fbpx

เส้นผมบังภูเขา ก่อนที่จะ ‘ตาสว่าง’ ลอกคราบ ส.ศิวรักษ์ ผ่านการปลดเปลื้องอคติต่อนายปรีดี พนมยงค์

ส.ศิวรักษ์ ปรีดี

ถึงที่สุดแล้ว เมื่อเราพูดกันถึงนายปรีดี พนมยงค์ เราต้องมองให้ชัดเจนว่า บทบาทของนายปรีดีมีแค่ไหน บทบาทของนายปรีดียังเป็นปัจจุบันและอนาคตอยู่ ถ้าเป็นอดีตไปแล้ว คงไม่มีใครเกลียด ไม่มีใครกลัว...

แต่นายปรีดี พนมยงค์ ยังไม่ได้เป็นอดีต นายปรีดียังเป็นทั้งปัจจุบันและอนาคต เพราะนายปรีดีพูดถึงสัจจะ พูดถึงความเป็นธรรมในสังคม พูดถึงประชาธิปไตย พูดถึงความเป็นกลาง พูดถึงความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งในเวลานี้เราไม่มีเลย และเราไม่เป็น เราถึงกลัว

ทัศนะของนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือที่รู้จักกันในนามปากกา ‘ส.ศิวรักษ์’ ต่อนายปรีดี พนมยงค์ ข้างต้นนี้นับว่าเป็นข้อสังเกตที่น่าฟัง ดังเราเห็นได้อยู่เป็นระยะว่ามีการเผยแพร่ข้อความหรือคลิปต่างๆ ในทำนองใส่ร้ายป้ายสีนายปรีดีให้มีมลทินมัวหมองอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่นายปรีดีถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว 40 ปี (2 พฤษภาคม 2526-2566) แต่นายปรีดีก็ยังคงเป็น ‘ปีศาจ’ ที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่ (อยาก) อยู่ในโลกเก่าตลอดมา

แต่ก่อนที่นายสุลักษณ์จะมายกย่องเชิดชูนายปรีดีเช่นทุกวันนี้ นายสุลักษณ์เคยเป็นทั้งคนที่เกลียดและกลัวนายปรีดีมาก่อน จนถึงขนาดได้รับเกียรติจากนายปรีดีมอบฉายา ‘สวะสังคม‘ ให้มาแล้ว โดยจุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อปี 2523 ที่นายสุลักษณ์สามารถเขี่ยเส้นผมที่บังออกไปจนเห็นภูเขาได้ สำหรับรายละเอียดของเส้นทางจะเป็นอย่างไร บทความนี้จะลอกคราบ ส.ศิวรักษ์ ผ่านเรื่องเล่าจากเขาเอง



“เมื่อนายสุภา ศิริมานนท์ ไปพบท่าน (ปรีดี) ในเดือนเมษายนนั้น (2526) ข้าพเจ้าได้ขอรูปที่นายไสว สุทธิพิทักษ์ ถ่ายมาอย่างงาม ขอความกรุณาให้ท่านเซ็นมอบให้ ท่านได้มีแก่ใจเขียนมาให้ โดยบอกว่าไม่เคยเขียนให้ใครยาวถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นที่จับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก…เสียดายแต่ที่ข้าพเจ้าได้รับทราบความข้อนี้ ตลอดจนเอกสารต่างๆ และรูปที่ท่านเซ็นมาให้ เมื่อท่านล่วงลับไปเสียแล้วอย่างกะทันหัน” – ส.ศิวรักษ์


มิจฉาทิฐิ


แต่เล็กจนโต กว่าที่จะตาสว่างในวัยเกือบ 50 ปีนั้น สุลักษณ์มีมิจฉาทิฐิอย่างฉกรรจ์เกี่ยวกับปรีดีอยู่ 2 ข้อ คือเรื่องการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย และเรื่องกรณีสวรรคต ซึ่งบดบังสัมมาทิฐิซึ่งเขายอมรับอยู่เสมอในเรื่องการเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังที่สุลักษณ์เขียนไว้ว่า

สัมมาทิฐิเกี่ยวกับท่านนั้น คือ การกอบกู้เอกราชของท่านในฐานผู้นำขบวนการเสรีไทย ซึ่งถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ให้คะแนนท่านเต็มอยู่ตลอดเวลา และรำลึกนึกถึงบุญคุณของท่านอยู่เสมอ แต่มิจฉาทิฐิสองข้อแรกทำให้เกิดอคติบดบังความเห็นผิดเป็นชอบในข้อสุดท้ายอันสำคัญยิ่งนี้เสียมิใช่น้อย”   


