ผมจำที่จะต้องเริ่มต้นเล่าด้วยความกระมิดกระเมี้ยนว่า ในยุคที่ผมเติบโตขึ้นทางหูช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 เริ่มฟังดนตรีหลากหลายขึ้น กรุงเทพฯ ในเวลานั้นมีไม่กี่ช่องทางที่จะได้ยินดนตรีสากลใหม่ๆ หรืออย่างน้อยๆ ก็ดนตรีที่กำลังขึ้นมาเป็นที่นิยมในชาร์ตบิลบอร์ด หนึ่งในหนทางแรกๆ ก็จะต้องเป็นวิทยุที่เล่นเพลงสากล และจะจำเพลงใหม่ๆ ที่ติดหูได้
ช่วงวันหยุด ผมจะนั่งรถเมล์ไปสยามเซ็นเตอร์ เพื่อขึ้นบันไดเลื่อนไปที่ร้านทาวเวอร์ เรคคอร์ดส์ชั้นบนสุด ในร้านเขาจะมีเครื่องให้ฟังเพลงใหม่ๆ มันจะเป็นคล้ายๆ สถานีที่มีหูฟัง แขวนไว้ให้ลูกค้าทดลองฟังดูก่อน หากชอบใจก็ซื้อกันตามอัธยาศัย
ด้วยความที่ปกติแล้วผมจะมีเงินเก็บไม่พอซื้อในร้านทาวเวอร์ เรคคอร์ด (Tower Records) ผมก็จะเดินไปเดินมาอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง ฟังเพลงเขาฟรีๆ และจะจำเอาชื่อศิลปินและชื่อเพลง เก็บเป็นเพลย์ลิสต์ในใจ จากนั้นก็นั่งรถเมล์มุ่งไปยังพันธุ์ทิพย์ ไปที่ร้านเจ.ยู.ที่เคยอยู่ตรงชั้นสองหรือชั้นสามของพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า (ตรงข้ามกับร้านสตาร์ซอคเกอร์) ดูว่ามีซีดีหรือเทปอะไรที่ผมจะพอเก็บได้ไหม แต่ถ้าขัดสนเข้าจริงๆ ก็จะเดินเพ่นพ่านดูแผ่น MP3 ทั่วห้างว่าดนตรีสากลใหม่ๆ มาหรือยัง หากช่วงไหนขัดสนหนักเข้าไปอีก แต่อดรนทนไม่ไหว ก็จะนั่งรถเมล์ไปแถวสะพานเหล็ก ซึ่งจะมีร้านขายเทป ขายซีดีดนตรีสากลใหม่ๆ เสียงใหม่ๆ
ในช่วงขวบปีนั้น ดนตรีสากลใหม่ๆ จะปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ด้วย แต่ด้วยที่บ้านผมไม่ได้ติดกล่องดาวเทียมใดๆ โอกาสที่จะได้ดูช่องอย่าง Channel V หรือ MTV นั้นก็จะเป็นโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นรวมของโรงเรียน
ช่วงเวลาแบบนั้น จะมีมิวสิควีดิโอที่ติดอยู่ในความทรงจำของผม และคนในรุ่นผมอย่างแกะไม่ออก อย่างเช่นมิวสิคฯ ของเพลง …Baby One More Time (1998) ของบริตนีย์ สเปียส์ อย่างเพลง I Want It That Way (1999) ของ Backstreet Boys หรือเพลง It’s Gonna Be Me (2000) ของ NSYNC เป็นต้น
ผมไม่ทราบจะหาตัวผู้รับผิดชอบได้อย่างไร
บทบาทของคนนอร์ดิคต่ออุตสาหกรรมดนตรี
อีกหลายปีต่อมา อันที่จริงแล้วก็ไม่กี่ปีมานี้เอง ที่ผมเพิ่งจะได้ตัวผู้รับผิดชอบครับ
