ผมสนุกสนานกับการได้อ่านบทความ “ย้อนรอย ‘คาร์ล บ็อค’ ลอบย้าย ‘พระพุทธรูปเมืองฝาง’ ไปยุโรป” โดยอ.เพ็ญสุภา สุขตะ ซึ่งทำให้ได้ทราบเกร็ดใหม่ๆ และเห็นแง่มุมซึ่งเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่กว้างขวางยิ่งขึ้นในทางวิพากษ์วิจารณ์
ทั้งนี้ด้วยความทรงจำของผมเกี่ยวกับนักธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ผู้นี้ มีเพียงว่าเขาได้บันทึกช่วงเวลาที่เขาเดินทางในสยาม งานของเขาถูกนำมาใช้โดยทั้งนักศึกษาและนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องไทย คือเรื่อง Temples and Elephants: The Narrative of a Journey of Exploration Through Upper Siam and Lao (1884) เขาจดบันทึกสิ่งที่เขาเห็นซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้อยู่ในกองจดหมายเหตุแห่งชาติ เป็นแง่มุมประวัติศาสตร์สังคม วัฒนธรรม จากสายตาคนนอก
แต่จากบทความ (ซึ่งอาจจะมีใครโต้แย้งก็ตามแต่หลักฐานเถิด) ดูเหมือนว่ามีสิ่งที่บ็อคไม่อยากจดบันทึกอยู่ด้วยแยะทีเดียว และเป็นเรื่องที่รัฐบาลนอร์เวย์ในปัจจุบันควรจะต้องตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนเรื่องนี้ ไหนๆ ก็ตั้งตัวเป็น ‘ประเทศคนดี’ แล้ว
ผมเคยเขียนถึงบทบาทของนักนิเวศปรัชญาชายนอร์เวย์ ที่เดินทางไปเทือกเขาของประเทศเนปาล ช่วงทศวรรษที่ 1970 ไปพบกับชาวเศรปา (sherpa) จึงสร้างภาพความแปลก (exoticise) วาดภาพแทนชีวิตของชาวเศรปาในอุดมคติขึ้น เพื่อกลับมาตอบสนองอุดมคติชนชั้นกลางของการรักสิ่งแวดล้อมในประเทศ พร้อมๆ กับชีวิตอันยากจนและความตายของแรงงานลูกหาบชาวเศรปาในโลกความจริง
ผมเคยเขียนถึงสวีเดนที่ประกาศตนเป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้งของโลก แต่กลับส่งกองกำลังเข้าร่วมในสงครามในอัฟกานิสถาน
ผมเคยเขียนถึงเดนมาร์ค ที่สร้างความทรงจำว่าตนเองเป็นเจ้าอาณานิคมแบบ ‘ยกเว้น’ ไม่ได้โหดเหี้ยมรุนแรง ไม่ได้ทำการรบสมรภูมิใหญ่แบบมหาอำนาจอยู่โรปอื่นๆ เป็นเจ้าอาณานิคมที่สร้างความทรงจำสาธารณะว่าตนเองมีความกรุณา ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับภาพลักษณ์ของประเทศในช่วงหลังสงครามเป็นต้นมาในฐานะเป็นผู้ผลักดันกระบวนการสันติภาพ
ดังนั้นดูเหมือนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ที่ความเข้าใจและความทรงจำว่าด้วยโลกซีกใต้จะถูกปรับแต่งเพื่อให้เข้ากับรสนิยมของชาวสแกนดิเนเวียผู้มีอำนาจบางกลุ่ม (ย้ำ: กระบวนการนี้เป็นทั้งสองทาง มีการสร้างภาพอุดมคติของสแกนดิเนเวียสำหรับชนชั้นกลางและสูงในที่อื่นด้วย แต่เป็นเรื่องที่ต้องอภิปรายแยกไปอีกต่างหาก) ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ที่แรงงานในโลกอาณานิคมจะถูกขูดรีดเพื่อความก้าวหน้าของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในยุโรป ซึ่งในกรณีของบ็อคก็เป็นตัวอย่างหนึ่งท่ามกลางอีกหลายกรณี
