fbpx
สเปนยุค COVID-19 และทางออกของวิกฤต กับ เนื้อแพร เล็กเฟื่องฟู และ ชานนทร์ เตชะสุนทรวัฒน์

สเปนยุค COVID-19 และทางออกของวิกฤต กับ เนื้อแพร เล็กเฟื่องฟู และ ชานนทร์ เตชะสุนทรวัฒน์

ปกป้อง จันวิทย์ สัมภาษณ์

ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล เรียบเรียง

 

 

เมื่อสเปนต้องเผชิญความท้ายทางวิกฤต COVID-19 อย่างหนัก นอกไปจากจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องจนมียอดผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับสองของโลก แซงหน้าอิตาลีไปแล้ว ไวรัส COVID-19 ยังสั่นสะเทือนสเปนทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตผู้คน

ท่ามกลางวิกฤตที่ท้าทาย สเปนจะหาทางออกได้อย่างไร?

101 ชวน อ.เนื้อแพร เล็กเฟื่องฟู อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันทำงานเป็นรองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์อยู่ที่ Universidad Carlos III de Madrid และ ชานนทร์ เตชะสุนทรวัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันศึกษาต่อปริญญาเอกอยู่ที่ Universidad Autònoma de Barcelona สำรวจสถานการณ์การระบาดในสเปนและทางออกจากวิกฤต รวมทั้งพูดคุยถึงงานวิจัยล่าสุดเรื่องความเหลื่อมล้ำจากปิดเมือง ในรายการ 101 One-On-One Ep.120: “สเปนในสมรภูมิ COVID-19” (ออกอากาศเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563)

 

เหตุที่ระบาดหนัก

 

ชานนทร์: ตามที่สำนักข่าวอธิบายทั่วไป สาเหตุที่สเปนมียอดติดเชื้อเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมาจากสัดส่วนประชากรสูงอายุเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรปเหมือนอย่างอิตาลี รวมถึงปัจจัยเชิงวัฒนธรรม เช่น คนยุโรปใต้เวลาทักทายจะใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ มีไลฟ์สไตล์ที่เฮฮา สนุกสนาน แต่เหตุผลเหล่านี้เป็นเพียงคำอธิบายโดยทั่วไป ยังไม่มีงานวิจัยรองรับ

นอกจากนั้นยังมีคำอธิบายอื่นๆ อย่างกลุ่มคนที่ต่อว่ารัฐบาลก็จะบอกว่ารัฐบาลสั่งปิดเมืองช้าเกินไปทั้งๆ ที่เห็นตัวอย่างจากอิตาลีมาแล้ว หรือโทษสาธารณสุขที่ไม่ห้ามปรามไม่ให้คนออกไปชุมนุม เช่น งานวันสตรีสากลเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา

เนื้อแพร: อีกสาเหตุหนึ่งคือความผิดพลาดของรัฐบาลที่สั่งชุดตรวจที่ไม่ได้มาตรฐานมากกว่า 600,000 ชุด ทำให้รัฐบาลตรวจคนติดเชื้อได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ คนที่อาจจะติดเชื้อก็ไม่มีโอกาสตรวจ

ชานนทร์: ล่าสุดเพิ่มมีงานวิจัยสั้นๆ ที่ออกมาอธิบายถึงความเป็นไปได้ว่า ประเทศที่ยอดผู้เสียชีวิตสูงอาจเกิดจากมีโครงสร้างครอบครัวที่ประชากรวัยทำงานอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในสัดส่วนที่สูง ซึ่งสเปนกับอิตาลีก็อาจจะเข้าข่ายกรณีนี้เช่นกัน

 

เกาะติดชีวิตยุค COVID-19 ในสเปน

 

เนื้อแพร: พอประกาศปิดเมือง ผู้คนก็เริ่มวิตกกังวลเป็นธรรมดา แต่สเปนได้เห็นตัวอย่างจากอิตาลีที่ประกาศปิดเมืองล่วงหน้าไปก่อนแล้วว่าจะต้องตกอยู่ในสภาพประมาณไหน เช่นคนเริ่มกักตุนสินค้า อย่างไรก็ตามเมื่อปิดเมืองไปแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ ภาวะกักตุนสินค้าไม่ได้รุนแรงมาก เพราะรัฐบาลยังอนุญาตให้ร้านขายอาหารสด หรือซูเปอร์มาร์เก็ตเปิดทำการได้

