วจนา วรรลยางกูร, ภาวิณี คงฤทธิ์ เรื่อง
เมธิชัย เตียวนะ ภาพ
นับแต่อัลบั้มแรกในปี 2539 ถึงวันนี้วงพาราด็อกซ์อยู่ในวงการเพลงมายาวนาน 23 ปี ผ่านบทพิสูจน์ทั้งฝีมือและการยืนระยะสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมชื่อเสียงเรื่องการแสดงสดบนเวทีอันเปี่ยมด้วยความสนุก จนมีฐานแฟนเพลงที่เหนียวแน่น
ในฐานะนักร้องนำและนักแต่งเพลงของวง อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา หรือ ต้า พาราด็อกซ์ มองว่าเป็นความโชคดีที่วันนี้พาราด็อกซ์ผ่านพ้นการเป็นวงตกยุคได้ และยังมีงานต่อเนื่องในวันที่วงการดนตรีมาเร็วไปเร็ว
ความโชคดีนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มาจากคุณภาพและความต่อเนื่องของการทำงาน จนถึงการสนับสนุนจากคนที่เชื่อมั่นในพาราด็อกซ์ ที่ทำให้วงดนตรีนี้เป็นความทรงจำที่ยังมีชีวิตอยู่ของคนฟังเพลงหลายวัย
สิ่งที่นำให้เราไปคุยกับต้าครั้งนี้ไม่ได้เริ่มจากเรื่องผลงานเพลง แต่เป็นเรื่องความสนใจใหม่ของเขา เมื่อเขากำลังเริ่มต้นเขียนนิยายเรื่อง ‘จดหมายจากดวงจันทร์’ ลงใน NoozUP พร้อมประกาศว่า
“ความฝันก้าวที่ 2 คือการเขียนนิยาย, ความฝันก้าวที่ 3 คือการเขียนบทภาพยนตร์, ความฝันสูงสุด คือการเป็นผู้กำกับภาพยนต์”
อีกหนึ่งความสนใจของต้าคือการเข้าสู่วงการพระเครื่องอย่างจริงจังในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และกำลังทำหนังสือพระเกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ซึ่งเป็นพระรุ่นที่เขากำลังสะสมอยู่
ความสนใจอันหลากหลายที่ดูไม่ค่อยเข้ากับภาพนักร้องวงร็อกนี้เอง ที่ต้าบอกว่าสะท้อนความเป็น ‘พาราด็อกซ์’ ในชีวิตของเขา
เริ่มสนใจเรื่องพระเครื่องได้อย่างไร
พื้นฐานเป็นคนชอบของเก่าอยู่แล้ว พวกเสื้อเก่า ของโบราณ ชี้อันไหน อันนั้นแพงทุกทีเลย ถ้ามองในแง่ดีคือตาถึง จับตุ๊กตาเก่าก็เจอราคาเป็นหมื่น หรือเจอพวกเมดอินอิตาลี เป็นคนที่โดนแบบนี้ตลอด ตกใจ หลักร้อยยังคิดเยอะเลย
แล้วบ้านผมอยู่ติดวัดหลวงพ่ออี๋ สัตหีบ ใกล้ขนาดที่ว่าข้ามไปเตะฟุตบอลประจำ งานวัดทุกปีจะได้เหรียญหลวงพ่ออี๋ เลยเริ่มสนใจตั้งแต่ตอนนั้น ไปเที่ยวต่างจังหวัดก็ต้องเข้าวัด ไปชะโงกดูหน้าตู้พระ องค์ไหนสวยก็เช่าฝากพ่อฝากญาติเป็นของที่ระลึก คล้ายไปเที่ยวเชียงใหม่แล้วต้องหาพวงกุญแจมาฝาก พอโตขึ้นเวลาไปทัวร์ก็ไปดูพระเหมือนเดิม แต่จะเริ่มกระเถิบไปถามคนหน้าตู้พระว่ารุ่นไหนหายาก ส่วนใหญ่เช่าไปฝากพ่อกับพี่นิค เจ้าของค่ายเทป
มาเริ่มจริงจังเพราะมีรุ่นน้องเป็นเซียนพระ เขามาบิวด์เล่านู่นเล่านี่ ผมก็เริ่มถาม “เฮ้ย จริงเหรอ” แต่จะผงะเพราะราคาพระสูงมาก ไม่ใช่ 50-100 บาทแล้ว คราวนี้เป็นหมื่นเป็นแสน ก็นึกในใจ โห…พระแพงขนาดนั้น ใครจะไปซื้อ แต่เราเริ่มหาข้อมูลในเว็บไซต์ นั่งดูเขาประมูลพระกัน ศึกษาเป็นปีโดยไม่ได้ซื้อพระเลย จนวันหนึ่งลองเช่ามาองค์หนึ่ง ก็เริ่มคิดว่า…ไม่ได้แล้ว เสียเงินไปแล้ว เดี๋ยวโดนพระปลอม พอมีของอยู่ใกล้ตัวก็เริ่มอยากรู้มากขึ้น
ผมเริ่มสะสมจริงจังประมาณ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2559 ตอนนี้มีเป็นร้อยองค์ ผมเป็นพวกบ้า เวลาสนใจก็สนใจเชิงลึก
ของแบบนี้เขาบอกราคากันไหม
