fbpx
“แม่เชื่อว่าคนในกระบวนการยุติธรรมยังมีเกียรติและศักดิ์ศรี” – สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์

“แม่เชื่อว่าคนในกระบวนการยุติธรรมยังมีเกียรติและศักดิ์ศรี” – สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์

ก่อนหน้าที่จะได้พบกัน สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ เคยเปรยกับเราผ่านทางโทรศัพท์ว่า “ชีวิตของแม่ไม่เป็นชีวิตอีกต่อไปแล้ว”

นับตั้งแต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวบุตรชาย สุรีย์รัตน์วิ่งเข้าออกศาลและเรือนจำไม่เว้นแต่ละวัน พยายามต่อสู้ทุกวิถีทางร่วมกับทนายเพื่ออิสรภาพและโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักกิจกรรมการเมือง ผู้ต้องหาคดี 112 และเมื่อเพนกวินประกาศอดอาหารประท้วงถามหาความยุติธรรม ทุกวินาทีในชีวิตเธอก็ยิ่งเต็มไปด้วยความกังวล

ค่ำวันที่ 31 มีนาคมเป็นวันที่เรามีโอกาสได้พูดคุยกับสุรีย์รัตน์ หลังจากแว่วข่าวมาว่าเธอขอโยกย้ายบุตรชายที่สุขภาพทรุดโทรมลงจากสถานกักขังไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย แต่ถูกศาลยกคำร้อง — วันนั้นเองที่เราได้เข้าใจว่า “ชีวิตไม่เป็นชีวิต” ของสุรีย์รัตน์หมายถึงอะไร

ตลอดบทสนทนา เธออนุญาตให้เราเรียกว่า ‘แม่’ และเปิดเผยเรื่องราวหัวอกคนเป็นแม่ เมื่อลูกออกมาต่อสู้ ถูกจับ และอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อชีวิต แม่จึงต้องออกมาเปิดหน้าเคลื่อนไหว เข้าไปสัมผัสปัญหาในกระบวนการยุติธรรม ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ และถูกเพื่อนรอบข้างตีตัวออกห่าง    

ในวันนี้ที่ชีวิตแม่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แบบที่เคยรู้จัก ไม่ใช่แบบที่เคยนึกฝัน และไม่มีวันหันหลังย้อนกลับไปทางเดิม สิ่งที่สุรีย์รัตน์รักษาไว้ คือความรักที่มีต่อลูกและความหวังว่ากระบวนการยุติธรรมไทยจะยังคงเป็นที่พึ่งของคนในชาติได้


สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์


ช่วงนี้ได้พบ ได้ติดต่อกับเพนกวินบ้างไหม

ตั้งแต่เพนกวินถูกขังคราวที่แล้วมาจนถึงครั้งนี้ พ่อแม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เยี่ยมเลย อ้างว่าเพราะโควิด-19 ตอนแรกเรานึกว่าผ่านไป 14 วันคงได้เยี่ยม ทุกคนคิดเหมือนกัน หน่วยงานต่างประเทศก็ด้วย แต่ปรากฏว่าถึงบัดนี้ก็ยังไม่ให้เยี่ยม บอกว่ายังกลัวโควิด-19 อยู่ แม่ก็งงว่าเวลาเจอกัน มีกระจกกั้น คุยกันผ่านโทรศัพท์อินเตอร์คอม สวมหน้ากาก มีแอลกอฮอล์ล้างมือให้ จะกลัวกันขนาดนั้นทำไม

ช่วงกักตัว 14 วันแรก เขาให้เพนกวินอยู่ห้องหนึ่ง ติดต่อกันผ่านอินเตอร์คอมเป็นจอทีวีให้เห็นหน้า เผอิญว่าจอนั้นอยู่ตรงประตู พอมีใครเปิดประตูมาก็จะเห็น แม่เลยไปยืนเฝ้าหน้าประตูรอให้คนอื่นๆ เปิดเข้าเปิดออกเพื่อจะได้เห็นเขาหรือให้เขาเห็นเราผ่านจอทีวีบ้าง ตอนเห็นเรา เขาดีใจมากนะ ไปเรียนภาษามือมาด้วยเพื่อสื่อสารกับเรา  

พอผ่าน 14 วัน ทนายสามารถเยี่ยมได้ โดยให้เพนกวินนั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง มีกระจกกั้น ใช้อินเตอร์คอมคุยกัน แม่ก็ฝากข้อความผ่านทนายไปให้เขา พยายามไปส่องหน้าประตูเหมือนเดิม แต่เดี๋ยวนี้เวลาเปิดประตูเขาเปิดแค่นิดเดียว แม่ต้องไปยืนส่องผ่านกระจกบนประตูที่เขาติดฟิล์มไว้เพื่อให้ได้เห็นเงาเพนกวินบ้าง บางครั้งเจ้าหน้าที่ก็มาไล่ ไม่ให้ดู เราก็ถามว่าทำไมไม่ได้ คุณควรจะเปิดประตูให้เราเห็นด้วยซ้ำไป นี่แค่ส่องก็ไม่ได้เหรอ จะใจร้ายกันขนาดไหน เรื่องนี้มันเล็กน้อยมากนะ เราไม่ยอม แต่ทำอะไรไม่ได้ สุรีย์รัตน์ได้แต่เดินเป็นยามหน้าห้องเพราะไม่ได้เข้าไปเจอลูก ตอนนี้เข้าไปหาเพนกวินแต่ละที เขาคงอยากติดป้ายห้ามผู้หญิงคนนี้เข้าแล้วมั้ง

ทุกวันนี้ต่อให้เข้าไปพบไม่ได้ แต่ก็ไปเพราะอยากให้ลูกรู้ว่าแม่มาหา จะมีเวลาแค่สามสิบวิฯ สิบวิฯ หรือเสี้ยววิฯ ที่ได้เห็น ได้บ๊ายบาย ได้ทำภาษามือท่า ‘รักมาก’ (ประสานมือทั้งสองข้างแตะไหล่แล้วกางออก) ให้กัน แค่นั้นก็พอ  


อาการเพนกวินล่าสุดที่แม่ได้เห็นเป็นยังไง

ได้ยินว่าเขาเริ่มคัน เป็นแผล ตอนไปศาลคราวที่แล้ว (29 มี.ค.) แม่สังเกตเห็นว่าเท้าเขาเริ่มสีคล้ำขึ้นเหมือนคนเป็นเบาหวาน ตอนแรกเจ้าหน้าที่ไม่ให้เราเข้าใกล้ตัวเขาเลยนะ เป็นการกระทำที่เจ้าหน้าที่บางคนยังบอกเลยว่าทำเกินไป เหมือนนักโทษคนนี้จะถูกประหารชีวิต กั้นไม่ให้พ่อแม่เข้าใกล้ แล้วให้ญาติเข้ามาในศาลแค่สองคน พอผู้ต้องขังเข้ามาต้องนั่งแยกกัน เราจะเดินไปหาลูกไม่ได้ ถามว่าไปรอพบตรงประตูได้ไหม ก็ไม่ได้ จนตอนพักเที่ยง แม่ได้ยินศาลอนุญาตให้แม่เข้าไปหาเพนกวินที่นั่งอยู่บนรถเข็นเลยลุกขึ้นมา เจ้าหน้าที่ชุดสีฟ้ารีบห้ามใหญ่ บอกว่าไม่ได้ๆ เราก็เอ๊ะ ศาลบอกว่าให้ คุณได้ยินแล้วนะ โวยวายจนสุดท้ายได้เข้าไปดูลูกแป๊บนึง

