fbpx

นิทานมีศพ (และเรื่องอื่นๆ) Super Deluxe

Super Deluxe เป็นหนังที่จัดหมวดหมู่ค่อนข้างยากสักหน่อย เนื่องจากผสมปนเปกันหลากหลายแนวทาง เป็นทั้งหนังตลก (ซึ่งยังจำแนกแยกย่อยลงไปได้อีกว่าประกอบด้วยอารมณ์ขันหลายๆ แบบ เช่น ตลกร้าย ทะลึ่งตึงตัง อารมณ์ขันน่ารักๆ และเสียดสีเย้ยหยัน) หนังชีวิตสะเทือนใจ หนังตื่นเต้นระทึกขวัญ หนังรักซาบซึ้ง หนังอาชญากรรม หนังครอบครัว และหนังโป๊ (ผมควรจะต้องบอกกล่าวกันไว้ก่อนว่า ตลอดทั้งเรื่องไม่มีภาพหรือฉากโป๊เปลือยใดๆ ทั้งสิ้น)

บรรยากาศและโทนเรื่องโดยรวมมาทาง ‘ทีเล่นทีจริง’ บางจังหวะก็รื่นรมย์เบาสมอง บางช่วงตอนก็เคร่งเครียดหนักหน่วง และบ่อยครั้งทั้งสองอย่างก็เกิดขึ้นเคียงคู่กัน

ในทางตรงข้าม หนัง ‘จับฉ่าย’ เรื่องนี้กลับสามารถสรุปฟันธงได้สะดวกง่ายดายเหลือเกินว่าสนุกชวนติดตามเหลือหลาย บันเทิงครบรส มีวิธีการเล่าเรื่องที่ฉลาดน่าทึ่ง โดดเด่นด้วยองค์ประกอบทางศิลปะครบครัน มีเนื้อหาแหลมคมชวนคิด และแน่นอนว่าเป็นหนังดีมากๆ ระดับห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

Super Deluxe เป็นหนังอินเดีย พูดภาษาทมิฬ สร้างและออกฉายเมื่อปี 2019 (สามารถดูได้ใน Netflix) กำกับและเขียนบทโดย เทียกราจัน กุมารราชา

หนังเล่า 4 เหตุการณ์สลับไปมาตั้งแต่ต้นจนจบด้วยวิธีเรียงลำดับอย่างเป็นอิสระ ไม่มีแบบแผนแน่นอนตายตัว และมีการเน้นรายละเอียดในแต่ละเรื่องมากน้อยแตกต่างกัน ทุกเหตุการณ์แยกขาดจากกันเป็นเอกเทศ (ยกเว้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยให้ผู้ชมทราบตั้งแต่ต้นว่าข้องเกี่ยวสัมพันธ์กับอีกเรื่องอย่างไร) ก่อนจะมาเฉลยแสดงความเชื่อมโยงกันในตอนท้ายอย่างชาญฉลาด

เหตุการณ์แรก เป็นเรื่องของสาวสวยชื่อแวมบู ซึ่งโดนพ่อแม่จัดแจงให้แต่งงานแบบคลุมถุงชนกับมูกิล และมีชีวิตสมรสที่ปราศจากความสุข

เรื่องเริ่มต้นเปิดฉากในเช้าวันหนึ่ง แวมบูโทรศัพท์ไปหาแฟนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยขณะที่สามีออกจากบ้านไปเรียนการแสดง ชักชวนคนรักเก่ามาพบเจอกันที่บ้าน แล้วถลำเลยเถิดมีเพศสัมพันธ์ ความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อชู้รักเสียชีวิตขณะกำลัง ‘เข้าด้ายเข้าเข็ม’

ซ้ำร้ายกว่านั้น ระหว่างที่หญิงสาวกำลังตระหนกตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น สามีของเธอก็กลับมาถึงบ้านเร็วกว่าปกติ

เรื่องต่อมาเล่าถึงกลุ่มเด็กวัยรุ่น 5 คน โดดเรียนมาดูหนังโป๊ที่บ้านเพื่อน แต่แล้วเพียงแค่เริ่มดูไปได้ไม่กี่นาที เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ช็อกสุดชีวิต เมื่อเห็นแม่ของตนปรากฏตัวอยู่ในหนัง ด้วยความโกรธจึงขว้างขวดแก้วใส่โทรทัศน์จนหน้าจอแตกเสียหาย