มีหลายราคา เหมือนเป็นราคาตามใจชอบ ซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไม่ขาย สิ่งที่มีเสน่ห์ของวงการพระคือการเป็นทั้งบทเรียนชีวิต การป้องกันไม่ให้ถูกคนหลอก เป็นเทคนิคการขาย การโกงที่เก่ง แล้วเอาทั้งหมดมาใช้กับทุกด้านของชีวิตได้ มันเลยน่าตื่นเต้น เหมือนเปิดโลกใหม่ที่มีเสน่ห์รอบด้าน ตัวพระก็มีเสน่ห์หลายมุม ทั้งการสร้าง ผงที่เอาไปทำพระเขาเสกยังไง บางทีก็เอาดินจากป่าช้ามา แต่ดูพระเป็นแล้วต้องดูคนให้เป็นด้วย เรื่องคนในวงการเหมือนเราดูหนังสามก๊ก จะมีหักมุมหักเหลี่ยมกันเสมอ
พอได้บทเรียนก็เอามาต่อยอด การประมูลพระความสนุกมันอยู่ตรงไหน ก็เอาตรงนั้นมาเป็นจุดสนุกเวลาขายของในเพจเราบ้าง ขายยังไงให้น่าสนใจ หรือวิธีป้องกันการถูกโกงถูกหลอก ผมว่าจริงอย่างที่เขาลือเลยว่าใครเรียนรู้วงการพระได้เก่ง ก็อยู่ได้ทุกวงการจริงๆ เพราะมันเข้มข้นมาก
เคยเจอของปลอมหรือโดนหลอกไหม
แทบไม่เจอ อาจเพราะเป็นคนมีชื่อเสียง เขากลัวจะกลายเป็นข่าวใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ถูกมองว่ามีตังค์ก็อัดราคาไปสุดเพดานเลย ราคาร็อคสตาร์ ถ้าเป็นหุ้นก็เหมือนติดดอยแทบทุกตัว
พอจะบอกได้ไหมว่าที่แพงสุดที่ซื้อมาคือเท่าไหร่
เป็นแสนครับ แต่ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุน เขากลัวโจรขึ้นบ้าน แล้วที่ขมกว่านั้นคือมันเป็นเรื่องจริงที่ขโมยอาจจะขึ้นบ้านคุณได้ถ้ารู้ว่ามีพระเครื่องดัง หยิบไปลังนึง ตังค์ก็หายไปหมดแล้ว บางบ้านขโมยไม่เอาอย่างอื่นเลย เอาแต่พระไปกล่องเดียว หายไปแล้วล้านนึง พระบางองค์เป็นล้าน 10 ล้านยังมีเลย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แขวนเพราะแพงไป ใครจะกล้าแขวนล่ะ
มีรุ่นไหนที่สนใจเป็นพิเศษ
ตอนนี้ที่เก็บสะสมเป็นหลักคือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา และหลวงพ่อพาน วัดโป่งกะสัง ประจวบฯ เพราะอยู่ใกล้คนที่รู้เรื่องนี้และให้ข้อมูลเราได้ก็เลยสนุก มีที่ปรึกษาอยากรู้อะไรถามได้ตลอด ถ้าไม่รู้ข้อมูลเลยจะถูกหลอกง่าย ผมจะค่อนข้างกังวลและไม่กล้าไปยุ่งเลย กระทั่งพระมาตรฐานแต่ถ้าไม่รู้จักใครที่จะถามได้ก็ไม่กล้าเล่น เหมือนเราไม่มีที่พึ่ง
ในใจมีพระรุ่นไหนที่เป็นสุดยอดและอยากได้ไหม
ทุกคนก็คงอยากได้พระสมเด็จวัดระฆัง อธิษฐานไปเรื่อยว่าขอให้ได้ เพราะหายาก แพง และคนหลอกเยอะสุดๆ เปรียบเทียบเหมือนเรามีรถแพงก็ใช้ในชีวิตประจำวันลำบาก จอดไว้ริมถนนก็กังวล ก็เลยเลิกคาดหวัง สนใจพระที่พอเก็บได้ ตอนนี้ผมเก็บพระเพื่อศึกษาดูของเก๊-ของแท้ กับอีกด้านคือเอามาทำหนังสือพระหลวงปู่ดู่ วัดสะแกที่กะจะทำให้เสร็จปีนี้
ตอนแรกกังวลว่าทำหนังสือพระจะสู้คนอื่นได้หรือเปล่า เราไม่ได้เป็นคนวงใน เลยโฟกัสไปที่รุ่นที่ตัวเองชอบ คอนเซ็ปต์คือเราเจออะไรดีๆ มาก็อยากแนะนำ
พระเครื่องสำหรับคุณมีความหมายยังไง
เป็นการสะสมของเก่า ส่วนเรื่องความเชื่อ บาปบุญคุณโทษ อภินิหารต่างๆ มีเพื่อนบอกว่าเอารูปพระจากหนังสือหรือปฏิทินมาพกติดตัวก็อภินิหารแล้ว ผมเลยแยกเรื่องความเชื่อกับการสะสมพระเครื่อง แต่ทุกวันนี้ก็ค้นหาว่าแขวนพระองค์นี้แล้วจะช่วยด้านไหนของชีวิต เป็นความสนุกแต่ไม่ได้คาดหวัง เน้นเก็บสะสมเป็นของเก่ามากกว่า ไม่งั้นองค์เดียวก็พอและไม่ต้องแพงก็ได้ แต่เราชอบของหายาก เกรดพรีเมียมนั่นนี่ เลยไปกันใหญ่