มูลเหตุแห่งอคติ


สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางชาวไทยเชื้อสายจีน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2475 (ตามปฏิทินเก่า) ในตระกูลซึ่งไม่สนใจงานภาครัฐ เท่ากับสนใจรักษาสถานะเดิมของบ้านเมืองไว้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลก็เคยได้รับพระมหากรุณาจากพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายหลายพระองค์ จนเป็นเหตุให้ชื่นชมพระบารมี มากกว่าที่จะเข้าใจความทุกข์ยากเดือดร้อนของอาณาราษฎรโดยทั่วไป ทั้งยังไม่เข้าใจถึงโครงสร้างอันอยุติธรรมของสังคม แม้ในยามที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจแล้ว เช่นข้อความที่เขาเขียนว่า

เมื่อถึงคราวที่เราเสื่อมลาภลง จนถึงกับแทบต้องล้มละลาย เราก็ไม่เคยโทษระบบเศรษฐกิจและการเมือง หากเห็นเป็นความอับโชควาสนาและความฉ้อฉล ตลอดจนความไร้สมรรถนะของชนชั้นนำในวงศ์สกุลของเรากันเองต่างหาก เมื่อเราเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ เรามีของถวายเจ้านายอย่างไม่อั้น ครั้นเรายอบแยบลงไปขอพึ่งพระบารมี ก็ทรงเรียกดอกเบี้ยอย่างแรง หาไม่ก็ปฏิเสธการกู้ยืมไปเลย แต่เรากลับไม่เห็นเป็นการแปลกประหลาดที่ทรงประพฤติปฏิบัติกันเช่นนั้น

แม้เฉลิม บิดาของสุลักษณ์ จะมีเพื่อนเป็นผู้ก่อการบางนาย เช่น ดิเรก ชัยนาม และซิม วีระไวทยะ เป็นต้น แต่บิดาของเขาก็รังเกียจ ‘พวกก่อการแจวเรือจ้าง’ บางคนอาศัยคณะราษฎรเข้าไปได้ดิบได้ดีทางการเมือง บางคนกอบโกยอย่างทุจริตก็มี นอกเหนือไปจากนี้แล้วลูกพี่ลูกน้องของบิดาเขายังถูกกล่าวหาว่าอยู่ในพวกกบฏบวรเดชอีกด้วย เหตุผลเช่นนี้ทำให้สุลักษณ์ในวัยเด็กไม่เห็นค่าของคณะราษฎรแต่ประการใด

ที่สำคัญคือไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของระบอบรัฐธรรมนูญที่ต่างไปจากระบอบเดิม เช่นที่ว่า “ประชาธิปไตยที่ว่าย่อมไม่ใช่พาหะที่จะเกื้อหนุนชนชั้นกลางในเมืองกรุงอย่างพวกเราแต่ประการใด ถึงจะมีงานด้านเทศบาลเกิดขึ้นเป็นของใหม่ เราก็เห็นคนเก่าๆ อันมีชื่อเสียงมาแต่รัชกาลที่ 6 มาเป็นนายกเทศมนตรี และยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นได้ทันใจเรา

สุลักษณ์เติบโตมาในบรรยากาศที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เริ่มใช้อำนาจอย่างเผด็จการรังแกผู้เห็นต่างทางการเมือง และหวนนึกถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันล่มสลายไปแล้วนับแต่เขาปฏิสนธิในครรภ์มารดานั่นเอง

มีเสียงครหานินทากันหนาหูว่า ถ้าไม่มีนายปรีดี พนมยงค์ เสียแล้ว เราคงกินอยู่กันอย่างผาสุกในระบบเดิม ภายใต้การปกครองในระบอบราชาธิปไตย ถึงเจ้านายจะทรงไว้ซึ่งพระเดช ก็ทรงพระคุณ ถึงในหลวงจะอยู่เหนือราษฎร ก็บริสุทธิ์ยุติธรรมอดเสียมิได้ที่จะสงสารเจ้านายและข้าราชการเก่าที่ถูกออกจากราชการ โดนอดเสียมิได้ที่จะหมั่นไส้ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่สมัยใหม่ อันได้แก่พวกคณะราษฎรนั่นเอง