เหตุการณ์นี้แยกย่อยเป็น 2 เส้นทาง เรื่องหนึ่งคือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างแม่ที่เป็นดาราหนังโป๊กับลูกที่ล่วงรู้ความลับนี้ ว่าจะคืบเคลื่อนไปสู่ทิศทางใดและคลี่คลายลงเอยอย่างไร ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยกลุ่มเพื่อนที่เหลือต้องหาเงินมาซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่ให้ได้ ก่อนที่พ่อ (ซึ่งดุมาก) ของเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านจะกลับมาในตอนเย็น

เรื่องที่สาม ว่าด้วยเด็กชายราสกุตตี ผู้เฝ้ารอคอยการมาเยือนของพ่อ ซึ่งห่างหายทิ้งครอบครัวไปนานถึง 7 ปีก่อนตัดสินใจโทรศัพท์แจ้งข่าวต่อครอบครัวว่าจะกลับบ้าน หนังเล่าถึงความตื่นเต้นกระวนกระวายของเด็กชาย ดีใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตู และผิดหวังซ้ำซากทุกคราวที่เปิดประตูแล้วพบว่าเป็นคนอื่น

นี่ยังไม่นับรวมบรรดาญาติมิตรที่รู้ข่าว พากันแห่มาชุมนุมที่บ้าน จับกลุ่มคุยและนินทากันอย่างออกรสด้วยความอยากรู้อยากเห็น

จนถึงนาทีที่ทุกคนรอคอย รถแท็กซี่จอดลงที่หน้าบ้าน ท่ามกลางฝูงคนที่เฝ้ารอกันเนืองแน่น ทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไปตามๆ กันเมื่อพ่อก้าวลงจากรถในรูปลักษณ์ของแม่

เรื่องสุดท้ายกล่าวถึงธนาเสก หนุ่มใหญ่ที่เคยผิดหวังกับชีวิตจนตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการเดินลงไปในทะเล แต่ฉับพลันนั้นกลับเกิดสึนามิ ความตกใจบวกกับสัญชาตญาณรักชีวิตทำให้เขาวิ่งหนีขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่ทันคลื่นยักษ์ถาโถม ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย เขาเอื้อมมือคว้าและยึดตัวไว้กับหินก้อนหนึ่งจนกระทั่งรอดตายอย่างหวุดหวิด เมื่อเหตุการณ์สงบลง จึงพบว่าหินดังกล่าวเป็นเทวรูปขนาดเกือบเท่าคนจริง

ธนาเสกเชื่อว่าเทวรูปนั้นคือเทพเจ้าแห่งสึนามิ ซึ่งแสดงปาฏิหาริย์ช่วยให้เขารอดตาย นับแต่นั้นมาจึงเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่เป็นอาปูร์ธรรม ดำรงชีวิตเยี่ยงนักบวชด้วยศรัทธาอันกล้าแข็ง สวดมนต์ภาวนารักษาคนป่วยทุกข์ร้อน กระทั่งมีคนเลื่อมใสจำนวนมาก

ช่วงขณะเริ่มเรื่อง อาปูร์ธรรมประสบพบเหตุบางอย่างซึ่งสั่นคลอนความศรัทธาที่มีอยู่ จนไม่ยอมออกมาสวดภาวนาให้เด็กคนหนึ่งที่กำลังป่วยหนัก ยิ่งไปกว่านั้น ความคลางแคลงใจยิ่งทวีเพิ่มมากกว่าเดิมเมื่อเผชิญกับอีกบททดสอบ อาปูร์ธรรมได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้ายว่าลูกชายของเขาโดนแท่งเหล็กแทงเข้าที่ท้องอาการสาหัส

ทั้งหมดที่ผมเล่ามา เป็นเหตุการณ์เริ่มเรื่องกินความยาวประมาณครึ่งชั่วโมง (หนังเรื่องนี้มีความยาว 2 ชั่วโมง 56 นาที) ที่เหลือถัดจากนั้นไปจนจบ เล่าหรือเปิดเผยอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากเต็มไปด้วยเหตุการณ์พิลึกพิลั่น การพลิกผันหักมุม จังหวะล่อหลอก ความลับ (และจังหวะเฉลยที่ยอดเยี่ยม)

จุดเด่นเบื้องต้นอันจะแจ้งเด่นชัดมากของ Super Deluxe คือความบันเทิงในขีดขั้นที่กล่าวได้ว่า อภิมหาสนุกสุดๆ

