศ.2543.
[4] สวัสดิ์ ตราชู, ลับสุดยอด เมื่อข้าพเจ้าเป็นเสรีไทยกับขุนพลภูพาน เตียง ศิริขันธ์, พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ.2533 เพื่อหาทุนสร้างอนุสาวรีย์ เตียง ศิริขันธ์,(สุขภาพใจ).
[5] 150th anniversary of the birth of the Venerable Ajaan Mun Bhuridatta Thera, monk (1870-1949) (Thailand, with the support of China, Republic of Korea and Viet Nam) เข้าถึงได้จาก https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000371424_eng
[6] ดำรง ภู่ระย้า, พระอาจารย์วิริยังค์ สิรนฺธโร (พระญาณวิริยาจารย์) วัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101 กรุงเทพฯ, โลกทิพย์ ฉบับที่ 37 ปีที่ 3เดือนกรกฎาคม (ฉบับหลัง) พ.ศ.2527,น.57.
[7] ทั้งนี้ ฉบับรวมพิมพ์ครั้งแรกๆ ที่พบปรากฏในงานศพของมารดาพระวิริยังค์ คุณย่ามั่น บุญฑีย์กุล ณ เมรุวัดธรรมมงคล 15 มกราคม 2521 ในชื่อเล่มว่า ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ฉบับสมบูรณ์, (ไม่มีเลชหน้า) หน้าสุดท้าย.
[8] พระครูญาณวิริยะ (วิริยังค์) และ ธวัชชัย อิศรางกูร ณ อยุธยา,อนุสรณ์เนื่องในงานฝังลูกนิมิตรวัดธรรมมงคล(เถาบุญนนทวิหาร), (โรงพิมพ์ตำรวจ:2509),น.81-157.
[9] พระวิริยังค์ สิรินธโร, หนังสือ เดินธุดงค์ภาคอีสาน 92 เผยความหลังแห่ง อาพาธ-มรณภาพ-ประวัติ-ฌาปนกิจ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ (พระอาจารย์ใหญ่ของคณะกรรมฐาน) และ กรรมฐานวินิจฉัย-อุปกรณ์กรรมฐาน ในหนังสือฉลองวัดธรรมมงคล เถาบุญนนทวิหาร, (โรงพิมพ์ตำรวจ 2510),น.98.
[10] เหตุการณ์ละสังขารของพระอาจารย์มั่น พระหล้ารูปนี้ต่อมาบันทึกไว้โดยละเอียดอย่างที่สุด
[11] ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน, ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ “ศรีสัปดาห์” พิมพ์เป็นธรรมานุสรณ์ในพระราชพิธีรัชดาภิเษก 9 มิ.ย.2514,น.341.
[12] พระเทพเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), อัตชีวประวัติ, พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ.2552,(kyodo nation printing),น.176-178.
[13] ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน, ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ “ศรีสัปดาห์” พิมพ์เป็นธรรมานุสรณ์ในพระราชพิธีรัชดาภิเษก 9 มิ.ย.2514,น.358.
[14] ทำไมคนเราต้องมีศาสนา พระนิพนธ์ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล (อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายประสาท สุขุม ณ เมรุวัดธาตุทอง 6 สิงหาคม พ.ศ.2516.
[15] อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ นายวิศิษฎ์ วัฒนสุชาติ ณ เมรุวัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 21 ก.ย.2539.
[16] หนังสือครบรอบ 100 วัน ฟอง นวลมณี
[17] เมือบ เดิมชื่อเถื่อน, กบฏแยกอิสาณ ในคดี เตียง ศิริขันธ์, พ.ศ.2491,(โรงพิมพ์ประเสริฐอักษร),น.13.
[18] วาระก่อนนิพพาน ของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ณ ศาลาที่พักอาพาธ พ.ศ.2492 วัดป่ากลางโนนภู่ ตำบลไร่ อำเภอพรรณานิคม จ.สกลนคร พิมพ์เป็นบรรณนาการพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์ศาลที่พักอาพาธ ท่านพระอาจารย์มั่น 29 ต.ค.2543,น.320.
[19] หลวงตาทองคำ จารุวณฺโณ, รำลึกวันวาน เกร็ดประวัติ ปกิณกธรรมและพระธรรมเทศนา ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร, พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ.2522, กองทุนแสงตะวัน วัดปทุมวนารามจัดพิมพ์,น.260.
[20] ปี พ.ศ.2535 ขณะที่เป็นฆราวาสในชื่อ ทองคำ ประพาน ได้เขียนหนังสือชื่อ กิจวัตรบางส่วน ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และ ประวัติวัดป่าสุทธาวาส จัดพิมพ์โดย อภิชาต-ธนรัชต์ ตีรสวัสดิชัย และ ดู James L. Taylor. “The Textualization of a Monastic Tradition: Forest Monks, Lineage, and the Biographical Process in Thailand”, in: JulianeSchober (ed.), Sacred Biography in the Buddhist Traditions of South and Southeast Asia, Honolulu: University of Hawai’i Press, 1997, pp.268-269.
[21] ดำรง ภู่ระย้า, ฤาษีสันตจิต อดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) แห่งวัดป่าเขาสวนกวาง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น, นิตยสารโลกทิพย์ ฉบับที่ 25 ปีที่ 3 เดือนมกราคม (ฉบับหลัง) พ.ศ.2527,น.64-108.
[22] ลูกศิษย์พระอาจารย์มั่นสายจังหวัดจันทบุรี เช่นเดียวกับท่านวิริยังค์
[23] พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต,ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2556 ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี http://www.sa-ngob.com/media/pdf/y56/04/p28-04-56am.pdf
[24] อีกหนึ่งเล่มเล็ก โอวาทปาติโมกขถา ของ สมเด็ดพระมหาวีรวงส์ สังคนายก พิมพ์เปนธัมทาน พิมพ์เปนธัมทาน ในงานพระราชทานเพลิงสพ พระสาสนดิลก กับ พระครูวิโรจน์รัตโนบล และในงานชาปนะกิจสพ พระมหารัตน์ กับ พระอาจารย์เสาร์ จังหวัดอุบลราชธานี 10 เม.ย. 86 (อักขระอยู่ในยุคปฏิวัติภาษาระหว่าง มิ.ย.85-พ.ย.87).
[25] พระวิริยังค์ สิรินธโร, หนังสือ เดินธุดงค์ภาคอีสาน 92 เผยความหลังแห่ง อาพาธ-มรณภาพ-ประวัติ-ฌาปนกิจ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ (พระอาจารย์ใหญ่ของคณะกรรมฐาน) และ กรรมฐานวินิจฉัย-อุปกรณ์กรรมฐาน ในหนังสือฉลองวัดธรรมมงคล เถาบุญนนทวิหาร, (โรงพิมพ์ตำรวจ 2510), น.154-155.