ไม่เพียงแต่ครอบครัวเท่านั้น แม้ในวัดทองนพคุณ ซึ่งสร้างความตื่นรู้ทางปัญญาอย่างสำคัญให้กับเด็กชายสุลักษณ์ ก็ยังทำให้เขาซึมซับความเป็นอนุรักษนิยมยิ่งกว่าสมัยอยู่ที่บ้านเสียอีก เนื่องจากการบวชเณรอยู่กับพระภัทรมุนี (อิ๋น ภัทรมุนี) ผู้เป็นโหรมีชื่อ ทำให้เขาได้พบกับเจ้านายและข้าราชการชั้นสูงในระบอบเก่า จึงไม่แปลกที่เขาจะได้บรรยากาศแห่งศักดินานิยมและอนุรักษนิยมมาชนิดที่หาความดีนิยมชมชอบให้แก่ปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้


ความคิดทางประชาธิปไตย


การไปเรียนที่อังกฤษในชั้นอุดมศึกษาก็มิได้ช่วยให้สุลักษณ์นิยมชมชอบระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา ทั้งมหาวิทยาลัยและเนติบัณฑิตยสภาซึ่งเขาสำเร็จการศึกษามานั้น ล้วนอยู่ในรูปแบบศักดินาราชาธิปไตยยิ่งกว่าที่จะให้เข้าถึงสาระของประชาธิปไตย โดยเฉพาะอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาถึงกับสั่งสอนลูกศิษย์ว่า

ที่อังกฤษยิ่งใหญ่ได้เพราะพวกอภิชนปกครองต่างหาก เมื่ออังกฤษเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นเพียงใด อาณานิคมก็ทรุดเซลงเพียงนั้น ทั้งนี้เพราะอภิสิทธิ์ชน (aristocrats) เท่านั้นที่รู้จักให้ความยุติธรรม เพราะมีศักดิ์ศรีของคนชั้นสูง โดยได้รับการศึกษามาในเรื่องของความชอบธรรม

ภายหลังเมื่อกลับมาทำงานที่เมืองไทยแล้ว สุลักษณ์ก็คบหาสมาคมกับเจ้านายและขุนนางในระบอบเก่า รวมถึงพวกที่เป็นอนุรักษนิยมแทบทั้งสิ้น กว่าที่สุลักษณ์จะคิดได้ ก็โดยประสบการณ์ตรงในชีวิตของตนเอง ดังที่เขาเล่าไว้ว่า

ข้าพเจ้ามีความคิดทางด้านประชาธิปไตยที่พัฒนามาช้า…ประสบการณ์สอนให้ตัวเองมา หลังจากที่ได้ประสบพบเห็นราษฎรตาดำๆ เห็นความยากแค้นของเขา เห็นความสามารถของเขา ยิ่งรู้ซึ้งถึงวัฒนธรรมพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้าน เข้าใจรูปแบบการปกครองของชาวบ้าน โดยโยงไปหาสมัยโบราณ โยงไปหาพุทธปรัชญาว่าด้วยธรรมาธิปไตย และเข้าใจถึงความสำคัญของที่ตัวแก่น จึงเห็นคุณค่าของประชาธิปไตยที่แท้จริงมากขึ้น โดยที่ได้เผชิญกับรสอันร้อนและเผ็ดมากับเผด็จการด้วยตนเอง…ยิ่งเห็นว่าการแก้ปัญหาของบ้านเมืองด้วยการแต่งตั้ง โดยเลือกอภิสิทธิ์ชนขึ้นมาบริหารงานแผ่นดิน โดยเชื่อความสามารถและความบริสุทธิ์ยุติธรรมของบุคคลนั้นเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

เมื่อตระหนักได้ดังนี้แล้ว สุลักษณ์จึงเริ่มเห็นคุณค่าของปรีดีมากขึ้น เช่นที่เขียนไว้ว่า “ท่านเป็นคนแรกที่ปลุกให้ราษฎรตื่นขึ้นด้วยแถลงการณ์ฉบับแรกของคณะราษฎร ที่ประกาศก้องขึ้นในเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน 2475


กรณีสวรรคต ร.8


สุลักษณ์เล่าว่า การที่อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างปรีดี มาเป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2489 นั้น “นี่เป็นครั้งแรกที่นายปรีดีเสียคะแนนนิยมจากคนอย่างเราๆ ที่เข้าใจบทบาทของนายปรีดีในการนำประเทศไทยให้หลุดพ้นจากความเป็นเมืองขึ้น พวกเราเห็นกันว่าท่านขึ้นไปสูงแล้ว ไม่น่าจะลดตนลงมาต่ำ และเมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรี เราก็ไม่เห็นว่า ท่านทำได้ดีกว่าคนอื่น

และเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดสวรรคตอย่างเป็นปริศนาในสมัยที่ปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้ศัตรูทางการเมืองของปรีดีอาศัยโอกาสนี้โจมตีเขาอย่างเต็มที่ สุลักษณ์เขียนเอาไว้ว่า “พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้กรณีสวรรคตเป็นสื่อในการทำลายนายปรีดีโดยตรง

เช่นเดิม แม้ในวัดทองนพคุณเอง ญาติโยมก็โจมตีปรีดีให้พระฟัง ดังประสบการณ์ตรงของสุลักษณ์ว่า “คุณหญิงคุณนายมาใส่ไคล้นายปรีดีว่า จงใจลอบปลงพระชนม์…เมื่อคนใหญ่คนโตพูดกับผู้ทรงศีลเช่นนี้ ข้าพเจ้าเป็นเด็ก ไปได้ยินมา จะไม่เชื่อกระไรได้ โดยที่เขาพวกนี้เป็นญาติของราชองครักษ์ที่ตายไปแล้วเสียด้วย

ครั้นเจริญวัยศึกษาเล่าเรียนมากขึ้น ทั้งยังได้ไปเรียนกฎหมายที่อังกฤษ สุลักษณ์ก็เริ่มคิดได้มากขึ้น เป็นต้นว่า “ข้าพเจ้าหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้เสียแล้วว่า นายปรีดีมีจิตคิดประทุษร้ายองค์พระมหากษัตริย์” แม้กระนั้น ก็ยังปักใจในมิจฉาทิฐิต่อปรีดีเรื่อยมา มีหมุดหมายที่แสดงความเป็นศัตรูอย่างสำคัญ เช่น การเขียนวิจารณ์หนังสือ ‘The Devil’s Discus’ ใน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ เมื่อ พ.ศ.2507 และการเขียนวิจารณ์บทความของปรีดีเรื่อง ‘บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2’ เมื่อ พ.ศ.2515

การวิจารณ์คราวแรกนั้น ทำให้ดิเรก ชัยนาม ผู้ใหญ่ที่สุลักษณ์นับถือ เขียนจดหมายมาทักท้วงให้สติอย่างสุภาพฉันใด การวิจารณ์ครั้งหลัง ก็ทำให้ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน ต้องพูดเตือนสติเขาฉันนั้น ป๋วยพูดกับสุลักษณ์ว่า “สำหรับผม อาจารย์ปรีดีเป็นผู้บริสุทธิ์ในกรณีสวรรคต แต่สำหรับคุณสุลักษณ์จะเชื่ออย่างไรก็ได้ นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณ แม้เราจะเห็นต่างกัน เราก็เป็นเพื่อนกันได้ ที่จริงคุณกับผมยังมีความเห็นต่างกันอีกมาก เป็นแต่เรามักไม่ได้จาระไนข้อแตกต่างของเราสู่กันเท่านั้น

ในสมัยต่อมา เมื่อทั้งป๋วยและสุลักษณ์ต้องลี้ภัยการเมืองภายหลัง 6 ตุลาคม 2519 ไปพำนักในอังกฤษแล้ว ป๋วยเคยชวนสุลักษณ์ไปพบปรีดีที่ปารีสด้วย แต่สุลักษณ์ปฏิเสธ เพราะ “ข้าพเจ้าเป็นคนเจ้าทิฐิ หายอมไปไม่ และลึกๆ ลงไปก็กลัวนายปรีดีไล่ออกจากบ้านด้วย แม้จะมีคนเคยบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าไปหาท่าน ท่านจะดีด้วยอย่างแน่นอน

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้สุลักษณ์เริ่มคิดได้มากขึ้น ดังที่เขาแสดงความรู้สึกออกมาว่า “ถ้าข้าพเจ้าเองไม่เผชิญมากับตัวเอง ที่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ที่หนังสือถูกเผาเป็นเรือนแสน ที่ภรรยาเกือบถูกเอาเข้าคุกตะรางและชื่อเสียงเกียรติคุณต้องมัวหมอง ข้าพเจ้าจะเข้าใจนายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขได้หรือไม่ สงสัยอยู่