มันเป็น ‘เรื่องเล่าที่ดี’ แต่ละเหตุการณ์แข็งแรงและดีเกินพอจนสามารถแยกออกมาทำเป็นหนังสนุกๆ สักเรื่องได้สบายๆ ดังนั้นเมื่อนำมาผนวกรวมเป็นหนังหนึ่งเรื่อง รสบันเทิงจึงเหมือนคูณ 4

แต่ที่เจ๋งยิ่งๆ ขึ้นไปอีกคือ ‘เรื่องเล่าที่ดี’ นำเสนอออกมาผ่าน ‘วิธีการเล่าที่ดี’ ผลลัพธ์จึงยิ่งบวกมหาศาล

ผมกล่าวไว้ในตอนต้นแล้วนะครับ ว่าหนังใช้วิธีเล่าสลับไปมาอย่างเป็นอิสระ ไม่ได้ร้อยเรียงเหตุการณ์เป็น 1, 2, 3, 4, (ยกเว้นแค่ช่วงเปิดเรื่อง) แต่อาจเป็น 1, 4, 2, 3 หรือลำดับอย่างอื่น

ที่ผมยังไม่ได้กล่าวก็คือ ท่ามกลางการเรียงต่อเหตุการณ์เหมือนเดาสุ่ม กระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ ผมคิดว่าการเชื่อมโยงระหว่างฉากต่อฉากของ Super Deluxe ประณีตเนี้ยบกริบ เป็นการกระทำด้วยเป้าหมาย 2 ประการ อย่างแรกเป็นการเรียงเรื่องเพื่อเร่งเร้าความสนใจจากผู้ชม (เทียบเคียงง่ายๆ ก็คล้ายกับซีรีส์ที่จบตอนขณะเหตุการณ์กำลังเข้าไคล)

พูดง่ายๆ คือขณะกำลังเล่าเรื่องหนึ่งไปถึงจุดเข้มข้น ก็ตัดฉับไปเล่าอีกเหตุการณ์จนออกรสสุดขีด แล้วตัดไปสู่อีกเรื่องราว เป็นเช่นนี้ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ส่งผลให้หนังที่มีจังหวะการเล่าเรื่องอย่างใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป กระตุ้นความกระหายใคร่รู้ของผู้ชมได้วิเศษนัก

ยิ่งไปกว่านั้น ในหลายๆ สถานการณ์ที่เรื่องดำเนินมาจนถึงจุดระทึกใจ วิธีที่หนังส่วนใหญ่นิยมใช้เพื่อเร้าอารมณ์ก็คือเร่งจังหวะให้ปุบปับฉับไว แต่ Super Deluxe กลับยืนกรานรักษาจังหวะใจเย็นเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ส่งผลให้ผู้ชมอยากรู้อยากเห็น จนแทบจะกดปุ่ม fast forward บนรีโมตเพื่อพบคำตอบโดยเร็ว

พูดอีกแบบได้เหมือนกันว่าหนังใช้วิธีใจเย็นมาทำให้คนดูใจร้อน

ความโดดเด่นในการเรียงและเล่าสลับระหว่าง 4 เหตุการณ์ก็คือ การคำนึงถึงความต่อเนื่องราบรื่นของอารมณ์

ตรงนี้อธิบายยากอยู่สักหน่อย แต่พอจะหยิบยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายมาเล่าสู่กันฟังได้ ปัญหาอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในหนังซึ่งใช้วิธีเล่าสลับไปมาระหว่างหลายเหตุการณ์ก็คือ ทุกเรื่องควรต้องมีไคลแมกซ์ และเมื่อมีหลายเหตุการณ์ ก็ย่อมต้องมีหลายไคลแมกซ์

เมื่อเกิดไคลแมกซ์ซ้ำๆ หลายครั้ง ผลคือหนังที่เล่าหลายเหตุการณ์บางเรื่องจึงเกิดปัญหาความซ้ำซ้อน จนกระทั่งไม่มีจุดพีค

Super Deluxe มีไคลแมกซ์ครบถ้วนทั้ง 4 เรื่องเล่า แต่วิธีเอาตัวรอดของหนังคือการวางน้ำหนักช่วงไคลแมกซ์ของแต่ละเรื่องหนักเบาไม่เท่ากัน (เรื่องที่ไคลแมกซ์รสไม่จัดก็สร้างความโดดเด่นไปที่ส่วนอื่น) และเรียงลำดับเชื่อมต่อในแบบเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดพีค

พูดอีกแบบคือใช้ไคลแมกซ์ของทั้ง 4 เรื่องมาเรียงต่อปูพื้นเพื่อสร้างไคลแมกซ์เพียงหนึ่งเดียว