เพิ่งรู้ว่า ผู้แต่งและอำนวยเพลงดังติดชาร์ตหลายต่อหลายเพลง เป็นเพลงที่มิวสิควีดิโอติดอยู่ในความทรงจำของผมอย่างแกะไม่ออกนี้ เป็นชาวสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะ แมกซ์ มาร์ติน (Max Martin, 1971-ปัจจุบัน) และ อันเดรียส คาร์ลสัน (Andreas Carlsson, 1973-ปัจจุบัน) ซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นแถวหน้าของอุตสาหกรรมดนตรีป็อปในช่วงเวลานั้น แมกซ์ มาร์ตินนี่ถือว่าเป็นเจ้าพ่อของวงการเลย ท่านผู้อ่านรุ่นน้องๆ ลองค้นเพลงที่เขาแต่งดูก็จะรู้ และรู้ว่าเพลงที่โด่งดังในยุคของท่านและยุคของผม มีคนแต่งคนเดียวกัน ตั้งแต่ เคธี เพอร์รี (Katy Perry), วง Maroon 5 ไปถึง เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift)

และเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ที่ผมได้ยินชื่อของ ลุดวิค เยอร์รันสัน (Ludwig Göransson, 1984-ปัจจุบัน) เพราะสนุกสานและตื่นหูไปกับเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Black Panther (2018) และทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ในปีนั้น และเริ่มจะไม่ประหลาดใจเมื่อชื่อของเยอร์รันสันปรากฏเป็นผู้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง Tenet (2020) ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) และจะร่วมงานกันอีกใน Oppenheimer ซึ่งจะออกฉายกลางปีหน้า
รวมไปทั้งกระแสที่มากับซีรีส์ Chernobyl (2019) ที่โด่งดัง กวาดรางวัลเป็นว่าเล่น ผมก็ขนหูลุกไปกับการฟังดนตรีที่แต่งโดย ฮิลดูร์ กุดนาร์ดอตตีร์ (Hildur Guðnadóttir (1982-ปัจจุบัน) นักแต่งเพลงชาวไอซ์แลนด์ และก็เริ่มไม่ประหลาดใจอีกเช่นกัน เมื่อชื่อของกุดนาร์ดอตตีร์ไปปรากฏในฐานะผู้แต่งเพลงประกอบ Joker (2019) หนังรางวัลออสการ์
นี่จึงทำให้ผมสงสัยอยู่ครามครันว่า เหตุใดคนในอุตสาหกรรมดนตรีจากภูมิภาคเล็กๆ จึงมีบทบาท มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมดนตรีขนาดยักษ์ได้ (โดยยังไม่ต้องนับว่า Spotify มาจากสวีเดน แบรนด์ Bang & Olufsen มาจากเดนมาร์ก หรือดนตรีของบยอร์ค กุดมุนส์ดอตตีร์ [Björk Guðmundsdóttir, 1965-ปัจจุบัน])
หลากหลายแนวดนตรี
ไม่ใช่แค่แต่แนวเพลงป็อป ติดชาร์ตบิลบอร์ดเท่านั้น แต่นักแต่งเพลง นักอำนวยการเพลง นักดนตรีสแกนดิเนเวียเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมดนตรีแขนงอื่นๆ ด้วย
แนวที่สำคัญก็เช่นดนตรีคลาสสิก ผมเพิ่งทราบอีกเหมือนกันว่า ตัวอย่างเช่น ในปี 2021 มีวาทยากรอาชีพจากฟินแลนด์ เดนมาร์ก หรือสวีเดนรับตำแหน่งมีเงินเดือนอยู่ในวงดุริยางค์ซิมโฟนีจำนวนหกวง จากทั้งหมด 16 วงที่อยู่ในประเทศอังกฤษทั้งหมด ซึ่งรวมๆ กันแล้วมากกว่าวาทยากรจากเยอรมนี หรืออิตาลีรวมกันเสียอีก และนักดนตรีจากภูมิภาคนี้ก็ไปร่วมอยู่ในวงดุริยางค์ทั่วโลก