เราสังเกตว่าทำไมหลังเท้าพี่ดำจัง (สุรีย์รัตน์เรียกเพนกวินว่า ‘พี่’) ผิดปกติ ไม่ใช่เพราะสกปรกแน่นอน แต่ยังไม่ทันทำอะไร เจ้าหน้าที่ก็กันเราออกไปแล้ว พอตอนบ่ายศาลอ่านคำประกาศเสร็จ เราวิ่งไปดูลูกอีกรอบว่าตกลงเท้ามันยังไง อาการเป็นยังไง เจ้าหน้าก็ห้ามอีก บอกไม่ได้ๆ เราก็ไม่ยอมเหมือนกัน คุณจะกลัวอะไรล่ะ ลูกฉันเป็นขนาดนี้แล้วนะ ฉันต้องได้ดูลูก สุดท้ายได้ดู เรียกพยาบาลเข้ามาตรวจ เข้ามาจับเท้า กวิ้นบอกเขารู้สึกนะ แต่กดไปไม่เจ็บ เรายังคิดเลยว่างานเข้าแล้ว

ตอนนั้นเราถามอีกว่าทำไมลูกต้องให้น้ำเกลือ เกิดอะไรขึ้น เพราะเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (26 มี.ค.) เจ้าหน้าที่บอกแม่ว่าเพนกวินสบายดี ไม่ต้องห่วง ในกล้องวงจรปิดยังเห็นเดินไปเดินมาอยู่ แต่พอทนายไปเยี่ยมกลับออกมาบอกคนละอย่าง บอกว่าเพนกวินอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดแล้วตั้งแต่อดอาหารมา อาการไม่ดีเลย ตอนได้ยินเราน้ำตาไหล คิดแต่ว่าเสาร์อาทิตย์กวิ้นจะรอดไหม วันจันทร์ (29 มี.ค.) จะได้เจอกันที่ศาลไหม แล้ววันอาทิตย์จู่ๆ ได้ข่าวว่ากวิ้นถูกให้น้ำเกลือ ข้อมูลที่เราได้รับแต่ละทางไม่ตรงกัน สุดท้ายต้องมาถามกวิ้นด้วยตัวเองว่าอาการเป็นยังไง   

กวิ้นบอกว่ากวิ้นวูบ เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้ากวิ้นไม่ยอมให้เจาะน้ำเกลือ เขาจะส่งตัวกวิ้นไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กวิ้นไม่อยากไปเพราะที่นั่นทำให้นักโทษการเมืองตายไปแล้วหลายคน เลยยอมให้เจาะ ล่าสุดที่แม่ไปเยี่ยม เขาดูโอเคขึ้น ยิ้มได้ คงเพราะได้พักมากขึ้น แต่ได้ยินจากเจ้าหน้าที่อีกว่าเพนกวินเริ่มเจ็บกระเพาะ อาจต้องให้ยาเพิ่ม เราก็ยังกังวลอยู่ เพราะสุขอนามัยในสถานกักขังไม่โอเค ลูกเรามาอยู่คนเดียว อดอาหารด้วย ทุกอย่างเป็นความเสี่ยงหมด

ครั้งก่อนๆ เราพยายามทำเรื่องประกันตัวมาแล้วสองครั้ง ไม่ใช่เพื่อออกมาข้างนอก แต่เพื่อย้ายจากสถานกักขังปทุมธานีไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งถือว่าติดคุกอยู่นะ ก็ไม่ได้ อ้างคำพูดเดิมว่าไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลง จนตอนนี้เพนกวินเริ่มแย่ เราคิดว่าชักไม่ดีแล้วเลยอยากพามาพักที่โรงพยาบาลข้างนอก


ตอนนี้แม่พยายามย้ายเพนกวินไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนอกสถานกักขัง มีอุปสรรคอะไรบ้าง

ล่าสุดที่ได้ยินคำอธิบายจากศาลคือศาลไม่มีอำนาจ ถ้าอนุญาตให้ย้ายแล้วโรงพยาบาลไม่ยอมรับจะทำยังไง เราต้องไปติดต่อโรงพยาบาลว่ายินดีรับลูกเรามารักษาไหม เราจะได้มีเอกสารไปยื่นต่อศาลว่า ถ้าเราจะขอย้าย โรงพยาบาลก็รับนะ

เราพยายามทำทุกอย่างอย่างรัดกุมที่สุด ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้เราเองพยายามเซฟราชทัณฑ์ด้วยซ้ำ เพราะถ้าเกิดอะไรกับเพนกวินขึ้นมา คุณจะเสียหายเยอะนะ แค่มีข่าวเจ้าหน้าที่ไปหาผู้ต้องขังตอนกลางคืนนั่นก็เสียหายมากแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับกวิ้น เรารู้ว่าจะมีอีกหลายสิ่งเกิดขึ้นตามมา แม่ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น พยายามปกป้องเขาทุกทางที่ทำได้ ถ้าย้ายไปโรงพยาบาลแล้วให้มีตำรวจคุมหน้าห้องก็ได้ เราแค่อยากให้ลูกอยู่ในที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อ ‘อุบัติเหตุ’ ใดๆ

ทุกวันนี้เราแทบไม่ได้นอน เรานอนไม่ได้ นอนไม่หลับ ทุกคนอาจบอกว่าแม่เพนกวินเข้มแข็งจังเลย ไม่ (เสียงสั่น) เราร้องไห้จนไม่มีน้ำตา วันที่ไปศาล เราร้องไห้กอดลูกแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา มันอยู่ข้างใน ต่อหน้าลูกเราพยายามไม่ร้องไห้ เพราะไม่อยากให้ลูกทรมานใจ เรารู้ว่าลูกรักเรามาก แม่ก็รักเพนกวินมาก แม่บอกพี่เสมอว่าเราสนิทกันตั้งแต่พี่ยังอยู่ในท้อง เรารู้จักกันมานานขนาดนั้นเลยนะ

เราไม่ได้เข้มแข็ง แต่ก็ไม่โอดครวญ ใครที่บอกว่าเราทำผิดอย่ามาโอดครวญ เราไม่ได้โอดครวญ และลูกเราก็ไม่ได้ทำผิด เราแค่โกรธ แค้นใจ คิดแค่ว่าทำไม จะช่วยลูกเราได้ยังไง ในตอนนี้ที่เรากำลังจะเสียเขาไป อาจจะอีกแค่ไม่กี่วัน เรารับไม่ได้   


ในเฟซบุ๊กของเพนกวินยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ ข้อความต่างๆ แม่ได้ทราบมาก่อนไหม

แม่ไม่แน่ใจในขบวนการของเขา แต่คงเป็นข้อความที่เขาฝากเพื่อนหรือทนายออกมาว่าเขาเป็นยังไง อยากสื่อสารอะไรกับข้างนอก แม่เข้าเฟซบุ๊กเขาไม่ได้ ไม่รู้รหัส เพราะเขาบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เหมือนมือถือแม่หรอกที่รู้รหัสกันทั้งบ้าน เราก็ให้ความเป็นส่วนตัวกับเขา


แล้วสำหรับเรื่องที่เพนกวินประกาศอดอาหารล่ะ

ก็ตกใจนะ ได้ยินพร้อมทุกคนนั่นแหละ ตอนแรกนึกว่าเขาจะแถลงเรื่องอื่น พอตบท้ายด้วยอดอาหาร เรางงไปเลย เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ไม่ได้หาข้อมูลว่าการอดอาหารเป็นแบบไหน ต้องทำยังไง มันควรมีการเตรียมตัวเพื่อให้ร่างกายรับได้ แต่เชื่อว่าเขาคงคิดมาดีแล้ว แม่เชื่อมั่นในตัวเขาว่าเป็นคนไม่ใช้อารมณ์นำเหตุผล  