หนังใช้วิธีทำนองนี้ไปกับส่วนอื่นๆ ตลอดทั้งเรื่องด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็น turning point ของหนัง, ช่วงตอนตึงเครียด หรืออะไรอื่นทั้งหลายทั้งปวงที่ประกอบรวมกันเป็นโครงสร้างและแบบแผนของการเล่าเรื่อง

ถัดจากพล็อตเรื่องที่ดีระดับดูแล้วต้องรำพึงรำพันอยู่เนืองๆ ว่าคิดได้ยังไง และวิธีการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมในการเล่นท่ายาก ให้คนดูเข้าใจได้ง่ายแล้ว Super Deluxe ยังโชว์ฟอร์มเทพด้วยการสร้างโทนและบรรยากาศ ‘ทีเล่นทีจริง’ บางจังหวะก็รื่นรมย์เบาสมองจนเกือบจะติงต๊องเหลวไหล บางช่วงตอนก็เคร่งเครียดหนักหน่วงจริงจัง และบ่อยครั้งทั้งสองอย่างก็เกิดขึ้นเคียงคู่กัน

แต่ที่น่าทึ่งชวนอัศจรรย์ใจมากสุดคือ การทำให้หนังที่สนุกบันเทิงจัดๆ บนรูปโฉมทีเล่นทีจริง สะท้อนประเด็นทางเนื้อหาไปได้กว้าง ไกล และลึก

สำหรับประเด็นในหนัง แต่ละเรื่องราวล้วนมีแก่นเรื่องเฉพาะเป็นของตนเอง และอีกส่วนหนึ่งก็คล้ายๆ การต่อภาพจิ๊กซอว์ เมื่อนำทั้งหมดมาประเมินแบบมองภาพรวม ก็เกิดเป็นอีกแง่มุมทางด้านเนื้อหา

แง่มุมเบื้องต้นในเรื่องเล่าทั้ง 4 สะท้อนถึงปัญหาต่างๆ ในสังคมอินเดีย เช่น การแต่งงานแบบคลุมถุงชน, อคติที่สังคมมีต่อ ‘บุคคลข้ามเพศ’, ความฉ้อฉลของตำรวจเลว(บางคน), สวัสดิการสังคมในการรักษาพยาบาลคนจน ทั้งหมดนี้บอกเล่าในลักษณะเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย แทรกปนอยู่ในรายละเอียดปลีกย่อย

ในบทสรุปทิ้งท้ายของหนังหลังจากเรื่องเล่าทั้งหมดดำเนินไปจนจบครบถ้วน Super Deluxe ทำคล้ายๆ กับนิทานอีสป ซึ่งบอกกล่าวต่อผู้อ่านตรงๆ ผ่านถ้อยคำคุ้นเคยอย่าง ‘นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า’

อย่างไรก็ตาม หนังมีอุบายเล่ห์กล ทำให้ ‘การขึ้นธรรมาสน์เทศน์’ อย่างจงใจดูไม่เป็นการยัดเยียดด้วยวิธีตื้นเขิน ด้วยการเล่าผ่าน ‘หนังอีกเรื่อง’

ที่สำคัญคือ ‘นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า’ ใน Super Deluxe ไม่ได้มีแก่นสารสาระในท่วงทำนองแบบ how to ต้องเป็นอย่างนั้น จงคิดอย่างนี้ ทว่าเป็นการโยนคำถามชุดหนึ่งให้ผู้ชมนำไปคิดต่อ

คำถามนั้นไปไกลถึงเรื่อง พระเจ้ามีจริงหรือไม่, อะไรคือเนื้อแท้ของความดีความเลว, กลไกของจักรวาล และความหมายของชีวิตเลยทีเดียว

มีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูต้องรู้สึกสะดุดตาทันที นั่นคือความโดดเด่นในการใช้สีอันฉูดฉาดจัดจ้านของหนังได้สวยน่าตื่นตาตื่นใจมาก แต่ความสนุกของเรื่องราวน่าจะดึงสมาธิไปกับการติดตามเหตุการณ์ จนไม่อาจจับสังเกตพิจารณาได้อย่างถี่ถ้วน

ผมมาเกิดความกระจ่างชัดจากการดูซ้ำรอบที่สองนะครับ

Super Deluxe ใช้สีคู่ตรงกันข้าม น้ำเงิน-ส้ม ตลอดทั้งเรื่อง แบบที่พูดได้ว่าคนทำนั้นบ้าพลังเอามากๆ  เกือบๆ ทุกฉากทุกเฟรม อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะประมาณ 99% ของหนัง