เรื่องอภินิหารก็พยายามจะเชื่อ แต่ไม่ค่อยเจอ เหมือนคนพยายามจะเชื่อเรื่องผีแต่ไม่เคยเจอผีหลอก เป็นเสน่ห์ในการค้นหา
มองเรื่องการเก็บสะสมพระเครื่องเชื่อมโยงกับเรื่องศาสนาไหม
ก็โยงครับ ตั้งแต่แขวนพระก็จะเกรงใจพระ จะตีมดตีแมลงสาบสักตัวยังไม่กล้าเลย เมื่อก่อนตีเลยภายใน 1 วินาที พอแขวนพระก็ไม่กล้าทำอะไรไม่ดี แล้วทำให้สวดมนต์มากขึ้น เข้าวัดมากขึ้น เป็นอุบายธรรมให้เราไปในทางที่ดีขึ้น เหมือนเรามีมือถือแล้วอยากชาร์จแบต (หัวเราะ) ได้พระมาแล้วอยากจะให้ศักดิ์สิทธิ์ก็สวดมนต์ตามที่เขาบอก ตอนหลังก็ลองสวดมนต์โดยไม่เกี่ยวกับความคาดหวังแล้ว
แต่ผมอาจจะเป็นคนทำบาปไม่ค่อยขึ้น ผลกรรมมักจะตามสนองแบบติดจรวด เวลาจะทำบาปกรรมอะไรเลยต้องคิดให้ดีก่อน
คิดยังไงเวลาคนพูดว่าการบูชาพระเครื่องไม่ใช่แก่นของศาสนาพุทธ
แล้วแต่มุมมอง ผมไม่ค่อยสะเทือนอยู่แล้วเพราะเก็บเป็นการสะสมของเก่า ไม่ได้เก็บในทางงมงายให้เจริญหรือให้ถูกหวย ถ้าอยากได้ความศักดิ์สิทธิ์ก็สวดมนต์ให้มีพระอยู่ในใจก็ได้ แต่คุณมีพลังจิตแข็งกร้าวขนาดนั้นหรือเปล่า มันเหมือนป้ายจราจรไว้เตือนตัวเอง ไม่งั้นไม่ต้องมีไฟแดงก็ได้ ถ้าทุกคนขับรถตามกฎจราจรด้วยใจอันแน่วแน่ (หัวเราะ) จริงๆ เรื่องพระเครื่องอาจจะไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าเรามีใจอยู่ในพุทธศาสนาที่ดี
มองยังไงที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่นับถือศาสนาหรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องศาสนาเท่าไหร่
ถ้าทำได้ขนาดนั้นก็ต้องจิตใจแข็งแกร่งจริงๆ ซึ่งคงมีน้อยคน การมีที่ยึดเหนี่ยวดีตรงที่ว่าถ้าผมไม่ได้แขวนพระก็อาจจะตื้บแมลงสาบใน 1 วินาที เห็นปุ๊บเหยียบปั๊บ แต่ว่าวันนี้เราเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย…เป็นเพื่อนร่วมโลก แล้วก็ปล่อยไป ทำให้เราระลึกถึงแล้วมีกำลังใจที่ดีขึ้น มีจุดยึดเหนี่ยวที่ดี
การสะสมพระเครื่องดูขัดแย้งกับภาพความเป็นพาราด็อกซ์หรือเปล่า
ภาพรวมก็เลยยิ่งเป็นพาราด็อกซ์เข้าไปใหญ่ (หัวเราะ) ดูเป็นอะไรที่แหวกแนว ผมเป็นคนที่ถ้าชอบอะไรก็จะลงลึกไปเลย ชอบพระก็หาข้อมูล ประเทศไทยมีเป็นพันหลวงพ่อ เหมือนดูซีรีส์เป็นพันเรื่อง สนุกสนานไปเรื่อย แต่ชอบศึกษาคนมากกว่า
อีกสิ่งที่กำลังทำตอนนี้คือเริ่มเขียนนิยาย
หลายคนชอบชมว่าแต่งเพลงดี แต่ที่ผ่านมาผมรู้สึกตลอดว่าสิ่งที่ทำได้ดีกว่าคือการเป็นนักเขียนนิยาย ยังไม่เคยทำแต่ผมมีความเชื่อนั้นตลอด ตอนแรกกะจะทำหนังสือพระให้เสร็จแล้วเขียนนิยายต่อ แต่ดูแล้วน่าจะนานเลยเริ่มต้นเขียนนิยายเลย
ผมอยากให้คนรู้จักเพลงของพาราด็อกซ์มากขึ้น ก่อนหน้านี้เคยเขียนหนังสือเบื้องหลังการทำเพลง แล้วคนถามว่าเมื่อไหร่จะมีเล่ม 2 เลยเปลี่ยนเทคนิคให้ตัวละครเล่าเรื่องแทน จุดประสงค์อีกอย่างคืออยากให้แฟนเพลงสนุกกับการตามรอยตัวละคร คิดเล่นๆ ว่าในอนาคตอาจจะพอไปทำเป็นบทภาพยนตร์ได้ คนจะได้รู้จักเพลงในมุมลึก
การฟังเพลงยุคใหม่มีตัวเลือกที่ง่ายขึ้นและถูกข้ามไปอย่างรวดเร็ว เพลงที่น่าสนใจจะอยู่ในยุคก่อนหน้านี้ เราอยากชวนคนรุ่นใหม่กลับไปฟังเพลงหรือลองเข้าสู่โลกของวงเรา เลยตื่นเต้นมากที่จะได้เขียนนิยาย น่าจะติดตามกันได้ทุกสัปดาห์
เคยเขียนหนังสือมาแล้ว แต่เรื่องนี้จะเป็นฟิคชั่นครั้งแรก มองว่ายากกว่าที่ผ่านมาไหม