น้องสาวและทุกคนที่บ้านก็เชื่อในตัวเขา เคารพการตัดสินใจของเขา แต่ถ้าถามว่าเป็นห่วงไหม ห่วงมาก ตอนแรกแม่คิดว่าอยู่ด้วยกันหลายคน พี่ๆ น้องๆ พี่อานนท์ พี่สมยศ พี่ไมค์ พี่ไผ่ ยังช่วยดูแลกัน เป็นหูเป็นตาให้กันได้ แต่พอถูกย้ายมาอยู่คนเดียว อดอาหารด้วยแล้วยิ่งกังวล คนอื่นๆ ก็เป็นห่วงเพนกวินเหมือนกันหมด บอกมาว่าอยากให้กวิ้นเลิก ทางราชทัณฑ์ก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้กวิ้นเลิกอดอาหาร บอกถ้าอยากกินอะไรเดี๋ยวซื้อให้ หรือแอบกินสักนิดก็ได้ น้ำซุปอะไรอย่างนี้ เพนกวินก็บอกว่าไม่ได้ เพราะเขาสัญญากับมวลชนไว้แล้ว

เขาเป็นคนที่รักษาสัญญาและรักมวลชนมาก แถมยังคิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เคยถามว่ากวิ้นชอบกินอะไร มื้อแรกที่อยากกินหลังเลิกอดอาหารคืออะไร กวิ้นตอบว่าชอบเป็ด แต่มื้อแรกอยากกินข้าวขาหมู เพราะมื้อสุดท้ายที่กวิ้นกินก่อนเริ่มอดอาหารคือข้าวขาหมู เราได้ยินแล้วนึกขึ้นได้ว่า ใช่ วันที่ไปศาล วันที่เขาประกาศว่าจะอดอาหาร มื้อสุดท้ายที่เขากินคือข้าวขาหมูที่เราซื้อให้ 


ได้ยินมาว่าทางราชทัณฑ์เองก็อยากให้แม่ช่วยเกลี้ยกล่อมให้เพนกวินเลิกอดอาหารด้วย

ใช่ ทุกวันนี้เขาก็บอกให้แม่ช่วย เวลาเขาพูดกับเพนกวินก็อ้างถึงชื่อแม่ จริงๆ ตอนนี้ใครทำอะไรก็อ้างแม่ ทั้งที่บางครั้งแม่ยังไม่ทันได้ทำอะไร

ล่าสุดแม่แค่บอกเพนกวินตอนเจอกันในศาลว่าแม่เป็นห่วงนะ อย่าให้ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล เราไม่พร้อมที่จะสูญเสีย หลายๆ คนรักพี่มาก พ่อแม่พี่น้องมวลชนหลายคนส่งจดหมายมาถึงเรา ทุกคนเขียนเหมือนกันหมดว่าเพนกวินหยุดเถอะ อย่าอดอาหารเลย เพนกวินน่าจะทำอะไรได้เยอะกว่านี้ ต่อให้อดอาหารไป คนบางคนก็อาจจะไม่เห็นค่า ร้อยทั้งร้อยเลยที่บอกให้เขาเลิก เราเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะระหว่างมวลชนกับแม่ ตอนนี้เพนกวินคงเลือกมวลชนมากกว่า เขารู้ว่ายังไงแม่ก็รักเขา


เคยรู้สึกท้อหรือน้อยใจไหม เมื่อเห็นเพนกวินเลือกอดอาหารเพื่อมวลชน ให้ความสำคัญกับมวลชนมากกว่าแม่ หรือกระทั่งตัวเอง

จริงๆ เขาฉลาด เขาเคยโยนหินถามทางมาแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เราอาจจะยังไม่ทันคิด เขาเคยเปรยๆ มาก่อนแล้วว่างานนี้เดิมพันด้วยชีวิต บอกว่ามี้ครับ การต่อสู้มีการสูญเสีย มีการเสียสละ เราก็พยายามบอกว่าแม่ไม่พร้อมเสียสละนะ ตอนนั้นม็อบยังไม่เข้มข้นเลย แต่เขาก็เปรยเรื่อยๆ ให้เราได้ยิน ให้ได้ทำใจ บอกว่าเราต้องเสียสละครับมี้ แม่ยังเคยถามเขานะว่า “พี่ เราต้องเสียสละขนาดนี้เลยเหรอ”

เขาทำให้แม่เข้าใจได้ และเขาเชื่อว่าแม่จะเข้าใจด้วย ตอนนี้เขาอยู่ในคุก อดอาหาร แต่เวลาเจอกันเขาก็บอกว่า มี้ เพนกวินฝากเพื่อนด้วย เพนกวินรักเพื่อน รักทีมงานทุกคนที่อยู่ข้างนอกเหมือนพ้อย (น้องสาวเพนกวิน) พูดทำนองว่าอยากให้แม่รักพวกเขาเหมือนกัน ไม่ว่ามี้จะเต็มใจหรือไม่ที่ต้องเป็น ‘ราษฎร์มัม’ เป็นแม่ที่คอยดูแลคนอื่นๆ แต่มี้ต้องทำ กวิ้นขอฝากเพื่อน ฝากคนข้างนอก พอเขาพูดแบบนี้เราจะไม่ทำให้ได้ยังไง มันทำให้เราใจอ่อน เข้าใจสิ่งที่เขาทำ ถึงจะห่วง แต่ก็จะพยายามทนให้ได้มากที่สุด


สุรีย์รัตน์ 101


ช่วงที่เพนกวินออกมาต่อสู้ร่วมกับมวลชน แม่ไปร่วมกับเขาไหม คุยอะไรกับเขาบ้าง

ตอนเขาออกมาทำกิจกรรม เราไม่ได้ต่อต้านอะไร ส่วนใหญ่แม่เองก็ไม่ได้ไปม็อบหรอก กวิ้นไม่อยากให้ไปเท่าไหร่ด้วยเพราะเขาเป็นห่วง ยิ่งหลังๆ ม็อบเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขายิ่งไม่อยากให้มี้ไป คงไม่อยากพะวงทั้งเรื่องแม่และเรื่องที่ตัวเองต้องทำอย่างอื่นไปด้วย     

แต่หลังๆ กวิ้นเริ่มไม่กลับบ้าน เริ่มมีคนตาม ความปลอดภัยไม่ค่อยมี เขาต้องไปอยู่กับเพื่อนๆ ไปอยู่ที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัยกว่าบ้าน เราเลยไม่ค่อยได้เจอกัน โทรไปก็ไม่รับ บ้างว่าติดประชุม ประชุมตลอด ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ยังประชุม ช่วงหลังยิ่งกลัวว่าโทรไปแล้วจะถูกจับตาเลยโทรหาไม่ได้ วิธีเช็กของแม่ว่าลูกปลอดภัยคือการเช็กเฟซบุ๊ก ซึ่งให้น้องเขาช่วยสอน ช่วยดูสิว่าพี่โพสต์อะไรบ้าง ถ้าพี่โพสต์แสดงว่ายังอยู่ แต่ถ้าหายไปหลายชั่วโมงเมื่อไหร่ก็เดือดร้อนแล้ว    

อีกทางหนึ่งที่แม่จะเจอลูกได้คือไปเจอในม็อบ แม่เลยต้องไปม็อบ ไปดูลูกบนเวที บางทีไปก็ไม่ได้เข้าไปทักหรอก แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้าลูก เห็นว่าลูกยังมีชีวิตอยู่นะ ถ้ามีโอกาสได้เข้าใกล้หน่อยก็จะพยายามหาน้ำหาท่า หาอะไรให้กิน อาศัยช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ กอดแขนกันบ้าง โอบกัน เพนกวินเป็นเด็กผู้ชายที่แม่ยังสามารถกอด หอม กันได้ทุกที่ ทุกเวลา คนอื่นชอบบอกว่าเราเป็นครอบครัวสุขสันต์ พอม็อบเลิกเราก็แยกย้าย เพนกวินก็กลับไปอยู่กับเพื่อน