มาตรการปิดเมืองในสเปนนั้นนับไว้ว่าเข้มข้นมาก ปกติคือต้องอยู่บ้าน ห้ามออกไปข้างนอกยกเว้นว่ามีเหตุจำเป็นอย่างเช่น ออกไปซื้ออาหารหรือว่าพาสุนัขออกไปเดินเล่น

ก่อนหน้านี้รัฐบาลผ่อนปรนมาตรการลง ยอมอนุญาตให้คนออกไปทำงานข้างนอกได้บ้าง แต่พอปล่อยคนออกไปได้สักสองสัปดาห์ สถานการณ์ก็เริ่มกลับมาแย่ลง รัฐบาลจึงกลับไปใช้มาตรการเข้มข้นอีกครั้ง

ชานนทร์: ที่สเปนจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจตราตามย่านต่างๆ ถ้าหากมีใครที่มีท่าทีเหมือนว่าออกมาเดินเล่นก็จะเข้าไปพูดคุย แต่ที่บาร์เซโลนาตำรวจไม่ได้ตรวจเข้มงวดมากเมื่อเทียบกับตำรวจในรัฐอื่นๆ ที่แจกใบสั่งให้คนที่ออกมาเดินเล่น

ส่วนมหาวิทยาลัย หลังจากรัฐบาลสั่งปิดเมืองแล้วก็ย้ายการเรียนการสอนไปออนไลน์หมด งานสัมมนาก็ย้ายไปจัดออนไลน์ อย่างแต่เดิมที่เชิญอาจารย์จากอเมริกามาบรรยายที่บาร์เซโลนาก็ยกเลิกเที่ยวบินแล้วย้ายไปจัดสัมมนาออนไลน์แทน

เนื้อแพร: ในช่วงระยะแรกที่มีข่าว COVID-19 เริ่มระบาดที่จีน คนต่างชาติชาวเอเชียจะกังวลมากกว่าคนสเปน แต่พอคนเอเชียเริ่มสวมหน้ากากอนามัย คนสเปนก็เริ่มกลัวว่าคนหน้าตาเอเชียจะเป็นพาหะนำโรค เพราะสเปนไม่มีวัฒนธรรมใส่หน้ากากป้องกันโรค ธุรกิจร้านของชำของคนสเปนเชื้อสายจีนที่อยู่ตามเมืองใหญ่ๆ กลายเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ต้องเจอกับการเหยียดเชื้อชาติ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มแรกเช่นกันที่รู้ว่าไวรัสอันตรายมากจากญาติที่อยู่ในจีน ธุรกิจต่างๆ ของคนเชื้อสายจีน ทั้งร้านอาหาร ร้านทำผม ร้านทำเล็บจึงปิดล่วงหน้าก่อนที่รัฐบาลจะประกาศปิดเมือง

ในหมู่เพื่อนต่างชาติ โดยเฉพาะคนเอเชียกันเองก็คุยกันว่า ไวรัสที่ทำให้คนจีนยอมปิดธุรกิจ เสียรายได้ แปลว่าต้องร้ายแรงมาก

ชานนทร์: ถึงแม้ว่าคนสเปนจะขึ้นชื่อว่ามีวิถีชีวิตที่รักการสังสรรค์ แต่เมื่อเกิดสถานการณ์การระบาด คนสเปนเองก็ยอมรับและไม่ได้ต่อต้านมาตรการ social distancing เท่าไร ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับคนชาติอื่นๆ คนสเปนจะดูอึดอัดกับมาตรการปิดเมืองที่ออกไปไหนไม่ได้เป็นพิเศษ หลายคนก็หาวิธีการที่จะจัดการกับความเครียดของตัวเอง