ยากกว่า เพราะหนังสือที่ผ่านมาพูดเรื่องเราเองไม่ต้องโยงเรื่องแบบนิยาย ผมวางแผนเขียนนิยายมา 5-6 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ทำ แค่จะคิดนามสกุลนางเอกพระเอกก็ต้องหาข้อมูล ถึงได้รู้ว่าคนไทยมีนามสกุลแปลกประหลาดเยอะมาก ขนาดคิดคำบ้าๆ บอๆ ยังมีคนนามสกุลนี้เลย และต้องมานั่งค่อยๆ คิดว่า ตัวละครนี้มีญาติหรือเพื่อนไหมเพื่อนำเรื่องราวไปสู่เชิงลึก ถ้าสร้างโครงไม่ดีก็เหมือนบ้านที่จะเป๋ไปเรื่อยๆ แล้วจะพังไปหมดเลย
ถ้าเป็นบทความก็ใช้ข้อมูลหรือเรื่องส่วนตัวจบตรงนั้นได้เลย แต่นิยายใช้เวลาคิดเยอะ โดยเฉพาะถ้าคาดหวังให้แฟนเพลงตามรอยก็ต้องไปหาสถานที่จริง ผมไปฝังตัวอยู่แม่ฮ่องสอนช่วงหนึ่งเพื่อถ่ายรูปใช้เป็นฉากในเรื่อง สนุกมาก คิดถึงบรรยากาศ โทนที่อยากจะสื่อ อารมณ์หลักคืออยากให้ผู้หญิงอ่านแล้วชอบ เป็นเรื่องที่อบอุ่น ได้แรงบันดาลใจ คิดถึงวิทยุ เพื่อนสนิท การเขียนจดหมายถึงกันและได้บรรยากาศติสต์ๆ หน่อย
หลายเพลงที่แต่งก็มีลักษณะเป็นฟิคชั่น
ครับ แต่นิยายจะลึกได้กว่าเพราะมีหน้ากระดาษ ก่อนหน้านี้ผมออกหนังสือชื่อว่า ‘อยากมีเธออยู่ตรงนี้’ เป็นการเก็บสมุดโน้ตก่อนจะเป็นเพลงหนึ่งเพลง บางเพลงเขียนมา 4-5 หน้า คำสวยมากเลย แต่ใส่ในเมโลดี้ไม่ได้ทั้งหมด ผมเสียดายก็เลยเอามาพิมพ์
พอเป็นนิยายขยายได้เต็มสตรีมเลย พาไปย้อนยุคสร้างเรื่องราวซ้อน เพลงหนึ่งเล่าได้เป็นบท สามารถสร้างโลกได้ลึกกว่าเพลงที่มีปัจจัยเรื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง ไอเดียการผสมเพลงเข้ากับนิยายเป็นการเล่าเรื่องที่เราถนัดที่สุด ผมเพิ่งก้าวเข้ามาในวงการเขียนนิยาย ยังไม่คุ้นก็ใช้การเขียนจดหมายแทน เขียนตอนหนึ่งก็เหมือนการส่งจดหมาย เขียนไม่ต่อเนื่องก็โยนความผิดให้ตัวละครเลย สำเนียงเด็กๆ ก็แก้ทางให้ตัวละครเป็นเด็กหน่อย นิยายเล่มนี้ค่อยๆ ขยับจากเพลงกลายเป็นนิยาย อนาคตพอเก่งแล้วอาจกระโดดไปเป็นนิยายของแท้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์
เพลงพาราด็อกซ์จะมีหลายโทนมากเลย โรแมนติก บ้า พิสดาร แต่นิยายจะคุมโทนโรแมนติก เหมาะสำหรับคนที่มีความฝัน มีความอบอุ่นใจ มองโลกในแง่บวก
ถือว่ายังใหม่ในเวทีนี้ มีความกังวลไหมเมื่อนิยายไปถึงมือคนอ่าน
งานเขียนนี่แปลกประหลาดมาก อาจจะโม้ก็ได้ ยังไม่ทันเขียนเลยแต่รู้สึกว่าจะยิ่งใหญ่กว่างานเพลงอีก (หัวเราะ) ทุกวันนี้ให้ไปขึ้นร้องเพลงจะรู้สึกเขินๆ แต่ในการเป็นนักเขียนรู้สึกตรงกันข้ามเลย เมื่อไหร่จะมีคนอ่านสักที อยากจะระเบิดออกมา เลยใช้เซนส์ว่าน่าจะประสบความสำเร็จ
ถ้าไม่เวิร์คอย่างที่คิดจะเจ็บหนักหรือเปล่า
ไม่มีทางเจ็บหนัก เพราะส่วนใหญ่เขียนให้ตัวเองอ่านก่อน (หัวเราะ) เขียนเสร็จแล้วอ่านเอง อุ๊ย…สนุกจังเลย น้ำตาไหลร้องไห้อยู่คนเดียว ซาบซึ้งใจ ไม่ใช่เขียนโดยคิดว่าแบบนี้ชาวบ้านชอบแน่ อันนี้จะผิดหวัง เพราะถ้าชาวบ้านไม่ชอบ แล้วใครชอบวะ ตัวฉันก็ไม่ได้ชอบเพราะฉันทำให้ชาวบ้านอ่าน
พอเราทำมาเพื่อเสิร์ฟตัวเอง มันอร่อยแล้วก็อยากเอามาแบ่งปัน นิยายพวกนี้วนอยู่ในหัวเหมือนดูซีรีส์ซ้ำเป็น 10 ปี ทำแค่คัดออกมาปัดฝุ่นนิดหน่อยเพื่อเผยแพร่ เห็นภาพเป็นนิทานก่อนนอนทุกวัน มีความสุขกับตัวเอง บางทีก็น้ำตาไหลเอง ฟังเพลงแล้วก็…โอ๊ย ทำไมถึงดีอย่างนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะเอามาให้คนอื่นได้แฮปปี้ร่วมกัน เท่านั้นเองถึงได้มั่นใจ