เขามักบอกแม่อยู่เสมอว่าเพนกวินจะไม่ทิ้งมวลชน ส่วนแม่พยายามบอกเขาเหมือนกันว่าตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ไม่เหมือนตอนลูกเป็นนักเรียนไปชูป้ายประท้วง ทำไปแล้วมีแค่ตัวลูกกับครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ ตอนนี้มีมวลชนออกมากับลูก ทุกย่างก้าวลูกต้องคิดให้ดี ต้องรับผิดชอบต่อพวกเขาทุกคน และแม่จะอยู่ตรงนี้ จะอยู่เคียงข้างเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะเจออะไรมา กลับบ้านนะ เราพร้อมเป็นที่พักให้เขา แม่เชื่อว่าตลอดเวลาที่เลี้ยงเขามา เขารู้ว่าพ่อแม่รักเขามาก น้องรักเขามาก เราตั้งใจให้ความรักแก่เขาอิ่มจนล้นเพื่อให้เขามีความรักไปเผื่อแผ่คนอื่น ไม่ต้องโหยหาความรักในทางที่ผิด ให้เขารู้ว่าเขาเป็นที่หนึ่งของเราเสมอ


หลังจากเพนกวินถูกจับ แม่ออกมาเปิดหน้าเคลื่อนไหว ชีวิตแม่เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

มันเปลี่ยนอยู่แล้ว ตอนแรกไม่เคยคิดจะเปิดหน้าเลย ขนาดเปิดหนเดียวตอนลูกถูกจับยังโดนผลกระทบหนักหนา อย่างแรกคืองาน แม่เสียงานไปแค่นั้นก็ทำร้ายจิตใจเราแล้วนะ เรายังโดนเพื่อนรอบข้างตีตัวออกห่าง พอรู้ว่าเป็นแม่เพนกวิน คนที่ไม่เห็นด้วยกับเราแต่มีมารยาทหน่อยก็จะเงียบๆ ไป แต่บางคนเขียนในไลน์กลุ่มบอกว่าถ้าเจอลูกเราจะกระโดดถีบ เราก็โมโหนะ เพราะลูกเรายังไม่เคยทำอะไรให้เขาเลย

หลังๆ โดนหนักขึ้น ปกติเราจะทำบุญร่วมกับเพื่อนๆ เป็นประจำ ตอนนี้เขาไม่ให้แม่เพนกวินทำด้วย บางครั้งเราชิงโอนเงินทำบุญไปก่อน เขาก็จะคืน ไม่ให้ทำ มันอะไรกัน เราไม่เคยตอบโต้ใคร เพนกวินรู้แล้วก็พยายามบอกว่ามี้อย่าไปโกรธเพื่อนนะครับ ถ้าเพื่อนคิดต่างก็อย่าทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ ดังนั้นเวลาเรารู้สึกแย่ก็จะไปหาลูกทีนึง ไปชื่นชูจิตเรา คิดๆ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะเถียงคนอื่นไปทำไม ทะเลาะกันไปกลุ่มเพื่อนก็แตกสามัคคี เราไม่อยากเป็นตัวปัญหา


เคยมีคนเดินเข้ามาว่าต่อหน้าไหม

เคยเจอที่พารากอน ตอนเพนกวินไปใส่เสื้อครอปท็อปแล้วแม่ไปด้วย จริงๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กวิ้นบอกว่าอยากพัก อยากกลับมานอนบ้าน เขาคงนอนน้อยมากตอนอยู่ข้างนอก พออยู่บ้านเลยนอนทั้งวัน วันนั้นหลังเขาตื่น เขาก็บอกว่าจะไป เพราะเห็นสายตาน้องที่โดนคดี ม.112 แล้วนึกถึงตัวเองตอนไปยืนชูป้าย แม่เลยไปด้วย แต่ไม่ได้ใส่ครอปท็อปไปเดินกับเขาหรอกนะ

มีคนเดินมาต่อว่ากวิ้นโดยไม่รู้ว่าแม่อยู่ข้างๆ เขาบอกว่าทำแบบนี้คิดว่าพ่อแม่จะภูมิใจเหรอ เราเลยตอบว่าอืม แม่โอเคนะ นอกจากนั้นเราไม่ได้ตอบโต้อะไร ไม่ใช้กำลังด้วย กวิ้นก็เหมือนกัน เห็นเขาเป็นคนดูดุดันแต่เขาไม่เคยต่อยตีใคร ตั้งแต่เด็กแล้วถ้าเห็นใครตีกันเขาจะไม่ชอบอยู่ด้วย เป็นคนรักสงบแถมใจดีกว่าแม่อีก เขาเจอแบบนี้ก็ไม่โกรธเลย บอกว่าช่างเขาครับ ผมเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ มี้ครับ ทำงานใหญ่ต้องไหล่กว้าง แม่ฟังแล้วก็งง ..แปลว่าไรวะ


ช่วงที่ผ่านมาแม่เปิดหน้าเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ อย่างเดินทะลุฟ้า จากคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองมาก่อน แม่ได้อะไรจากการร่วมขบวนกับมวลชนครั้งนั้น

ตอนแม่ยังไม่เปิดตัว มีหลายคนมาขอให้แม่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเด็กคนอื่นๆ ที่พ่อแม่เขาอาจยังไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกทำ เพราะเวลาได้ยินข่าวครอบครัวทำนองนี้ แม่มักจะคุยกับเพนกวินตลอดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจไม่ใช่แค่เรื่องมาม็อบหรือไม่มา แต่มันทำลายครอบครัวได้ถ้าเราไม่ยอมรับฟังกัน แต่แม่ก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำหรือไม่ทำดี เพนกวินเองก็ไม่เคยบังคับ ไม่เคยบอกให้เราช่วยหน่อย เขาว่าแล้วแต่มี้ เพราะเมื่อไหร่ที่มี้ออกมา คนโดนผลกระทบหนักสุดคือตัวมี้เอง อาจจะต้องถูกด่า ถูกคนเกลียด มี้จะรับได้ไหม

เราคิดมาตลอดจนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยน จุดที่ยังไงลูกก็ไม่ได้ประกันตัว วันนั้นแม่กลับไปคิดจนนอนไม่หลับ ตาปิดไม่ได้จนถึงเช้า เราคิดว่าถึงเวลาแล้ว ถ้าเราไม่ออกมาสู้ แล้วจะให้คนอื่นแบกรับภาระนี้อยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไง ในเมื่อเป็นลูกเราทั้งคน ถ้าไม่ออกมาก็คงไม่ได้แล้ว พอเช้าเราเลยอาบน้ำแต่งตัวไปหากวิ้น ฝากข้อความผ่านทนายไปบอกว่าแม่จะไปเดินกับพี่ไผ่นะ พี่โอเคไหม มาถามก่อนเพราะที่ผ่านมาไม่เคยไปยุ่งกับขบวนการของเขา เราไม่อยากลงมือทำอะไรที่อาจทำให้ขบวนการเขาเสีย เพนกวินก็ตอบกลับมาเหมือนเดิมว่าแล้วแต่มี้ แต่เป็นห่วงมี้นะ ห่วงว่ามี้จะเจ็บหลัง เจ็บขา เขาเคารพการตัดสินใจของเรา เหมือนที่เราเคารพซึ่งกันและกัน ดังนั้นรักษาสุขภาพด้วย

หลังได้คำตอบแล้วเราไปเลยทันที อารมณ์มันพาไป ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย เสื้อแขนยาวอะไรก็ไปหายืมคนอื่นทั้งหมด ตอนนั้นที่บ้านยังไม่รู้เลย พ่อเพนกวินไปต่างจังหวัด ส่วนน้องสาวเรียนอยู่ เราส่งข้อความไปบอกแค่ว่าจะไปเดินนะ ทุกคนยังงงๆ อยู่เลย ตกเย็นถึงค่อยได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องของกวิ้นทำให้เราได้ไปสัมผัสมวลชนตอนเดินทะลุฟ้า ได้เห็นว่าคนอื่นๆ สู้เพื่อลูกเราขนาดไหน รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเพนกวิน เจอว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง เรียนรู้ว่าที่ผ่านมาลูกลำบากขนาดไหน แล้วเราทำอะไรได้บ้าง เราที่เป็นแม่จะนั่งอยู่เฉยๆ ให้คนอื่นสู้แทนไม่ได้อีกแล้ว เราต้องทำทุกอย่าง ทุกวันนี้เราไม่ได้รอแค่ให้ทนายพาลูกเราออกมา แต่บอกทนายว่าอะไรที่ช่วยได้แม่จะทำ ขอให้บอกมาได้เลย ลูกเรา เราเลี้ยงมา พยายามทำให้เขาเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าต่อสังคม มีคุณภาพมากที่สุด เราเสียดายถ้าไม่สู้กันให้สุดฤทธิ์

