พฤติกรรมมนุษย์เรานี่แปลกพิลึกสิ้นดีและเข้าใจได้ยากมาก ไม่เชื่อลองดูตัวอย่างต่อไปนี้
ในปี 1977 คอลลีน สแตน (Colleen Stan) อายุ 20 ปี โบกรถเพื่อที่จะไปหาเพื่อนแถวแคลิฟอร์เนียใต้ ก่อนจะถูกลักพาตัวโดยคู่สามีภรรยา คาเมรอน ฮูเกอร์ และเจนิส พวกเขาบังคับให้เธอต้องซ่อนตัวอยู่ในกล่องไม้ใต้เตียงและโดนทารุณรวมทั้งบังคับข่มขืนใจซ้ำๆ นานถึง 7 ปี
แม้ว่าคอลลีนจะพูดคุยกับเจนิส และยังสามารถออกไปเยี่ยมแม่ของเธอได้ด้วยก็ตาม แต่คอลลีนกลับไม่เคยคิดจะหนี และยังคงยอมโดนขังในกล่องไม้ต่อไป!
ภายหลังที่เจนิสปล่อยตัวคอลลีนเป็นอิสระ เธอขอร้องคอลลีนว่าอย่าเล่าเรื่องที่โดนทำร้ายให้ใครฟัง ซึ่งคอลลีนก็ไม่บอกใครจริงๆ ขณะที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นเจนิสเสียเองที่โทรแจ้งตำรวจให้มาจับคาเมรอน หลังจากที่เธอพยายามทำให้เขากลับเนื้อกลับตัว แต่ก็ไม่สำเร็จ
น่าสนใจว่าอะไรทำให้คอลลีนไม่ต่อสู้ดิ้นรน หนี หรือแจ้งตำรวจ ?
อีกตัวอย่างยิ่งน่างุนงงหนักขึ้นไปอีก
แมรี แมกเอลรอย (Mary McElroy) โดนลักพาตัวจากบ้านโดยชาย 4 คนที่มีอาวุธปืนในปี 1933 ขณะอายุ 25 ปี จากนั้นกลุ่มชายดังกล่าวนำเธอไปกักขังไว้ในฟาร์มแห่งหนึ่ง โดยล่ามโซ่เธอไว้กับกำแพงบ้านและเรียกค่าไถ่ตัวเธอ พ่อของเธอยอมจ่ายค่าไถ่ 30,000 เหรียญตามข้อเรียกร้อง ท้ายที่สุดแมรีก็ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด ซึ่งต่อมาคนร้ายทั้ง 4 คน ก็โดนไล่ตามจับตัวได้ทั้งหมด
เรื่องน่าประหลาดใจคือ นอกจากแมรีจะไม่โกรธคนลักพาตัวเธอแล้ว แมรียังแก้ตัวแทนและไปเยี่ยมพวกเขาในคุกอีกต่างหาก ที่แปลกประหลาดที่สุดคือ ในท้ายที่สุดแมรีตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยทิ้งจดหมายลาตายไว้ว่า
“ทั้ง 4 คนที่ลักพาตัวฉันอาจจะเป็นคนกลุ่มเดียวในโลกที่ไม่มองว่าฉันเป็นคนโง่เง่า ฉันยอมรับคำตัดสินประหารชีวิตแทนพวกเขาแล้ว ดังนั้นกรุณาให้อภัยและให้โอกาสพวกเขาด้วย”
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนถูกลักพาตัวรู้สึกผูกพันกับคนลักพาตัว แม้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ได้มากถึงเพียงนั้น จนทำสิ่งที่คนทั่วไปมองว่าขัดแย้งกับสามัญสำนึกอย่างที่สุด
ยังมีตัวอย่างที่ยกขึ้นมาให้อ่านได้อีกเยอะนะครับ แม้ว่าเอฟบีไอของสหรัฐฯ จะระบุว่า กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องหายาก แต่ก็อาจจะมีมากถึง 5% ของคนถูกลักพาตัวที่แสดงออกถึงความผูกพันอย่างน่าประหลาดใจเช่นนี้
มีชื่อเรียกอาการประหลาดๆ นี้ด้วยนะครับ เรียกว่า ‘สต็อกโฮล์มซินโดรม’ (Stockholm syndrome) โดยที่มาของชื่อมาจากเหตุการณ์การจับตัวประกันในการปล้นธนาคารครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดนในปี 1973 เมื่อโจรปล้นธนาคารชื่อ ยาน-เอริก โอลส์สัน (Jan-Erik Olsson) และเพื่อนได้จับตัวประกัน 4 คนเอาไว้ในธนาคารเครดิตแบ็งเคน (Kreditbanken) ในวันที่ 23 สิงหาคม ปี 1973 เมื่อเหตุการณ์จบลงในอีก 6 วันต่อมา เหยื่อกลับมีพฤติกรรมให้ความร่วมมือกับผู้จับตัวมากกว่าตำรวจ!