มองการเขียนเพลงหรือเขียนนิยายว่าเป็นตัวเองมากกว่าการร้องเพลงหรือเปล่า
ใช่ การร้องก็เหมือนการวิ่งเร็ว ถึงจุดหนึ่งเราวิ่งได้เร็วสุดๆ คือ 9 วินาที แต่คนอื่นวิ่งไป 7 วินาที 6 วินาที ต้องมองตาปริบๆ อยู่ที่ว่าจะพลิกแพลงยังไง เหมือนคนหนึ่งวาดภาพสวยมากเลย อีกคนวาดเหมือนเด็ก จะทำยังไงให้ภาพวาดแบบเด็กมันดูอาร์ต พอมันเหมาะเจาะก็สวยได้ อยู่ที่การหาจุดที่เหมาะสมกับตัวเอง
วันๆ เสพงานอะไรเพื่อเป็นวัตถุดิบเขียนนิยายหรือเพลง ดูเหมือนในหัวมีอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดเลย
เพื่อนชอบถามว่าตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นฟังเพลงสักเพลงเลย ผมก็มานั่งนึก…เออ ใช่ ขับรถก็เปิดข่าวไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน อาจจะตั้งแต่สมัยเด็กที่ต้องเดินทางบ่อยแล้วไม่มีอินเตอร์เน็ต ก็ต้องซื้อเทปตามขนส่งไว้ฟัง ตุนไว้เยอะสมัยก่อน ใช้บุญเก่าจากความทรงจำในการเขียนเพลงทำงานต่างๆ ยุคนี้วันๆ ก็สนใจแต่พระ ความสนใจเปลี่ยน แต่ความรู้สึกจะมาเอง อาจเพราะมีรากฐานที่สะสมมาตั้งแต่เด็ก
ที่มาความเป็นแฟนตาซีในงานเพลงของตัวเองมาจากไหน
น่าจะเกี่ยวกับพรสวรรค์เพราะเราไม่ต้องคิดอะไร มันมาเองเหมือนคนทรงเจ้า (หัวเราะ) ยุคนี้ก็ต้องกดโทรศัพท์อัดหรือรีบจดไว้ เป็นอะไหล่ที่จะผสมผสานจากสิ่งที่เราเคยเห็นนู่นนี่นั่นมา แล้วกลั่นเป็นไอเดียขึ้นมาเอง ความที่มันเหมือนคนทรงเจ้าทำให้ผมค้นพบว่ามันคือพรสวรรค์ เพราะว่าสอนใครยาก แต่ถ้าสอนง่ายที่สุดก็คือต้องไปเจอสภาพสังคมที่หลากหลาย ยิ่งถ้าท่องเที่ยวบ่อยก็จะยิ่งมีข้อมูลในการเอามาประมวลผลเยอะ เหมือนเรามีอะไหล่ มีภาพเยอะ
มีเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากอะไรแปลกๆ ไหม
เพลง ‘หลุมศพปลาวาฬ’ มีที่มาจากความผยองมาก ห่ามมาก ส่วนใหญ่ที่มาของเพลงแปลกๆ มาจากการอยากจะแกล้งคนฟัง แกล้งเพื่อน แกล้งแฟนเพลง อยากเห็นสีหน้าตกใจ ทำไงก็ได้ให้ตกใจมากที่สุด…ก็ทำเพลงให้ไม่ต้องรู้เรื่องแล้วแกล้งดูว่าคนชอบตีความกันนัก
เพลงนี้เกิดไอเดียว่าถ้าเราเอาคำที่ไม่มีความหมายมาเรียงกันให้โลดโผน คอนเซ็ปต์คือภาพคอลลาจตัดแปะ ดึงคำโน้นคำนี้มาแปะแล้วจุดสำคัญที่สุดคือการชงให้เป็นเรื่องราวก็ได้หรืออาจจะไม่เป็นเรื่องราวก็ได้ ถ้าชงไม่เก่งคนจะรู้ว่ามั่ว…ใครก็ทำได้ ทักษะของเราคือชงให้เกิดความเซอร์เรียล ทีนี้ความสนุกเกิดเมื่อคนพยายามเอาตัวเองเข้าไปผสมกลายเป็นรสชาติสุดท้าย คนนี้บอกว่าเพลงพูดเรื่องการเมืองเพราะในหัวเขาอาจจะกำลังสนใจการเมือง เพลงนี้พูดเรื่องความรัก ปรัชญาชีวิต…เราก็มานั่งขำ ไม่ได้พูดเลย
เป็นการทดลองที่น่าตื่นเต้นมาก ใช้คอนเซ็ปต์เดียวกับภาพวาดนามธรรม คนฟังจะได้ความรู้สึกกลับไปโดยเล่าไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครอกหัก ไม่มีใครตบตีกัน (หัวเราะ) มันเป็นเพลงรักหรือเปล่า หรือเป็นการเมือง แล้วความรู้สึกที่เป็นนามธรรมจะเปลี่ยนไปได้ตามอายุ ฟังวันนี้รู้สึกอกหัก ไม่เห็นมีคำอะไรแต่ทำไมรู้สึกอกหักจัง พอผ่านไป 3-4 ปีฟังเพลงเดิม เฮ้ย คราวนี้มันเป็นเพลงปรัชญาชีวิต แล้วเพลงมันจะไม่เก่า