ทุกครั้งที่เหนื่อยจะคิดถึงเพนกวินว่า ที่ผ่านมาเขาต้องสู้กับปัญหาเหล่านี้ไม่เหนื่อยยิ่งกว่าเหรอ แม่แค่วิ่งรอกไปนู่นนี่ยังโคตรเหนื่อย ลูกที่เจอเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ


สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ แม่เพนกวิน


การที่แม่เข้ามาต่อสู้เรื่องประกันตัวเพนกวินในกระบวนการยุติธรรม แม่เห็นปัญหาอะไรในกระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

เยอะ แม่วิ่งขึ้นศาลจนแทบจะไปนอนหน้าศาลอยู่แล้ว ได้ไปเห็น ไปฟัง แล้วรู้เลยว่าที่ผ่านมาสิ่งที่เราคิดอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่างตอนที่ลูกถูกพาตัวมาจาก สน.สำราญราษฎร์มาขึ้นศาล เราฟังทนายซักค้านกับตำรวจ คิดว่าเหตุผลฝั่งเขาฟังไม่ขึ้นนะ แต่ผลปรากฏว่าไม่ใช่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเราคิดเลยว่าแล้วคนอื่นๆ ที่เขาว่าผิด มันเป็นยังไงกันแน่

ย้อนไปตอนที่เพนกวินถูกคุมตัวไปสน.สำราญราษฎร์ แม่เจอเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาประชิดตัว ทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ บอกจะค้นตัว เรางงเลยว่าผิดอะไร มีหมายค้นเหรอจะเข้ามาค้นตัว คุณมีสิทธิ์อะไร เขาเข้ามายืนจ้องจนเพนกวินต้องลุกขึ้นมาทั้งที่วันนั้นเขาไม่สบาย กวิ้นถามว่าคุณจะทำอะไรแม่ผม ตอนนั้นแม่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นคนอื่น โดนแบบนี้เขาคงสั่น คงกลัวแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกที่เจอแล้วต้องใช้ภาษาวัยรุ่นว่า ‘มองบน’      

วันที่ 15 มี.ค. เป็นอีกวันที่เราฟังศาลพูดบางคำแล้วเอ๊ะ ได้ยินแล้วรู้เลยว่าต้องการขังยาวแน่ แม่ไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ทำผิดอะไรและไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ขนาดแม่ยอมไปเป็นนายประกันด้วยตัวเองว่าถ้าลูกหนี ฉันจะรับผิดชอบ ทนายยังเห็นด้วยว่าแม่มีค่าที่สุดสำหรับกวิ้น ถ้าเราไปเป็นนายประกันเขาน่าจะเห็นใจ ปรากฏก็ยังไม่ได้ประกัน 

เราเห็นด้วยกับที่แม่ไมค์พูดว่าถ้าลูกทำผิด ถึงแม้เราเป็นห่วงแต่ยังยอมรับสภาพได้ว่าเขาต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ แต่นี่ลูกเรายังไม่ได้ถูกตัดสินว่าผิดเลย และไม่มีโอกาสมาแก้ตัว อีกฝ่ายมีหลักฐานสองร้อยกว่าชิ้น ชิ้นหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบหน้า คนอยู่ในเรือนจำจะไปนั่งอ่านหมดได้ยังไง แถมเอกสารยังไม่ให้เอาเข้าไป ยิ่งบางชิ้นเป็นสื่อดิจิทัล ไม่มีคอมพิวเตอร์จะดูยังไง แล้วอย่างที่พี่สมยศบอก ห้องขังไม่มีที่ไว้วางของ เอกสารเยอะขนาดนั้นจะไปวางไว้ตรงไหน

เราพยายามยื่นประกันหลายรอบ แต่ดูจะไม่มีความหวังว่าจะได้ออกมาเลย คุณต้องการอะไร คุณต้องการลงโทษคนคนหนึ่งที่คิดต่าง ให้เขาถูกจองจำโดยไม่มีกำหนดเวลา คุณกำลังตัดอนาคตเขา เด็กที่มีเส้นทางชีวิตที่ดีมาตลอด คนที่เราเลี้ยงมาอย่างทุ่มหมดหน้าตักเพื่อสร้างเขาขึ้นมาอย่างดีที่สุด ปูมาให้ทุกอย่างเพื่อประเทศนี้ สังคมนี้ได้คนดีหนึ่งคนไป แต่คุณมาทำลายอนาคตเขาแบบนี้ เพียงแค่เขาคิดต่างจากคุณ

วันนี้เขาไม่ได้เรียนหนังสือ ยังเรียนไม่จบ และไม่รู้จะจบหรือเปล่า ตอนนี้แม่ไม่อยากคิดแล้ว เพราะคิดแล้วก็เครียด ช่างมัน ถ้าไม่จบ ออกมาแล้วไปเรียนอย่างอื่นก็ได้ คุณรู้ไหมว่าเราเคยบอกให้เขาไปเถอะ ถ้าประเทศนี้ คนที่นี่ไม่ต้องการลูก ไม่ต้องการสิ่งดีๆ ที่ลูกอยากจะทำให้ เขาไม่เห็นคุณค่า ลูกก็ไปอยู่ที่อื่น ลูกไปทำให้ที่อื่นเจริญเถอะ แม่เชื่อว่าลูกทำได้ แต่เขาบอกว่าเขาจะไม่ไปไหน เพราะที่นี่คือแผ่นดินเกิดของกวิ้น ที่นี่คือบ้านกวิ้น กวิ้นจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหน เขาอุทิศตัวเดินบนเส้นทางที่เหมือนตัดอนาคตตัวเองขนาดนั้นเลยนะ


ช่วงหลังแม่ต้องเจอการคุมเข้มของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ศาล มันมากกว่าปกติไหม แม่รู้สึกยังไง 

แม่ไปทุกครั้ง เห็นพัฒนาการทุกครั้ง ซึ่งเป็นพัฒนาที่แย่ลงและยิ่งเข้มขึ้นไปเรื่อยๆ จากเริ่มต้นวันที่ 15 มี.ค. เรายังนั่งประชิดตัวได้ ได้เจอ ได้เยี่ยม พอมีเรื่องเพนกวินลุกขึ้นยืนแถลงปุ๊บ ตอนบ่ายไม่ให้ผู้ปกครองเข้าแล้ว แต่เพนกวินไม่ยอม เรียกร้องสิทธิของเขา เราถึงได้เข้าไปฟัง

ต่อมา วันที่ 16 มี.ค. แม่ไปเป็นเพื่อนแม่อานนท์ฟังคดีไต่สวนเรื่องเจ้าหน้าที่บุกตอนกลางคืน แต่เจ้าหน้าที่ศาลบอกว่าไม่ให้แม่เข้า ไม่เกี่ยวกับลูกคุณ แม่ก็โอเค ไม่เข้า แต่บอกไว้ก่อนนะว่าลูกเราก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนและเห็นนะว่ามีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบหรือใครก็ไม่รู้นั่งอยู่ข้างใน ถ้าฉันออก คนเหล่านั้นก็ต้องออก สุดท้าย เราไม่อยากทะเลาะเลยออกมานั่งรอข้างนอก นั่งคุยกับคนที่ไม่ได้เข้าไปเหมือนกันตรงทางเดินแค่ 2 คน สักพักเจ้าหน้าที่เดินมาว่าอีก ชักจะคุยเสียงดังแล้วนะ เราก็คิด มันจะเสียงดังเท่าไหร่กันเชียว เลยถามว่าคุยก็ไม่ได้เหรอคะ หายใจได้ไหม?