ในยุคที่มีการล้มรูปปั้นของ ซีซิล โรดส์ ในแอฟริกาใต้ เช่นยุคของเรานี้ เวลาได้เรียกร้องให้ประเทศอาณานิคมทั้งหลายทบทวนประวัติศาสตร์ของตนเอง อย่างเช่นในอาฟริกา มีหลายกรณีการเรียกร้องให้คืนโบราณวัตถุที่เจ้าอาณานิคมยึดเอาไป มีตัวอย่างของประเทศเบนินที่ประธานาธิบดีเรียกร้องการคืนโบราณวัตถุจากฝรั่งเศส แต่ได้รับการปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ประธานาธิปดีฝรั่งเศสประกาศหนักหนาว่าต้องคืนโบราณวัตถุกลับสู่แหล่งที่มา ไม่ใช่รวมอยู่ที่พิพิธภัณฑ์หรือการสะสมของเอกชน ที่ต่างหล่อเลี้ยงขบวนการโจรกรรมวัตถุโบราณอย่างคึกคัก
รัฐ-ชาติ ผู้สร้างสถาบันการจดจำช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
กระนั้น สิ่งที่น่าสนใจกว้างออกไปคือ คนเช่นบ็อคนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นสถาบันของการก่อตัวขึ้นของรัฐ-ชาตินอร์เวย์ ในการสถาปนาความทรงจำสาธารณะ อาชีพของเขา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกงสุลในเมืองท่าใหญ่ๆ การเป็นนักสำรวจที่ได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทใหญ่ๆ การอยู่ในแวดวงขุนนางและปัญญาชน ทำให้เขาก้าวเข้าไปเป็นสมาชิกของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งคริสเตียนเนีย (ต่อมาคือราชบัณฑิตยสภานอร์เวย์ – Det Norske Videnskaps-Akademi) และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นอัศวิน เขาเป็นส่วนสำคัญในความทรงจำของความเป็นชาติ ในฐานะของนักธรรมชาติวิทยาผู้สำรวจตะวันออกไกล
ในช่วงเวลาที่เขากำลังเดินทางอยู่ในสยามนั้น นอร์เวย์ยังไม่ได้แยกตัวออกเป็นประเทศอิสระ แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดการก่อตัวขึ้นของกลุ่มทางปัญญาที่มุ่งไปสู่การเป็นรัฐ-ชาติอิสระของตนเอง
เมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในสงครามนโปเลียน ขั้วอำนาจก็เกิดการเปลี่ยนแปลง นอร์เวย์ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเดนมาร์คอยู่ก่อนหน้าเข้าร่วมกับฝ่ายฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสแพ้สงคราม อำนาจของกษัตริย์เดนมาร์คจึงได้รับผลกระทบอย่างมาก สบโอกาสของผู้ปกครองนอร์เวย์ที่จะสลัดอำนาจของเดนมาร์คเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นรัฐชาติอิสระ หนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญคือการร่างรัฐธรรมนูญเอดสโวล (Eidsvoll) ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการประกาศเอกราชกลายๆ ดังนั้นเมื่อสวีเดนอ้างเอานอร์เวย์ไปจากเดนมาร์ค จึงเป็นการปกครองที่เป็นสหภาพกันเสียมากกว่าครั้งยังอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ค
ต้องไม่ลืมว่าสถาบัน ‘แห่งชาติ’ ต่างๆ ก็เกิดขึ้นในเวลาดังกล่าวนี้ คือกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นไป และหนึ่งในสถาบันที่ว่านี้ ก็คือ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งคริสเตียนเนียในปี 1857 นั่นเอง ซึ่งรวบรวมเอาขุนนาง ปัญญาชน พ่อค้าคหบดีกระฎุมพีนอร์เวย์เข้ามาเป็นสมาชิก
นี่คือการสร้างสถาบันให้เกิดความทรงจำแห่งชาตินอร์เวย์ร่วมกัน หลากหลายปัจจัยประสานกันไปสู่การแยกจากสวีเดนในปี 1905