แต่สุดท้ายน่าจะมีเรื่องอะไรที่คิดอยู่สักอย่างก่อนจะออกมาเป็นนามธรรม
เป็นภาพแฟนตาซี ผมนึกถึงภาพคน สีม่วงๆ วิทยาศาสตร์ จักรวาล ลึกไปถึงภาพนั้นแล้วชงมาเป็นคำว่า ‘หลุมศพปลาวาฬ’ แล้วในนั้นจะมีคำแปลกๆ รวมอยู่มากมายใช้คำที่ขัดแย้งในตัวเอง เช่น ‘ฟันปลอมแท้’ ฟันปลอมจะเป็นของแท้ได้ไงในเมื่อมันเป็นฟันปลอม (หัวเราะ) ถ้าเป็นเพลงแปลกของพาราด็อกซ์ แนะนำเพลงหลุมศพปลาวาฬ เป็นมาสเตอร์พีซของการทำเพลงในภาพรวมของวง มันล้ำไปมาก
เห็นการตีความเพลงจากที่ไหน ได้เข้าไปอ่านคอมเมนท์ใต้เพลงหรือเปล่า
ผมไม่เคยอ่านคอมเมนท์ในยูทูบหรือใต้เพลงเลย ผมจัดมีตติ้งในมหาวิทยาลัย ให้แฟนเพลงที่ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกวาดภาพตามจินตนาการ ภาพออกมาไม่เหมือนกันเลย ถ้าวาดไม่เก่งก็วาดปลาวาฬ บางคนก็วาดจินตนาการต่อไปอีก แล้วก็จัดประกวดภาพวาดจากเพลงนี้ แฟนเพลงวาดรูปเก่งมากจนน่าตกใจ แต่เป็นมุมมองที่เราอยากให้เป็น
เรื่องที่น่าเศร้าคือคนส่วนใหญ่มองว่าเพลงพาราด็อกซ์ต๊อง ต๊องยังเป็นคำที่ปรานีหน่อย ถ้าบอกว่าเพลงอะไรวะแม่งไร้สาระชะมัด อันนี้เป็นคำที่ค่อนข้างโหดร้ายต่อความรู้สึก แต่ส่วนใหญ่ไม่กระทบเพราะผมเป็นพวกมั่นใจในเพลงตัวเองสูง (หัวเราะ) จะรู้สึกเซ็ง บางทีมีรางวัลต่างๆ แล้วมันหลุดโผไปเลยก็น่าเศร้า ยอมรับว่าคนที่เขาได้รางวัลเขาเก่ง แต่เราก็รู้สึกว่า โอ๊ย…ทำไมคนที่ทำงานซับซ้อนขึ้นมามากๆ แล้วคนไม่เห็นก็น่าน้อยใจ
แต่พออยู่ในวงการนานจนเห็นผลงานออกดอกผลก็ค้นพบว่ามาถูกทางแล้ว เหมือนพระยิ่งเก่ายิ่งคลาสสิก ค่อยๆ แตกลายงาเป็นความงดงาม ระยะเวลาเป็นตัวพิสูจน์คุณค่าของผลงาน ทุกวันนี้ในวงการสะสม ทั้งเทป ซีดี ทุกอย่างของวงเราแพงหมดเลย จนซื้อเองยังไม่ได้ (หัวเราะ) ตอนนี้คนไม่เข้าใจก็ไปห้ามเขาไม่ได้ ความพิเศษจะค่อยๆ ออกมาทีละเล็ก ไม่เบื่อ และงานของวงมีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่ ความไม่เนี้ยบกลายเป็นเสน่ห์ เป็นส่วนผสมสุดท้ายที่ลงตัวทำให้งานมีชีวิต บางทีก็อัดง่อยแต่กลายเป็นทำให้ดูคลาสสิกไปเฉยเลย (หัวเราะ) ผมมานั่งฟังอีกที เฮ้ย ดีนะ ถ้าอัดมาเนี้ยบไม่ได้อารมณ์แบบนั้น
อยู่ในวงการจนพูดได้ว่าเป็นวงตำนานแล้ว ยังต้องการความเข้าใจหรือการยอมรับอีกเหรอ
ใช่ เหมือนเราเขียนรูปพระจนเห็นแววตาปิ๊งๆ แล้วคนบอกว่าจีวรไม่สวย เราจะรู้สึกว่าทำไมมองไม่เห็นตาปิ๊งๆ ที่วาด งั้นอีก 10 ปีค่อยเห็นก็ได้วะ ที่น่าตกใจคือส่วนใหญ่ทุกอย่างที่คาดไว้จะใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 ปี คนถึงจะเห็น เลยมองว่างั้นทำเพื่ออนาคตแล้วกัน 10 ปีค่อยมาชื่นชม ก็สนุกอีกแบบ
ในแผงเทป งานวงเราที่เป็นเกรดซีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่มีใครสนใจ ทั้งที่ตัวเองรู้สึกว่าน่าจะมีคนเห็น ตอนนี้กลายเป็นงานขึ้นหิ้งเก็บสะสม โดยไม่ต้องตั้งคำถามอะไรแล้ว เทปที่ซื้อกันร้อยนึง มาขายกันพันนึง ทำให้เราเห็นว่ามาถูกทาง
พอผ่านความสำเร็จมาหลายครั้ง ทำให้เวลาคิดเพลงใหม่ยากขึ้นไหม รู้สึกต้องก้าวข้ามความสำเร็จที่ผ่านมาของตัวเองไปแตะจุดใหม่ให้ได้หรือเปล่า