เราเห็นเลยว่าเจ้าพนักงานตัวเล็กตัวน้อยทำกับเราแบบนี้กันหมด อีกครั้งหนึ่งคือเพนกวินมาที่ศาล เขาบอกว่าคุณแม่ ถ้าจะเข้าไปฟัง เข้าได้แค่สองคน เราก็ว่าไม่ได้ ครอบครัวเรามีสามคน มันเป็นสิทธิของเรา แล้วเรายังเห็นทางเดินที่เคยนั่งได้คราวก่อนถูกกั้นไม่ให้ใครนั่งได้อีก รออีกสักแป๊บนึงก็กั้นเพิ่มด้วย พยายามกันให้คนไม่เกี่ยวข้องออกไปนอกตึก นี่มันอะไรกัน

ครั้งที่ผ่านๆ มา เราคิดว่ามันเข้มงวดแล้วนะ เราได้นั่งใกล้กวิ้น แต่ก็มีราชทัณฑ์นั่งประกบกวิ้นทั้งสองข้าง จนกวิ้นต้องบอกว่าขอเวลาปรึกษาทนายส่วนตัว แล้วไม่ว่ากวิ้นจะเขียนอะไร ขอดูหมด ขอตรวจกระเป๋าแม่ด้วย ทั้งที่ก่อนเข้ามาในศาลก็ตรวจไปแล้วรอบนึง เห็นเรามีกระดาษอะไรในกระเป๋าหน่อยไม่ได้ มาชะโงกดู จนทนายต้องว่า มันเกินไปมากๆ แต่ครั้งล่าสุด (29 มี.ค.) นี่หนักเลย พอเราเข้ามาปุ๊บ กันให้ผู้ปกครองไปนั่งอีกฝั่งห่างจากลูกทันที เราก็อยากเจอลูก อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงในช่วงที่ผ่านมา เลยไปดักรอนอกห้องตรงลิฟต์ที่ผู้ต้องขังจะขึ้นมา เป็นทางเดินเข้าห้อง ซึ่งเขาก็กั้นเหล็กตลอดนะ แต่เราหวังว่าอย่างน้อยจะได้เจอกันระหว่างทาง ถามไถ่อาการกันบ้าง แต่ไม่ได้เลย เขาไล่ แม่ดื้อยืนอยู่อย่างนั้น จนเขาบอกว่าถ้าแม่ไม่เข้าห้อง จะไม่พาผู้ต้องขังขึ้นมาทั้งหมด เดี๋ยวไปคุยกันในห้องก็ได้ แม่ถึงยอมเข้าไป

แต่พอลูกเข้ามาจริงๆ เรากลับถูกกั้นไม่ให้เข้าไปหาลูก เรายังบอกเลยว่าทำไมคุณไม่รักษาคำพูด คุณบอกว่าจะให้ฉันเจอเขาในนี้ คราวหน้าไม่ได้แล้วนะ คุณมาโกหกได้หนนี้หนเดียว คราวหน้าไม่มีอีกแล้ว

ตอนเย็นเจ้าหน้าที่บางคนยังเข้ามาพูดเลยว่าทำแบบนี้มันเกินไป เราเองก็เพิ่งได้รู้วันนั้นว่าเป็นการกระทำที่เหมือนกับผู้ต้องขังจะถูกตัดสินประหารชีวิต เขาบอกว่าถ้าผู้ต้องขังถูกตัดสินประหารชีวิตจะไม่ให้ญาติเข้าพบเพราะกลัวเกิดการชิงตัวคน แต่คนของเรายังไม่ถูกตัดสินว่าผิดเลย ไม่ควรทำถึงขนาดนี้ ไม่ควรห้ามญาติเข้าใกล้ กวิ้นยังไม่รู้เลยว่าพ่อเขาก็มา เพราะเขาอนุญาตให้เข้าฟังได้แค่สองคน เราต้องสลับกันเข้าไป มันแย่นะ

ความแตกต่างที่แม่เห็นอีกอย่างคือเจ้าหน้าที่เขาเก็บมือถือทุกคน แต่อัยการกลับไม่ถูกเก็บ แม่เห็นเขาใช้อยู่ ยังถามทนายเลยว่าไม่ใช่ต้องเก็บทุกคนเหรอ ทำไมคุณเลือกปฏิบัติต่อทนาย จำเลย ญาติ แต่บางคนกลับไม่ต้อง ถามจนเจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปเก็บให้ นี่แสดงถึงหลักปฏิบัติที่ไม่เท่ากันหรือเปล่า  


หนึ่งในคดีที่เพนกวินและแกนนำคนอื่นๆ โดนสั่งฟ้องคือมาตรา 112 แม่มองข้อกฎหมายนี้ยังไงบ้าง

แม่ไม่ได้รู้รายละเอียดข้อกฎหมายเยอะ รู้แค่ว่าเป็นเรื่องหมิ่นประมาทสถาบันฯ แม่คิดว่าถ้ามีคนคิดต่างน่าจะลองรับฟังกัน การที่เด็กเหล่านี้ออกมาพูด เป็นสิ่งสะท้อนที่อยากให้สังคมกลับไปคิด โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องตามเด็กให้ทัน ดีไม่ดีอย่างไรลองนั่งคุยกันด้วยเหตุผล มาหาทางออกร่วมกัน


จากการที่แม่สัมผัสกระบวนการยุติธรรมในแง่มุมต่างๆ มา คิดว่าควรเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

วันก่อนแม่คุยกับทนายว่าเราควรทำให้ทุกคนรู้สิทธิพื้นฐานของตัวเอง ถ้าตำรวจจะจับเรา จะมาสอบสวนหรือทำอะไรกับเรา เรามีสิทธิพื้นฐานอะไรบ้าง เช่น เรียกทนายได้ จะพาไปไหนก็ต้องมีทนายไปด้วย เรื่องเหล่านี้อาจจะมีบางคนที่ไม่รู้หรือคิดไม่ทันเพราะตกใจ อย่างตอนแรกแม่ก็ไม่รู้ แต่พอจะโดนค้นตัว แม่ถึงได้เอะใจว่าไม่ใช่

ทุกคนควรรู้เพื่อจะได้ป้องกันตัวเองและเพื่อให้ทันลูกเล่นบางอย่าง แม่เคยเจอนะ ตอนเพนกวินถูกขังอยู่และจะมีตำรวจเข้าไปเพิ่มข้อกล่าวหา เขาให้สิทธิผู้ไว้วางใจเข้าไปอยู่ร่วมได้ เขามาถามว่าแม่อยากเยี่ยมไหม ถ้าเยี่ยมคนเดียวผมให้เข้าไปได้เลย วันนั้นเราไปกันสามคน กำลังรอทำเรื่องเข้าพบอยู่ พอได้ยินแบบนี้เราก็บอกว่าขอคุยกับทนายก่อน สักพักทนายออกมาเรียกให้เข้าไปได้ทั้งหมด สรุปได้เยี่ยมกันทุกคน  