บุคคลแรกที่น่าจะนำชื่อเรียกอาการดังกล่าวมาใช้ได้แก่ นักอาชญากรรมวิทยาและนักจิตเวช นิลส์ บีเจรอต (Nils Bejerot) ก่อนที่สื่อมวลชนจะนำชื่อดังกล่าวมาใช้เรียกจนกลายมาเป็นคำฮิตติดหูกันต่อมา
ดร.แฟรงก์ อุชเบิร์ก นักจิตเวชที่ทำงานให้กับเอฟบีไอและสก็อตแลนด์ยาร์ดในช่วงทศวรรษ 1970 ให้ข้อสังเกตไว้ว่าการจะเกิด ‘สต็อกโฮล์มซินโดรม’ ได้นั้น ต้องมีสถานการณ์เรียงลำดับดังนี้
แรกสุด คนเหล่านี้จะต้องพบเจอประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งชวนให้ตระหนกตกใจและเชื่อแน่ว่าพวกเขาจะต้องตายอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ จากนั้นจะต้องผ่านความรู้สึกคล้ายกลับไปเป็นเด็กเล็กๆ ที่ไม่ว่าจะกิน พูด หรือไปห้องน้ำ ก็ต้องขออนุญาตผู้ใหญ่เสียก่อน
ดังนั้น ความเอื้อเฟื้อเล็กๆ น้อยๆ เช่น การหยิบยื่นอาหารหรือน้ำให้ย่อมไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกพื้นฐานที่ทำให้รู้สึกบวกอย่างรุนแรงและขอบคุณต่อผู้จับกุมตัวเอง จนเกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจ ปฏิเสธความจริงที่ว่าคนพวกนี้เป็นคนทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนั้น
แต่กลับรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณที่คนเหล่านี้ยอมไว้ชีวิตพวกเขาแทน
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในการปล้นธนาคารครั้งนั้นคือ ในการโทรศัพท์ต่อรองครั้งหนึ่งระหว่างคนร้ายกับนายกรัฐมนตรีโอลอฟ พาลเม มีตัวประกันรายหนึ่งคือ คริสติน เอห์นมาร์ก (Kristin Ehnmark) ถึงกับเสนอตัวจะไปกับแก๊งคนร้าย หากมีการจัดหารถเพื่อหลบหนีให้ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ
เอห์นมาร์ก เคยให้สัมภาษณ์ไว้คราวหนึ่งว่า เธอรู้สึก ‘ผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง’ ที่นายกฯ เอาแต่ใช้ชีวิตของพวกเธอเป็นตัวต่อรอง เธอเองเชื่อใจคนในแก๊งดังกล่าวและไม่ได้สิ้นหวังแต่อย่างใด พวกทางการต่างหากที่ไม่ได้ทำอะไรให้กับพวกเธอที่เป็นตัวประกัน 4 คนเลย ขณะที่พวกปล้นธนาคารดีกับพวกเธอมาก และเธอกลัวมากว่าพวกตำรวจจะบุกจู่โจมและทำให้พวกเธอตายหมด
อันที่จริงมีการสัมภาษณ์อีกหลายครั้งที่ทำให้รับรู้กันว่า ตัวประกันต่างรู้สึกว่าตนเองเป็นหนี้ชีวิตเหล่าโจรปล้นธนาคารด้วยซ้ำไป
สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่เพียงแต่ผู้ถูกจับจะรู้สึกเปลี่ยนไปเมื่อเกิดสต็อกโฮล์มซินโดรม แต่พวกที่จับตัวประกันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกไปด้วยเช่นกัน โอลส์สันตั้งข้อสังเกตว่า ในตอนแรกที่เริ่มจับตัวประกัน คนร้ายสามารถฆ่าตัวประกัน ‘ได้ง่ายๆ’ แต่เขาค่อยๆ เปลี่ยนความรู้สึกไปเมื่อเวลาเปลี่ยนไปและทำให้ลงมือยากขึ้น