ไม่ยากเลย เพราะมีความมั่นใจสูงมาก ไม่รู้ทำไมนะ (หัวเราะ) เรื่องอื่นไม่มั่นใจ ขึ้นไปร้องเพลงไม่มั่นใจ รายการดังๆ เชิญไปทำนู่นนี่ ให้ไปเป็นคอมเมนเตเตอร์ ผมขอเลย ให้อยู่อย่างนี้แหละดีแล้ว แต่เรื่องเขียนเพลงมั่นใจ เรื่องนิยายก็มั่นใจ เหมือนคนทรงแหละ นั่งมา เฮ้ย มาแล้วไอเดียใหม่ เทคนิคนี้ไม่รู้เกิดมาได้ยังไง จะมาสอนน้องๆ ก็คิดไม่ออก รู้อย่างเดียวคือเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและสังคมบ่อยๆ ทำให้เราไม่ตัน
ความรู้สึกในการร้องเพลงเดิมซ้ำๆ จากวันแรกที่เปิดตัวมาถึงวันนี้ยังเหมือนเดิมไหม
อย่าง เพลงฤดูร้อน จะคล้ายคอนเซปต์ของวงเลย ไม่ใช่เพลงโปรโมทแต่รู้สึกมั่นใจ งานดีอยากเผยแพร่เลยดันด้วยตัวเอง ช่วงแรกมันขมมาก คนฟังยืนดูอย่างเดียว ยุคนี้ยิ่งเป็นเลย ออกเพลงใหม่จะขมมากเพราะเป็นยุคขายตรงต้องจิ้มเพื่อดูโดยเฉพาะ ไม่สามารถกินก๋วยเตี๋ยวแล้วเห็นผ่านทางทีวีได้แล้ว ก็เลยต้องกัดฟันเล่นเหมือนตอนเพลงฤดูร้อนออกมา จังหวะมันแหวกแนวเล่นไปเรื่อยๆ คนเริ่มสนุกก็บอกต่อกัน ทุกวันนี้กลายเป็นเพลงดังที่สุดของวง ทั้งที่ไม่ใช่เพลงโปรโมท
ตอบโจทย์ได้ว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา การที่มันไม่ดัง ณ ตอนนั้นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ดังเสมอไป อยากบอกทุกคนที่ทำงานแล้วตอนนี้อาจจะโวยวายอยู่กับตัวเอง วันนี้ไม่ได้แปลว่าจะเป็นบทสรุป อนาคตก็เหมือนเพลงฤดูร้อน
คติพจน์ประจำวันนี้คือ ‘เพลงฤดูร้อนไม่ใช่เพลงโปรโมท’
ความบ้า-ความสนุกของพาราด็อกซ์ในวันนี้เหมือนกับเมื่อ 20 ปีที่แล้วไหม
มองได้หลายมุม เพราะเพื่อนผมบางคนแก่แล้วก็แก่เลย (หัวเราะ) ต้องคอยกระตุ้น บังคับใจคนไม่ได้ก็ใช้วิธีอื่น เปลี่ยนโชว์ เปลี่ยนเพลง เปลี่ยนชุดบ้าง พอเริ่มเป็นรูทีนก็มานั่งซ้อมเพลงใหม่ ให้คนอื่นรู้สึกสดชื่น พยายามกระตุ้นกันทั้งทีมว่า อย่าคิดว่าการเล่นดนตรีเป็นของตายตัว ข้อน่ากลัวที่สุดพอทำมานานคือความสนใจเปลี่ยน ฉันมีงานประจำคือเล่นดนตรี แต่ไปสนใจเรื่องอื่นเป็นหลัก ก็ต้องคอยกระตุ้นกัน
ในความมีชื่อเสียง ถ้ามีคนยกคุณเป็นไอดอล มีเรื่องอะไรที่คิดว่าเป็นแบบอย่างให้เขาได้และเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้เขาทำตาม
ความมั่นใจในคุณค่าของผลงานตัวเอง เราไม่ได้ไปดูถูกใครแต่เราก็ไม่ได้ดูถูกตัวเองเท่านั้นเอง งานคนอื่นดีก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่เราต้องไม่ดูถูกผลงานตัวเอง วันนี้ไม่ประสบความสำเร็จก็ทำงานต่อไปเรื่อยๆ ให้ต่อเนื่องและมั่นใจในผลงานของตัวเอง และอยากให้เริ่มต้นโดยเอาสิ่งที่ตัวเองถนัดมาทำ อย่างน้อยพื้นฐานเราต้องชอบงานตัวเองด้วย เพราะรุ่นใหม่มักจะหลงทาง เห็นเขาชอบสไตล์นี้ก็เอาด้วย ดังมากเลยแต่ระยะยาวจะกลายเป็นงานที่ไม่มีคุณค่าน่าจดจำ อยู่ในกองเทปม้วนละ 10 บาท เพราะมันเป็นกระแส อยากให้มองวงเราเป็นตัวอย่างของการทำงานที่ต่อเนื่อง ให้คุณค่ากับผลงานของตัวเอง
สิ่งที่ไม่ควรทำตาม…ไม่ค่อยมี (หัวเราะ) เราไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายขนาดนั้น ไม่ได้ไปกระโดดเตะก้านคอคุณยาย
เรื่องงานเพลงมีอะไรที่อยากทำให้ได้อีกไหม
ตอนนี้กำลังสนใจเรื่องที่ก้าวกระโดด อย่างเอาเพลงมาแต่งเป็นนิยาย ให้เห็นมุมมองในเชิงลึกของเพลงมากขึ้น โปรเจ็กต์ต่อไปจะกระเถิบไปเรื่องภาพยนตร์ ส่วนที่ฝันไว้อยากทำการ์ตูนเกี่ยวกับดนตรี ยังบอกไม่ได้ว่าแนวไหนแต่มีแพลนแล้วในปีนี้