เนื้อแพร: ส่วนเรื่องระบบสาธารณสุข โดยทั่วไปก่อนสเปนจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 2008 ไม่ว่าจะเป็นคนสเปนหรือคนต่างชาติที่มาเรียนหรือทำงานจะได้รับสิทธิรับบริการสาธารณสุขฟรีเมื่อลงทะเบียน แต่หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ ระบบสวัสดิการสุขภาพก็ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่

ชานนทร์: ที่สเปน รัฐบาลแคว้นมีอำนาจอิสระในการจัดการเรื่องสาธารณสุขในระดับหนึ่ง อย่างรัฐบาลแคว้นของบาร์เซโลนาก็รับมือด้วยการสร้างแอปพลิเคชั่นเป็นหน้าด่านตรวจคัดกรองเพื่อที่คนไม่ต้องไปออกันที่โรงพยาบาล แอปพลิเคชั่นจะส่งแบบสอบถามเช็คอาการเรื่อยๆ ทุกวัน หากว่าอาการรุนแรงมาก ก็จะมีคำแนะนำให้เรียกรถพยาบาลมารับไปโรงพยาบาล

 

 ‘บาซูก้าการคลัง’ ของสเปน?

 

เนื้อแพร: กรณีสเปน การหยิบมาตรการกระตุ้นทางการคลังระดับ ‘บาซูก้า’ ออกมาใช้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากสเปนมีระดับหนี้สาธารณะที่สูงมากอยู่แล้วจากวิกฤตหนี้สาธารณะ อย่างประเทศไทยที่สามารถใช้บาซูก้าการคลังได้เพราะมีระดับหนี้สาธารณะค่อนข้างต่ำ

สเปนอยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือของสหภาพยุโรป นโยบายการคลังก็จะมีทั้งมิติที่อยู่ในกรอบสหภาพยุโรปและภายในประเทศ สิ่งที่สเปนทำได้คือขอเงินกู้จากสหภาพยุโรปที่เรียกว่า EU bond ซึ่งรัฐบาลสเปนและรัฐบาลอิตาลีพยายามจะร่วมมือกันผลักดันให้ประเทศยุโรปเหนือเห็นด้วย ภาพการต่อรองจะคล้ายๆ กับตอนวิกฤตหนี้สาธารณะ

ตอนนี้มีการคุยกันว่า หากปล่อย EU bond ไม่ได้ จะปล่อยให้สเปนและอิตาลีออกจากยูโรโซนเลยจะดีกว่าหรือไม่ แต่ก็มีคนวิเคราะห์ต่อไปอีกว่าต่อให้ปล่อยสเปนกับอิตาลีออกจากยูโรโซน ทั้งสองประเทศก็ยังต้องใช้หนี้ด้วยเงินยูโรอยู่ดี ประเทศก็จะล้มแน่นอน

ส่วนนโยบายของรัฐบาลกลาง รัฐบาลก็พยายามจะช่วยเหลือธุรกิจ โดยอนุญาตให้ธุรกิจประกาศขอ layoff พนักงานชั่วคราว พนักงานก็จะได้รับเงินชดเชยช่วงว่างงาน และเมื่อจบวิกฤตก็ยังประกันอีกว่าพนักงานจะได้กลับมาทำงาน นอกจากนี้ก็มีมาตรการช่วงเหลือให้ธุรกิจอยู่ต่อไปได้ด้วย เช่น เลื่อนการจ่ายภาษี เลื่อนจ่ายชำระเงินกู้

ชานนทร์: ส่วนระดับรัฐบาลแคว้น รัฐบาลแคว้นคาตาลุนญาเองก็มีแพ็คเกจการคลังออกมากระตุ้นเศรษฐกิจประมาณหนึ่ง

 

หาทางออก หนทางรอดจากวิกฤต COVID-19

 

เนื้อแพร: ข้อถกเถียงว่าสเปนจะออกแบบกลยุทธ์เพื่อออกจากวิกฤต (Exit strategy) สร้างสมดุลระหว่างการควบคุมโรคและการฟื้นเศรษฐกิจอย่างไร จะคล้ายกับที่ทุกประเทศเถียงกัน คือเมื่อปิดเมืองนานเป็นเดือน ก็เกิดภาวะที่ต้องยอมแลกระหว่างสุขภาพกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ

โครงสร้างตลาดแรงงานสเปนมีภาวะว่างงานปกติอยู่ที่ 3% และมีแรงงานอีก 3,000,000 คนที่มาลงทะเบียนว่างงานเพิ่มเติมเมื่อเกิดวิกฤต รวมทั้งมีแรงงานนอกระบบจำนวนหนึ่ง ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าจะใช้งบประมาณอุ้มคนอย่างไร เพราะสเปนอยู่ในยูโรโซน ซึ่งมี ‘กฎทอง’ (golden rule)[1] ขีดเพดานหนี้สาธารณะไว้ หากทุ่มงบประมาณช่วยเหลือคนมากเกินไป ก็จะขัดกับสนธิสัญญาของสหภาพยุโรป

เมื่อวันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2020 รัฐบาลกลางสเปนเริ่มผ่อนปรนมาตรการปิดเมืองโดยมีมติ ครม. ให้คนทำงานไม่สำคัญ (non-essential workers) เริ่มออกมาทำงาน เพราะรัฐบาลต้องการปลดล็อกสถานการณ์ที่อยู่ในภาวะต้องเลือกระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจ หากปิดเมืองนานจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างหนัก

ก่อนประกาศ กลุ่มคนที่รัฐบาลอนุญาตให้ออกมาทำงานคือกลุ่มคนงานจำเป็น (essential workers) อย่างเช่นบุคลากรสายสุขภาพและแรงงานที่ผลิตอาหาร (ที่ไม่ใช่ร้านอาหาร) แต่หลังจากมีมติ ครม. รัฐบาลก็อนุญาตให้คนที่ทำงานเกี่ยวกับก่อสร้าง และโรงงานเพื่อเสริมกำลังการผลิต ส่วนสายการศึกษาหรือร้านค้าทั่วไป รัฐบาลก็บอกไว้ชัดเจนว่ายังต้องปิดต่อไปอีกระยะหนึ่ง

ชานนทร์: แต่ก็มีประเด็นเหมือนกันว่ารัฐบาลแคว้นไม่เห็นด้วยกับมติของรัฐบาลกลาง อย่างเช่นที่คาตาลุนญาเองก็ออกมาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ แต่รัฐบาลแคว้นก็ไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งห้ามไม่ให้กฎหมายจากรัฐบาลกลางมีผลบังคับใช้ รัฐบาลแคว้นจึงใช้วิธีอื่นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการผ่อนปรน เช่น ตั้งจุดตรวจอุณหภูมิ แจกหน้ากากตามสถานีขนส่งสาธารณะ

 

การเมืองสเปนยุค COVID-19

 

ชานนทร์: ช่วงนี้สถานการณ์การเมืองในสเปนเห็นแนวโน้มที่ทุกฝ่ายพยายามจะเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน เห็นได้จากการเมืองระดับชาติว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอนุรักษนิยมหรือฝ่ายแรงงานต่างก็เห็นด้วยกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างๆ

ส่วนการเมืองระดับภูมิภาค ยังไม่เห็นข่าวว่าฝ่ายที่ต้องการแยกตัวเป็นอิสระในแคว้นคาตาลุนญาออกมาเคลื่อนไหว และตอนนี้ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าวิกฤตนี้จะทำให้แคว้นคาตาลุนญาจะยอมรับรัฐบาลกลางมากขึ้นหรือต่อต้านมากกว่าเดิม เพราะยังไม่เห็นผลของนโยบายรัฐบาลกลาง

สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นกับรัฐบาลปัจจุบันซึ่งนำโดยพรรคสังคมนิยมแรงงานคือ พรรคอาจจะได้รับความนิยมน้อยลง เพราะถูกทุกฝ่ายโจมตีอย่างหนักหน่วง ฝ่ายอนุรักษนิยมก็โจมตีว่าพรรคสังคมนิยมแรงงานจัดการวิกฤตได้ไม่เร็วพอ ฝ่ายรัฐบาลแคว้นต่างๆ ก็ขัดแย้งกับรัฐบาลกลางเรื่องนโยบายผ่อนปรนการปิดเมือง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ยังคงไม่มีความตึงเครียดทางการเมืองปะทุออกมา ยังต้องรอดูผลของนโยบายผ่อนปรนการปิดเมืองว่าจะทำให้เกิดการระบาดระลอกสองหรือไม่เช่นกัน