ตั้งแต่ พ.ศ.2521 เป็นต้นมา สุลักษณ์เริ่มเปิดใจอ่านเอกสารต่างๆ ของปรีดีมากขึ้น จนอคติที่มีนั้นค่อยๆ ปลาสนาการไป ถึงที่สุดเมื่อปรีดีอายุครบ 80 ปี (พ.ศ.2523) ได้จัดพิมพ์หนังสือ ‘คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต ร.8’ เผยแพร่ หลังสุลักษณ์ได้อ่านเล่มนี้ชนิดรวดเดียวจบ ตนเองก็ยอมศิโรราบรับผิดว่าที่ผ่านมานั้นตนเข้าใจผิดไปแล้ว จึงได้เขียนขอขมาโทษส่งไปหาปรีดีโดยไม่ชักช้า

นอกจากป๋วย อึ๊งภากรณ์แล้ว สุภา ศิริมานนท์ และกรุณา กุศลาสัย ก็เป็นกัลยาณมิตรคนสำคัญที่พยายามเชื่อมให้สุลักษณ์เข้าใจปรีดีอย่างถูกต้อง สุลักษณ์กล่าวถึงบุคคลเหล่านี้ไว้ว่า “ท่านเหล่านี้มีบุญคุณ เพราะท่านไม่เคยยัดเยียดให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนทัศนคติและไม่เคยลบหลู่ดูถูกความคิดความอ่านของข้าพเจ้า บางท่านเพียงพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนมีสติปัญญา แต่บางทีบางอย่างอาจบดบังอยู่ก็ได้ ดังที่เขาเรียกกันว่า เส้นผมบังภูเขา เมื่อเขี่ยผมเสียแล้ว ย่อมเห็นภูเขาได้เอง

ต่อมาในวันที่ 21-22 สิงหาคม 2525 สุลักษณ์มีโอกาสไปพบปรีดีที่บ้านอองโตนี เพื่อปรับความเข้าใจ และสนทนากันถึงเรื่องโครงการ ‘ปรีดี พนมยงค์ กับสังคมไทย’ อีกด้วย น่าเสียดายที่หลังจากนั้นไม่ถึงปี ปรีดีก็ถึงแก่อสัญกรรมบนโต๊ะทำงานในบ้านอองโตนี เพียงไม่กี่วันก่อนมีอายุครบ 84 ปี


ปรีดีกับสุลักษณ์ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2525


จากหน้ามือเป็นหลังมือ


สุลักษณ์สรุปเรื่องการเปลี่ยนทัศนคติต่อปรีดี พนมยงค์ ไว้ว่า “ข้าพเจ้าเอง แม้จะมีทัศนคติเกี่ยวกับบุคคลนั้นๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาล แต่ก็ไม่เคยถึงขนาดเปลี่ยนอย่างขั้นพื้นฐาน ดังกรณีที่เกี่ยวกับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนทัศนคติจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือจากของที่คว่ำเป็นหงาย โดยการเปลี่ยนความเห็นเช่นนี้ใช่ว่าจะทำได้ง่าย

ถึงที่สุดแล้วหนังสือ ‘เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส. ศิวรักษ์’ จึงเป็นเสมือนหนังสือสารภาพบาปที่ ‘ปัญญาชนสยาม’ ผู้นี้เคยกระทำต่อ ‘รัฐบุรุษอาวุโส’ ผู้นั้น ดังที่สุลักษณ์เขียนว่า “เป็นภาระหน้าที่ของข้าพเจ้าในอันที่จะต้องเผยแผ่ข้อเท็จจริง ถึงทัศนคติของตนเองที่มีเกี่ยวกับท่าน ตั้งแต่เริ่มรับอิทธิพลทางด้านลบจนกลายมาเป็นบวก ตลอดจนการแหวกว่ายออกจากกระแสธารแห่งความมืดบอด มาสู่แสงสว่างทางปัญญา ทั้งนี้เพื่อประกอบการพิจารณาของสาธุชน

หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อสุลักษณ์เขี่ยเส้นผมที่บังภูเขาออกไปแล้ว จึงเข้าใจความจริงมากขึ้น และพยายามเผยแพร่เรื่องเหล่านี้โดยใช้เรื่องเล่าของตนเองเป็นบทเรียนนั่งเอง

“บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่า นายปรีดี พนมยงค์ เป็นขุนเขาอันยิ่งใหญ่ ที่แม้หมู่มารเอาเส้นผมและขวากหนามมาปิดกั้น ก็หาทำได้ตลอดไปไม่ ข้าพเจ้าถือเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องสนองคุณท่าน ด้วยการประกาศสัจจะให้แพร่หลายออกไปให้เป็นที่รับทราบกันในวงกว้างให้จงได้”



บรรณานุกรม

ส. ศิวรักษ์. เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส. ศิวรักษ์. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สืบสาส์น, 2564.

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save