ทางเดียวที่จะทำให้เพลงอยู่ได้ในยุคปัจจุบัน เมื่อขายตัวเพลงไม่ได้แต่เราเชื่อว่าเพลงมันน่าสนใจก็ดึงคนให้มาอยู่ในโลกของเราแทน เพราะไม่สามารถเป็นเพลงแมสได้อยู่แล้ว ขายคนที่เขาชอบเราจริงๆ ฉะนั้นก็ดึงเขามาอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไม่ต้องไปขัดแย้งกับใคร เอาง่ายๆ คือยุคขายตรง
เทียบระหว่างการอยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังของเพลง อันไหนสนุกกว่ากัน
เบื้องหน้าสนุกกว่า คนได้เห็นที่เราทำ เป็นเครดิตเรา สิ่งที่ตอบแทนมากกว่าเงินคือการรู้สึกว่าฉันเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่ตอนอยู่เบื้องหลังสนุกที่ว่าถ้าเราไม่ได้เซียนขนาดนั้นแล้วมีคนร้องเก่งมาผลักดันเพลงให้ลึกซึ้งกว่าเดิมได้ ก็เหมือนเรามีทีมฟุตบอลรวมดาราโลก มือกีต้าร์โคตรเทพ นักร้องเสียงพลังสูง ทีมงานเก่ง ความสนุกคือได้ผลงานตามที่ตัวเองต้องการ แต่คนอาจมองไม่เห็นว่าใครทำ
โชคดีที่เราหนีจากสึนามิของการเป็นคนตกยุคไปได้ พวกเรามีงานต่อเนื่อง ยุคใหม่หางานยากถ้าจะทำเป็นอาชีพ มันดังก็จริงแต่ไม่มีใครจ้าง ดังเพลงเดียวก็จ้างแค่เดือนสองเดือน คนเราจะอยู่ได้ในระยะยาว เขาต้องเป็นคนผลิตงานเองและทำต่อเนื่อง แต่งานมีคุณค่าหรือเปล่า ก็อยู่ที่เอกลักษณ์ และความสามารถพิเศษ เราโชคดีที่มี 2 อย่างนี้ ซึ่งมันถูกพิสูจน์โดยคนอื่นแล้ว
ข้อดีของการไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบพลุแตกคือทำให้เราเห็นจุดอ่อนที่จะปรับแก้ เป็นเสน่ห์ในการดำเนินชีวิตต่อเนื่อง ยังมีจุดให้ปรับปรุงอยู่เรื่อยๆ การทำงานก็เลยสนุกขึ้น
หวาดกลัวไหมที่ในยุคนี้มีวงเกิดใหม่เยอะมาก และทำเพลงทางเลือกชนิดที่ว่ามีให้เลือกทุกแนว
ไม่ค่อยหวาดกลัวถ้าพื้นฐานทำมาเสิร์ฟตัวเองก่อนเป็นมื้อแรก แล้วก็แบ่งความรู้สึกดีๆ ให้คนอื่นด้วย ไม่มีเรื่องการแข่งขัน ไม่ต้องมีความน้อยใจ มันดีนะ อ้าวไม่กินเหรอ ก็กินเอง อร่อยเอง (หัวเราะ) ผมเคยมีเพื่อนอยู่ชมรมหนึ่งทำบ้าอะไรก็ไม่รู้ แต่มันดูสนุกจัง ก็ขอไปดู สุดท้ายเราได้ไปซึมซับกับชมรมนั้นด้วย นี่คือไอเดียของยุคนี้ ชอบอะไรก็ชอบไปเถอะ แล้วระบบไทยมุงจะตามมาเอง คนเริ่มมาชะโงกดูว่าทำไมมันดูน่าสนุก ทำไมดูมีความสุขจังเลย นั่นคือวิธีการขายที่ดีที่สุด
ถ้าเทียบวงการพระกับวงการเพลง มีอะไรที่เหมือนกันบ้างไหม
มีเสน่ห์คล้ายกันคือการให้คุณค่ากับของแต่ละสิ่ง พระใหม่จะดูไร้ชีวิตชีวาช่วงออกมาใหม่ๆ พอเวลาผ่านไปยิ่งนานวันสิ่งสวยงามจะค่อยๆ ออกมา เช่น คราบเหงื่อ คราบปลวก เนื้อแตกลาย กลายเป็นความคลาสสิก ดนตรีก็คล้ายกัน ความเก่าทำให้เพลงมีเสน่ห์ของยุคนั้นอยู่
หลวงพ่อในวงการพระถ้าเปรียบกับวงการเพลงก็เหมือนกับศิลปินท่านหนึ่ง แต่ละหลวงพ่อมีความนิยมไม่เหมือนกัน หลวงพ่อนี้เมื่อก่อนนี้ยังไม่มีใครรู้จัก แต่งานดี มีพระที่ศักดิ์สิทธิ์ น่าเลื่อมใส ปัจจุบันกลายเป็นพระเกจิดังคนเต็มวัด ก็พิสูจน์ด้วยกาลเวลา
หากเป็นการประกวด ‘เวลา’ จะเป็นกรรมการที่น่าเชื่อถือที่สุดในการตัดสินผลงาน เพราะ 10 ปีหลังจากนั้น งานชนะเลิศประกวดต่างๆ ก็อยู่ในกระบะ 10-50 บาท ถามว่าทำไมคนไม่เก็บ…ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วงานที่น่าเก็บจะพิสูจน์ด้วยตัวมันเอง