ทั้งสองสีนี้มีการไล่ระดับโทนอ่อน-แก่ ตั้งแต่น้ำเงินเข้ม น้ำเงิน ฟ้า และเขียวเทอร์คอยซ์ เช่นเดียวกับคู่ตรงข้าม ซึ่งไล่ระดับตั้งแต่แสดเข้ม ส้ม น้ำตาลอ่อน สีครีม ทั้งหมดนี้ปรากฏผ่านเสื้อผ้า ฝาผนัง กำแพง รถยนต์ ฯลฯ

แน่นอนครับว่าผลลัพธ์เบื้องต้นคือความสวยโดดเด่นสะดุดตา แต่การลงทุนลงแรงเปลืองความคิดเช่นนี้น่าจะมีเป้าหมายลึกซึ้งกว่าแค่เพียงความสวย

ผมมีข้อสันนิษฐาน 2-3 ประการเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการจงใจใช้สีตรงข้าม น้ำเงิน-ส้ม อย่างยิ่งยวดของหนังเรื่องนี้

อย่างแรกสุด มันเป็นเทคนิควิธีที่ช่วยให้เรื่องเล่า 4 เหตุการณ์ ซึ่งแตกต่างไปคนละทิศคนละทาง เกิดความเป็นเอกภาพ มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ถัดมาคือ เมื่อพิจารณาจากตัวเรื่อง ทั้ง 4 เหตุการณ์มีฉากหลัง พฤติกรรมของตัวละคร ลำดับต้น กลาง ปลาย อารมณ์หลักๆ บรรยากาศ ไม่เหมือนหรือใกล้เคียงกันเลย

แต่จุดร่วมอย่างหนึ่งซึ่งทุกเรื่องมีร่วมกัน ก็คือความขัดแย้งไม่ลงรอยกันระหว่างตัวละคร และรายละเอียดสารพัดสารพันที่เน้นย้ำถึงความเป็นขั้วตรงกันข้าม เช่น ความเชื่อความศรัทธากับความคลางแคลงสงสัย, การตกอยู่ในจุดกึ่งกลางที่ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความดีกับความชั่ว, พ่อในรูปลักษณ์ของแม่, สิ่งที่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ฯลฯ

หนังมีรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งตรงกันข้ามทำนองที่กล่าวมาอยู่มากนะครับ แต่ในระหว่างไล่เรียงค้นหานี้เอง ผมก็พบจุดร่วมเชื่อมโยงอีกอย่างของหนัง นั่นคือทุกเหตุการณ์ใน Super Deluxe พูดถึงตัวละครที่กระทำเรื่องผิดพลาดในชีวิต หนักเบาอาจแตกต่างลดหลั่นกันไป (ภรรยามีชู้, สามีที่ไม่ใส่ใจคนรัก เอาแต่หมกมุ่นคิดถึงแต่ตนเอง, วัยรุ่นที่ทำโทรทัศน์พัง และพยายามหาเงินมาซื้อใหม่, พ่อที่ทิ้งลูกทิ้งเมียไปนาน, แม่ที่มีอดีตเป็นดาราหนังโป๊) จากนั้นก็ต้องดิ้นรนแก้ไขปัดเป่าสิ่งที่ตนเองกระทำ จนนำไปสู่สถานการณ์บานปลาย มีโอกาสได้ทบทวนข้อบกพร่องผิดพลาดที่ผ่านมา

กล่าวโดยสรุป ทั้ง 4 เรื่อง 4 เหตุการณ์ใน Super Deluxe สะท้อนถึงความผิดบาป การสารภาพบาป และการชำระบาป

ผมคิดว่านี่เป็นแก่นเรื่องหลักที่จับต้องได้เด่นชัดสุดและมีน้ำหนักมากสุดของหนัง

อีกประเด็นที่ชัดเจนใกล้เคียงกัน (โดยการสรุปแบบ ‘นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า’ ในตอนท้ายเรื่อง) คือแง่มุมว่าด้วยแต่ละชีวิตที่มีเส้นทางของตนเอง แต่ถึงที่สุดแล้ว ทุกการกระทำของบุคคลหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบเกี่ยวพันกับผู้คนรายรอบ ทั้งที่ใกล้ชิดและพบเจอกันเพียงผิวเผินเล็กน้อย

เป็นหนังที่ผมขอแนะนำและเชิญชวนให้ดูเป็นที่สุดเลยนะครับ

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save