เสียงนี้มีที่มา
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ผมจะขอประกาศด้วยเสียงอันดังสักหน่อย และอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยนว่า ไม่ใช่เรื่องความมีพรสวรรค์หรือความสร้างสรรค์ของคนจากภูมิภาคนี้แต่อย่างใด
การส่งออกบุคคลากรทางดนตรีเหล่านี้ มีที่มาจากระบบการศึกษาแบบรัฐสวัสดิการ รัฐบาลใช้เงินจำนวนมหาศาล ในการอุดหนุนการเล่าเรียนดนตรีของเด็กและเยาวชน มีโครงการอะไรต่ออะไรมากมายที่ทำให้เด็กที่สนใจจะศึกษาทางด้านดนตรี แม้จะมีไม่มีเงิน ก็สามารถต่อยอดได้ หรือถ้าไม่มีเงินพอซื้อเครื่องดนตรี ก็ยืมได้
ตัวอย่างรายงานจากการศึกษาสวีเดนปี 2004 ระบุว่า มีเด็กจำนวนร้อยละ 30 จากเด็กทั้งประเทศ ที่ไปเรียนดนตรีในโรงเรียนดนตรีหลังเลิกเรียน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงมากโดยเปรียบเทียบ
โรงเรียนดนตรี (และศิลปะ) เหล่านี้ต่างได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล คนอย่างแมกซ์ มาร์ติน และอื่นๆ อีกหลายคน ก็เติบโตทางหูมาจากโอกาสที่ได้รับเหล่านี้ ที่รัฐบาลอุดหนุน จากเงินภาษีของประชาชนเอง

หน่วยงานของรัฐเช่น สภาวัฒนธรรมสวีเดน (Kulturrådet) มีบทบาทสำคัญ ว่ากันตามตัวเลขแล้ว สภาฯ ในปี 2010 ให้ทุนสนับสนุนประมาณปีละ 1.65 ล้านดอลล่าร์ แก่วงดนตรีและนักดนตรี จากผู้สมัครขอทุน 250 ราย มีถึง 145 รายที่ได้เงินสนับสนุน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก ทั้งยังมีเงินสนับสนุนอื่นๆ อีกหลายหลายประเภทต่อทั้งสถาบันทางดนตรี และทุนวิจัยว่าด้วยเรื่องดนตรี
ส่วนสภาวัฒนธรรมนอร์เวย์ (Kulturrådet เช่นกัน) ยิ่งอัดฉีดเงินสูงขึ้นไปอีก เป็นรัฐบาลที่ให้เงินสนุบสนุนศิลปะมากที่สุดในภูมิภาค ในปี 2010 ใช้เงินทั้งหมดไป 21.4 ล้านดอลล่าร์
ทั้งหมดนี้ยังรวมถึงการสร้างสถาบันทางวัฒนธรรมและดนตรี ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อการมีชีวิตที่ดี ที่รัฐบาลของทุกประเทศในนอร์ดิคให้ความสำคัญ
นี่เป็นที่มาของเสียงที่กระจายไปทั่วโลก ด้วยวางอยู่บนระบบทางสังคมที่ทำให้คนยังสามารถส่งเสียงได้บ้าง
ป.ล. ระหว่างนี้ผมขอแนะนำสักสามสี่อัลบัมนะครับ ลองไปเปิด Spotify ฟังกัน
Hildur Guðnadóttir, Saman (2014)
Mattias Alkberg, Häxor (2021)
Ane Brun, Rarities (2013)
Erki Pärnoja, Himmelbjerget EP (2015)

อ้างอิง
– Marc Hogan, “What’s the Matter With Sweden?” Pitchfork 29 March 2010 [https://pitchfork.com/features/article/7776-whats-the-matter-with-sweden/]
– Andrew Mellor, The Northern Silence (2022)