 

ปิดเมือง เปิดมิติความเหลื่อมล้ำ

 

ล่าสุดอาจารย์เนื้อแพรเพิ่งเขียนงานวิจัยเรื่อง ผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองสู้ COVID-19 ต่อตลาดแรงงานในกรณีประเทศไทย ใช้ข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรมาวิเคราะห์

เนื้อแพร: สิ่งที่งานวิจัยพยายามจะทำก็คือ นำรายชื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศห้ามทำในแต่ละจังหวัดมาคิดว่าหากรัฐบาลประกาศห้ามเช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้นในภาพรวมทั้งประเทศ จากนั้นจึงนำข้อมูลเหล่านี้มาประกบกับตัวเลขลักษณะการจ้างงานของไทย ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่าคนทำงานประเภทไหนบ้าง

ผลที่ออกมาคือ มีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 5 ล้านคนในกรณีที่ปิดเมืองอย่างผ่อนปรน (ไม่ได้ห้ามออกจากบ้านแต่ต้องป้องกันโรค และมีบางกิจกรรมที่รัฐสั่งห้าม) แต่คำว่าได้รับผลกระทบในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าตกงานเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของงานด้วยว่าทำงานที่บ้านได้หรือไม่ ในจำนวน 5 ล้านคนนี้ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับผลกระทบหนัก จะมีอยู่ 2 ล้านคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง รัฐควรดูแลโดยตรง

ในกรณีนี้ สัดส่วนรายได้ของกลุ่มคนที่ไม่สามารถออกไปทำงานได้จะเสียไปประมาณ 0.1% ของ GDP หากปิดเมือง 1 เดือน

แต่ถ้าหากปิดเมืองในไทยโดยสมบูรณ์แบบอย่างในสเปนและอิตาลี (ห้ามออกนอกบ้านยกเว้นกรณีจำเป็น) คาดว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักจะพุ่งสูงถึง 7 ล้านคน และอีก 21 ล้านคนจะได้รับผลข้างเคียง แต่จะกระทบมากหรือน้อยก็ยังขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมการทำงานด้วย

กลุ่มคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มคนที่ทำอาชีพที่ไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ เช่น ช่างตัดผม ช่างทำเล็บ พนักงานโรงงานที่ต้องทำงานกับเครื่องจักร หากประกาศปิดเมือง รายได้ของกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นศูนย์ทันที ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบเช่นกันคือคนทำงานพาร์ทไทม์ เพราะงานอยู่ในกิจการที่รัฐบาลสั่งปิด

ในมิติการศึกษา แต่จะเห็นแนวโน้มว่าการศึกษาและรายได้สูงจะสัมพันธ์โดยตรงกับงานที่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยีซึ่งเป็นงานที่นั่งทำอยู่บ้านได้ในภาวะที่โดนกักตัว ส่วนกลุ่มคนที่มีการศึกษาและรายได้ระดับล่างจะได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มค่าจ้างขั้นต่ำ (6,000-9,000 บาทต่อเดือน) เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เสี่ยงตกงานและเสี่ยงติดเชื้อ ซึ่งมีจำนวน 20% ของคนที่ได้รับผลกระทบ คิดเป็นคนประมาณเกือบ 1 ล้านคน

หากเชื้อยังระบาดอยู่ คนกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่เดือดร้อนนานที่สุด เพราะเป็นกลุ่มแรกที่หยุดงานและกลุ่มสุดท้ายที่จะได้กลับไปทำงาน