ประเด็นหลังนี้สำคัญ จนถึงกับระบุไว้ในบทความชิ้นหนึ่งของวารสารของเอฟบีไอว่า ลักษณะเช่นนี้มีประโยชน์กับผู้เจรจาต่อรองที่จะใช้ช่วยชีวิตตัวประกันได้
แม้นิยามของสต็อกโฮล์มซินโดรมจะยังคลุมเครือไม่ชัดเจน และเข้าใจไม่ตรงกันอยู่บ้าง แต่มีความพยายามจะสรุปองค์ประกอบสำคัญไว้ว่าต้องมีส่วนประกอบ 4 แบบคือ [1]
ข้อแรก ตัวประกันต้องเกิดความรู้สึกดีๆ หรือความรู้สึกด้านบวกกับพวกที่จับตัวเองเป็นตัวประกัน
ข้อต่อมา ต้องไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ อยู่แต่เดิมระหว่างตัวประกันกับผู้จับ
ข้อสาม ฝ่ายตัวประกันต้องมีการแสดงออกในแบบปฏิเสธให้ความร่วมมือกับทางตำรวจหรือหน่วยงานรัฐอื่นๆ แต่ประเด็นนี้มีข้อยกเว้นคือ กรณีที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐกลายมาเป็นคนร้ายเสียเอง
ข้อสุดท้าย พวกตัวประกันต้องเชื่อในมนุษยธรรมของพวกจับตัวประกัน และหยุดมองพวกจับตัวประกันว่าเป็นภัยคุกคาม พร้อมทั้งเริ่มโอนอ่อนหรือหันไปมีมุมมองคล้ายกับพวกที่จับตัวเองเป็นตัวประกัน
สำหรับตัวประกัน นอกจากจะรู้สึกดีกับพวกจับตัวประกันและรู้สึกแย่กับตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มากมาย เช่น ในแง่ของความจำจะเกิดความสับสน ความจำผิดเพี้ยน เกิดภาพลวงฝังในหัว และอาจมีภาพเหตุการณ์ปรากฏกลับมาให้เห็นเรื่อยๆ ราวกับฝันร้าย
ในทางอารมณ์ความรู้สึก อาจจะรู้สึกกลัว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โกรธแค้น ซึมเศร้า รู้สึกผิด และเกิดอาการป่วยหลังเหตุการณ์กระเทือนใจร้ายแรงที่เรียกว่า ‘พีทีเอสดี’ (Post-Traumatic Stress Syndrome) ขณะที่ในทางสังคม อาจจะรู้สึกกระวนกระวายใจ แปลกแยก รำคาญหรือเคืองใจ หรือไม่ก็หวาดระแวงคนอื่น
ในทางร่างกาย หากป่วยอะไรอยู่ก็อาจจะหนักขึ้น มีการกิน นอน หรือความต้องการออกนอกสถานที่ที่ผิดเพี้ยนไปจากที่เคยทำหรือเคยเป็น
ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่เห็นดีเห็นงามกับการใช้กำลังเข้าควบคุมประเทศ แล้วทำให้ประเทศถดถอยลงในทุกทางเป็นเวลานานหลายๆ ปีนี่ จะถือว่ามีอาการแบบ ‘สต็อกโฮล์มซินโดรม’ ได้ด้วยหรือไม่
เพราะดูปัจจัยและอาการหลายอย่างในระดับปัจเจกบุคคลแล้ว… ก็เข้าเค้าอยู่ไม่น้อย!
↑1 | Sundaram CS (2013). “Stockholm Syndrome”. Salem Press Encyclopedia – via Research Starters |
---|