สงครามโลกครั้งที่สองและความทรงจำของสงคราม
แต่ความท้าทายของการสร้างความทรงจำแห่งชาติใหม่อย่างนอร์เวย์ ไม่มีอะไรจะมากเท่ากับในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อกองทัพนาซีเข้าบุก ในวันที่ 9 เมษายน 1940 มีการพยายามต่อต้านจากกองทัพนอร์เวย์บางจุด กษัตริย์และคณะรัฐมนตรีหนีทัน หากแต่มีนักการเมืองผู้หนึ่งคือ วิดกึน ควิสลิง (Vidkun Quisling) พยายามทำรัฐประหารและเปลี่ยนนอร์เวย์ให้อยู่ภายใต้ระบอบนาซี เขาได้รับการแต่งตั้งจากเยอรมนีให้เป็นนายกรัฐมนตรีของนอร์เวย์ในปี 1942 ตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นปกครองท่ามกลางแรงต้านระบอบเขาจากคนนอร์เวย์
หลังสงคราม ความทรงจำของเหตุการณ์ดังกล่าวจึงปรากฏขึ้นในสาธารณะของนอร์เวย์ในเรื่องเล่าแบบตำนาน เดวิดและโกไลแอธ (David and Goliath) เป็นราวกับตำนานกำเนิดชาตินอร์เวย์สมัยใหม่ ระหว่างประชาชนชาวนอร์เวย์ที่เรียกตนเองว่า jøssinger กับระบอบของควิสลิงและผู้สนับสนุนคือ quislinger ซึ่งเรื่องเล่าของเหตุการณ์นี้ปรากฏออกเป็นทั้งหนังสือ การจัดงานรำลึก วรรณกรรม กวี เพลง พิพิธภัณฑ์ การจัดแสดง แผนที่ สำมะโนประชากร ฯลฯ และได้รับการสนับสนุนส่งเสริมโดยรัฐบาลนอร์เวย์หลังสงครามเองด้วย ทั้งนี้เพราะว่า ‘เรื่องเล่าของชาตินอร์เวย์ที่หันเหออกไปจากเรื่องของการต่อต้านระบอบนาซีนั้นเป็นภัยอย่างยิ่ง’
การจดจำสถาบัน
ที่ขาดไม่ได้ ยังต้องมีเรื่องเล่าของวีรกรรมของกษัตริย์นอร์เวย์เรื่องเล่าว่าด้วยความกล้าหาญของพระองค์ที่จะไม่ยอมสละบัลลังก์และไม่ยอมสั่งการให้กองทัพนอร์เวย์ยอมแพ้นั้นสำคัญอย่างยิ่ง
ตัวอย่างที่สำคัญสองตัวอย่างที่สะท้อนเรื่องเล่านี้ คือภาพถ่ายของกษัตริย์ฮาคอนที่ 7 พร้อมด้วยมกุฏราชกุมารโอลาฟกับต้นเบิร์ชพระราชทาน (Kongebjørka) ซึ่งเป็นภาพของความทรงจำแห่งชาติ เป็นภาพที่ถ่ายช่วงที่กองทัพกำลังทิ้งระเบิดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 1940 ภาพนี้ตกทอดอยู่ในความทรงจำ (ของอย่างน้อยคนรุ่นเกิดทันยุคสงคราม)
อีกตัวอย่างคือภาพยนตร์ Kongens nei (2016) ที่สร้างจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งกวาดทั้งรายได้และรางวัลจากสาธารณชนนอร์เวย์ เป็นเรื่องเล่าที่ตอกย้ำความทรงจำแห่งชาตินี้
เพราะรัฐ-ชาติย่อมต้องมีความทรงจำร่วมบางประการ อะไรที่หันเหไปจากนั้นย่อมเป็นภัยอย่างยิ่ง
อ้างอิง
- เพ็ญสุภา สุขตะ, “ย้อนรอย ‘คาร์ล บ็อค’ ลอบย้าย ‘พระพุทธรูปเมืองฝาง’ ไปยุโรป”, มติชนสุดสัปดาห์ 11-17 ก.พ. 2565, 66
- Philippe Baqué, “Europe stripped Africa of its artefacts; Sending the art home” Le Monde Diplomatique Aug. 2020
- Henning Siverts, “Diplomat, Naturforsker og Oppdagelsesreisende
Carl Bock”, Norsk Biografisk Leksikon, [https://nbl.snl.no/Carl_Bock], 13. februar 2009. - Clemens Maier, Making Memories: The Politics of Remembrance in Postwar Norway and Denmark. PhD Thesis, European University Institute, 2007.