จริงๆ เจ้าหน้าที่ควรเป็นฝ่ายแจ้งสิทธิเหล่านี้แก่เราหรือเปล่า

เจ้าหน้าที่ควรบอกแต่เราก็ควรรู้ด้วย เพราะเจ้าหน้าที่คงบอกเราไม่หมดหรอก บางครั้งเราก็ไม่รู้ด้วยว่าคนที่จะมาขอค้นตัว จะจับเรา เขาเป็นตำรวจไหม บัตรปลอมหรือเปล่า แม่ว่าต้องรู้เหมือนสอนเด็กแปรงฟันเลย ทำให้เป็นความรู้พื้นฐานตั้งแต่ว่าห้ามให้ใครมาละเมิดสิทธิตัวเอง ไม่ใช่แค่จากเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น แต่รวมถึงจากครู จากผู้ใหญ่คนอื่นๆ เด็กก็ต้องรู้ว่าไม่ควรปล่อยให้ใครแตะต้องร่างกายเราได้ เขาไม่มีสิทธิ์มาขู่เรา เพื่ออย่างน้อยก็ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัยขึ้น

ที่ผ่านมา แม่เห็นเด็กๆ ของเราโดนรังแกหลายคนจนเหนื่อยใจ เรายังเคยคิดจะไปเรียนกฎหมาย เพราะอยากรู้ว่าข้อกฎหมายมันเป็นยังไง จริงไหมที่เขาอ้างแบบนั้นแบบนี้ มันมีวิธีปกป้องคนอื่นๆ ได้ไหม ถ้าไม่ติดว่าลูกสาวกลัวแม่เหนื่อยเกินไป เพราะเรียนกฎหมายต้องอ่านหนังสือเยอะ


ตอนนี้แม่เปิดหน้าออกมาต่อสู้แล้ว ฝั่งคุณพ่อรับบทแบบไหน

เราคิดว่าถ้าออกมากันทั้งสองคน เราคงไม่สามารถเดินตลาดได้ เลยต้องมีหนึ่งคนที่ยังไม่เปิดหน้า เผื่อเวลาไปม็อบหรือไปที่ไหนคนจะได้ไม่รู้จัก เขาจะได้คอยสังเกต คอยดูแลให้ได้ ถ้าเปิดหน้ากันหมด เราอาจจะไม่ปลอดภัย

แม่เลือกออกมาก่อน เพราะเราเป็นคนช่างสังเกตเรื่องลูกมากกว่า อย่างในศาลเมื่อวันก่อน เราสังเกตเห็นว่าเท้าลูกสีไม่โอเค หรือตอนเกิดเหตุที่ สน.ประชาชื่น เราก็เป็นคนสังเกตว่าทำไมลูกยืนไม่ได้ เรื่องลูกเราจะละเอียดมากกว่า ซึ่งพ่อเขาก็เป็นห่วงแหละ เขารับหน้าที่ขับรถให้ ดูแลความปลอดภัยให้แม่


แม่รู้สึกว่าครอบครัวถูกคุกคาม เป็นอันตรายมากขึ้นไหมหลังจากแม่เปิดหน้าสู้เพื่อเพนกวิน

แม่เฉยๆ นะ มีเรื่องมาตั้งแต่ก่อนเปิดตัวแล้ว มีตำรวจมาเฝ้าหน้าหมู่บ้าน เราก็ปล่อยให้เขาเฝ้า ยังแซวกันขำๆ อยู่เลยว่า ตำรวจมาเฝ้าเหรอ ดี วันหลังจะได้ไม่ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์เข้าบ้าน ให้ตำรวจไปรับหน่อย ปลอดภัยดี

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ก็โดนตำรวจตาม เราโทรถามทนายว่าทำไงดี ทนายบอกว่าถ้าเข้าบ้านแล้วยังตามอีกก็จอดรถลงไปถามเลยว่าจะตามทำไม แต่เราชินนะ ไม่ได้หวาดกลัว บางครั้งยามหมู่บ้านมาบอกด้วยซ้ำว่าพี่ครับ มีตำรวจตามมา หรือพ่อกวิ้นก็จอดรถดูเป็นบางทีว่ามีคนตามมา ส่วนตัวแม่ไม่แคร์อยู่แล้ว

สิ่งที่กังวลที่สุดคือมือถือ แม่กลัวว่าจะถูกแฮ็ก ส่วนเรื่องใช้ชีวิตก็ปกติ คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักเราถ้าไม่ไปม็อบ ช่วงนี้ใส่แมสก์ด้วย คนยิ่งไม่รู้


เคยฝันไหมว่าอยากให้เพนกวินเป็นอะไร

เพนกวินเคยถามเหมือนกันว่ามี้อยากให้กวิ้นเป็นอะไร แม่บอกว่าพี่อยากเป็นอะไรก็ได้ที่ทุกวันลูกตื่นเช้าขึ้นมาแฮปปี้ มีความสุขและอยากไปทำ ที่ผ่านมาชีวิตแม่ถูกขีดเส้นว่าเรียนอย่างนั้นสิ ทำแบบนี้สิ ดังนั้นเราเข้าใจว่ามันคือชีวิตของลูกเอง อีก 20-30 ปีเดี๋ยวแม่ก็ตาย ที่เหลือคือชีวิตของลูก

เราเคยเถียงกันแค่ครั้งเดียว ตอน ม.4 แม่อยากให้เรียนสายวิทย์ เพราะเห็นเขาเก่งวิทย์ อยากให้ไปเรียนหมอ ตอนหลังเขาก็บอกว่า มี้ครับ เพนกวินรู้ว่าพ่อแม่ให้ชีวิต แต่การใช้ชีวิตเป็นของเพนกวิน พูดนิ่มๆ สบายๆ พูดตอนที่เราพร้อมคุยกัน เราก็เข้าใจ ขอแค่ให้ลูกเลี้ยงตัวเองรอดก็พอ ไม่ต้องห่วงแม่ ไม่ต้องเอาแม่เป็นภาระ


แล้วเคยถามเพนกวินไหม ว่าภาพประเทศไทยที่เขาอยากเห็นเป็นแบบไหน

สมัยเด็กๆ เขาเคยไปเคลื่อนไหวเรื่องการศึกษา แม่ถามว่าทำไปทำไมลูก แม่ก็จ่ายค่าเทอมให้นะ เขาพูดมาคำหนึ่งให้แม่เข้าใจว่ามี้ครับ เราจ่ายค่าเทอมเองก็จริง แต่เราใช้ภาษีรัฐด้วย ใช้สวัสดิการของรัฐ และมีคนอีกหลายคนเข้าไม่ถึง ไม่ได้ประโยชน์เหมือนที่เราได้ คนชายขอบหลายคนไม่มีโอกาส เราต้องหาทางให้โอกาสนั้นกลับคืนไปแก่เขา ชดเชยให้เขา  

เวลาแม่บ่นเหนื่อยจากทำงาน เขาก็บอกว่าไทยควรมีรัฐสวัสดิการเพื่อให้เราไม่ต้องกังวล หรือตอนเด็กๆ บ้านเราเคยเลี้ยงหนูแล้วมันตาย เพนกวินบอกว่าต้องฝังให้ดีๆ มีไม้ปักชื่อ มีหินประดับรอบหลุม เขาเรียกทุกคนมายืนไว้อาลัย ให้กล่าวคำไว้อาลัย บอกว่าเราควรปฏิบัติให้เขาเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนคน เขามองว่าทุกชีวิตเท่าเทียมกัน นั่นคงเป็นภาพบ้านเมืองที่เขาอยากจะเห็น 


ถ้าบ้านเมืองที่เพนกวินอยากเห็นคือบ้านเมืองที่เปิดโอกาสให้คนเท่าเทียมกัน แล้วบ้านเมืองที่แม่อยากเห็นเป็นแบบไหน

ขณะนี้แม่อยากให้เป็นสังคมที่ยอมรับซึ่งกันและกัน ฟังความเห็นของกันและกัน แม่ไม่อยากให้ใช้กำลัง ไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย เพราะคนไทยด้วยกันทั้งนั้น เราเข้าใจว่าไม่มีใครเป็นที่รักของทุกคนหรอก แต่ทุกคนมีครอบครัว มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง เป็นที่รักของใครสักคน มันไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเกิดการสูญเสียเพื่อให้ใครสะใจหรือรู้สึกว่าฝั่งฉันชนะแล้วเพราะอีกฝ่ายสูญเสียเยอะกว่า ไม่งั้นประเทศเราจะติดอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้ ตีกันไปก็เท่านั้น เราเจ็บ ไม่มีอะไรดีขึ้น  

ทุกวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี จะทำให้เด็กในวันข้างหน้าไม่กล้าคิดนอกกรอบ ไม่มีคนกล้าออกมาทำ เราเสียดายนะ แม่เชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่ต้องเก่งกว่าคนรุ่นเก่า ลูกต้องเก่งกว่าพ่อแม่ ไม่งั้นประเทศชาติคงถอยหลัง เราต้องเปิดใจเวลาเจอเด็กที่เก่งกว่า ต้องยอมรับให้ได้ ไม่ใช่คิดว่าฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน เด็กต้องฟังฉัน สิ่งหนึ่งในยุคของคุณมันอาจจะถูกและใช่ แต่เวลานี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าไม่เปิดรับความคิดเห็นกัน เราจะได้พัฒนาไหม ต่อให้กวิ้นทำไม่สำเร็จในคราวนี้ แต่คนต่อๆ ไปก็จะมาแทนที่ สักวันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง แล้วจะตีกันไปทำไม ควรมีหนทางที่คุยกัน เปิดใจรับฟังกัน

ถ้าบอกว่าการคิดเห็นไม่เหมือนคนอื่นเป็นสิ่งผิด สังคมจะสูญเสียนะ ถ้าเราปิดกั้นเด็กเยอะๆ เด็กที่มีความสามารถ คิดนอกกรอบจะอยู่เมืองไทยไหม แทนที่เด็กเหล่านั้นจะอยู่ช่วยพัฒนาประเทศ เขาก็คงคิดว่าอยู่ไปทำไม คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้ สังคมไม่น่าอยู่ พอเขาออกไป เราก็ดันไปว่าเขาไม่รักประเทศ ไม่กลับมาช่วยพัฒนา ก็เพราะพวกเธอทำให้เขาไม่อยากอยู่ไง

วันก่อนแม่คุยกับผู้ใหญ่ด้วยกันว่าเราเป็นรุ่นที่ต้องถอยมาข้างหลังแล้ว รับบทบาทเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กรุ่นใหม่ เปิดโอกาสให้เขาทำในสิ่งที่อยากทำ ควรวางตัวเป็นผู้อาวุโสที่เด็กๆ สามารถเข้ามาปรึกษามากกว่าไปควบคุมเขา เราอายุไม่น้อยแล้ว พรุ่งนี้อาจไม่เห็นแม่แล้วก็ได้ ดังนั้นเราต้องทำให้สังคมมันดีขึ้นให้ได้ สิ่งที่เราอยากสอนเด็ก เราต้องทำให้เด็กเห็น ถ้าบอกให้เด็กรุ่นใหม่มีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์โกรธเกลียด เราก็ไม่ควรใช้อารมณ์โกรธเกลียดพวกเขาด้วยเหมือนกัน

แม่เพนกวิน


หลังจากนี้แม่วางแผนว่าจะต่อสู้ช่วยเหลือเพนกวินยังไงต่อไป

จะทำสุดทุกทางที่แม่ทำได้ แต่ทุกอย่างที่ทำจะต้องไม่ทำให้สิ่งที่เด็กๆ ทำไว้เสียหาย เราไม่อยากให้สิ่งที่พวกเขาสร้างกันมาตั้งนานต้องเสียหายเพราะเรา ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้ทำให้ทุกอย่าง บางคนอาจจะเคืองว่าทำไมชวนแม่กวิ้นไปทำนั่นทำนี่ แม่ไม่ไปทำ นั่นเป็นเพราะแม่ไม่ได้มีเวลามากนัก หนึ่งวันมีหลายเรื่องที่แม่ต้องทำในตอนนี้ วันดีคืนดีทนายอาจโทรชวนให้ไปประกันตัวกวิ้นอีก หรือต้องการเอกสารเพิ่มเติมอีก แม่บอกไม่ได้หรอกว่าชีวิตเราจะเป็นยังไงต่อไป แต่แม่จะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ และจะไม่ทำให้ขบวนการ ทีมงานต่างๆ เดือดร้อน


ยังเชื่อในกระบวนการยุติธรรมอยู่ไหมว่าจะมอบความยุติธรรมให้แก่เรา

แม่เริ่มเห็นว่ามีบางคนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่บางคนเริ่มมาบอกว่าเขาชักจะคิดว่ามันไม่โอเคกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น บางครั้งถ้าเราอยู่เฉยๆ ความอยุติธรรมจะผุดขึ้นมาให้คนเห็นเอง และเชื่อว่าคนที่มีจิตสำนึก มีความเป็นคน รักในเกียรติ ศักดิ์ศรีของตนเอง จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ถูก มันต้องมีบ้าง

ตอนนี้แม่คิดว่าคนเหล่านี้คงมีมากขึ้นเรื่อยๆ และจะต้องมีฮีโร่ออกมา ฮีโร่คนนั้นอาจจะบาดเจ็บเหมือนเพนกวินบ้าง แต่เชื่อเถอะ ทุกคนจะเคารพนับถือคุณ พ่อแม่ ลูก ครอบครัวของคุณจะจะภูมิใจในตัวคุณ ชื่นชมศักดิ์ศรีของคุณเมื่อคุณได้ทำสิ่งที่ถูกที่ควร เราไม่เชื่อหรอกว่าประเทศไทยจะมีคนที่มองเห็นความไม่ยุติธรรมแล้วจะคิดว่ามันถูกต้อง ยอมนิ่งเฉย มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับเด็กๆ นะ


ในสถานการณ์แบบนี้ มองว่าใครจะเป็นความหวัง เป็นที่พึ่งที่จะช่วยเพนกวินและคนอื่นๆ ได้

การปล่อยตัวลูกเรา ศาลเป็นคนตัดสิน ซึ่งแม่เชื่อว่าในคณะกรรมการของศาลที่มีหลายท่านต้องมีฮีโร่ เรารอฮีโร่คนนั้น นอกจากนี้การที่มวลชนออกมาแสดงความคิดเห็น เป็นการส่งเสียงว่าประชาชนต้องการอะไร มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลายคนอาจจะยังรู้ข่าวแค่ด้านเดียว ดังนั้นมวลชนมีส่วนมากในการเป็นผู้บอกความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคม

แม่เชื่อว่าคนในกระบวนการยุติธรรมยังมีเกียรติและศักดิ์ศรี ตอนนี้ท่านเป็นที่พึ่งของคนทั้งชาติ เราหวังว่าจะมีฮีโร่เร็วๆ นี้ ส่วนมวลชนที่เพนกวินรัก ซึ่งตอนนี้รักมากกว่าแม่อีก แม่ได้ยกเพนกวินให้มวลชนไปแล้ว ก็หวังว่ามวลชนอย่าเพิ่งทิ้งเพนกวิน ถ้าคุณเงียบ เหนื่อย ขอให้คิดถึงเขาที่อยู่ในนั้น เขาจะไม่มีวันได้ออก หรือตอนที่ออกก็ไม่แน่ใจว่าจะมีลมหายใจหรือเปล่า ถ้ามวลชนไม่ช่วยกันส่งเสียง จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น อย่างเรื่องที่ สน.ประชาชื่นเป็นเรื่องที่เมืองไทยไม่เคยมี มันน่ากลัวมาก วันนั้นกวิ้นรอดมาได้เพราะมวลชน ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งที่อยากให้มวลชนช่วยกวิ้นด้วย ช่วยให้กวิ้นผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ อย่าปล่อยให้สิ่งที่ครอบครัวเราสูญเสียไปทั้งหมด ไม่ว่าความเป็นส่วนตัวหรืออะไรต่างๆ ที่หลายครอบครัวสูญเสียต้องเสียเปล่า

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save