จากการปิดเมือง เราจะเห็นมิติของความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ขณะที่คนที่ทำงานอยู่บ้านได้ หรือทำงานที่ไหนก็ได้คือคนที่มีรายได้สูงอยู่แล้ว แต่คนที่ไม่สามารถทำงานอยู่บ้านได้ ต้องออกไปทำงานนอกบ้านคือกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำ ดังนั้นเราต้องคำนึงอยู่เสมอว่าการปิดเมืองมีราคาที่ต้องจ่าย

มองในมิติอื่นๆ ภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองมากที่สุดคือภาคบริการและงานบันเทิง ซึ่งภาคส่วนเหล่านี้มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในมิติเรื่องเพศ จะเห็นว่าผู้หญิงจะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ชาย แต่สัดส่วนต่างกันไม่มาก ส่วนมิติเรื่องอายุ พบว่ากลุ่มคนอายุประมาณ 26-35 จะได้รับผลกระทบสูงเพราะอยู่ในช่วงเก็บเงินเพื่อตั้งตัว

ตอนนี้รัฐบาลไทยเดินมาถูกทางหนึ่งประเด็นคือ เริ่มคิดที่จะช่วยเหลือคนที่ไม่มีงานทำ เพียงแต่ว่าการแจกเงินจำนวนเดียวกันโดยที่ไม่พิจารณาว่าคนกลุ่มไหนควรจะได้รับความช่วยเหลือก่อน อาจทำให้การจัดสรรไม่เป็นธรรมและได้ผลไม่เต็มที่

หากประเทศไทยเข้าสู่ระยะที่เชื้อระบาดรุนแรง เราคิดว่างานวิจัยที่ทำมาน่าจะช่วยในการมองหา exit strategy ซึ่งน่าจะปรับใช้ได้กับทุกๆ ประเทศทั่วโลก เพราะปัญหาที่เผชิญอยู่ค่อนข้างคล้ายกันอย่างที่กล่าวมา

 

วงการเศรษฐศาสตร์โลกกับโจทย์ COVID-19

 

ชานนทร์: งานวิจัยเกี่ยวกับ COVID-19 ที่ออกมาในช่วง 1-2 เดือนนี้นับว่ามีความสำคัญต่อผู้ดำเนินนโยบายมาก หลายรัฐบาลเวลาออกนโยบายจัดการวิกฤต เราไม่สามารถเปิดตำราเรียนได้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพราะเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในสาขาเศรษฐศาสตร์ เว็บไซต์อย่าง National Bureau of Economic Research (NBER) จะมีงานประเภทแบบจำลองทางทฤษฎีที่พยายามจะว่าผลจากวิกฤตครั้งนี้ต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจอื่นที่โลกเคยเผชิญมาอย่างไร วิกฤตการเงิน 2008-2009 สาเหตุเกิดจากตลาดเงินตลาดหุ้นพังทลายก่อน แต่วิกฤต COVID-19 เกิดจากนโยบายปิดเมืองที่พังทลายฝั่งการผลิต ห้ามให้คนดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สุดท้าย ผลย้อนกลับมาทางฝั่งอุปสงค์ของผู้บริโภค เพราะคนหยุดทำงาน รายได้น้อยลง ไม่มีกำลังซื้อ ผลส่งไปส่งกลับระหว่างอุปทานและอุปสงค์คือสาเหตุที่ทำให้วิกฤตครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนานและรุนแรง

นอกจากนี้ กลุ่มอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Universitat Autònoma de Barcelona ที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์มหภาคก็พยายามจะออกข้อเสนอเฉพาะทางสั้นๆ ว่า ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่แท้จริงจากปัญหา selection bias ทำให้หลายประเทศอาจจัดการผิดพลาด ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องตรวจหาเชื้ออย่างกว้างขวาง ควรจะมีแบบสอบถามเกี่ยวกับอาชีพ โครงสร้างครอบครัว และกิจกรรมนอกเวลางาน แนบถามคนที่ถูกตรวจหาเชื้อ พอมีข้อมูลเหล่านี้ในปริมาณมากขึ้น ก็จะทำให้เราเห็นภาพว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบไหนที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรค หรือจะผ่อนปรนตรงไหนได้บ้าง และออกนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ถอดบทเรียนจากโลกเศรษฐศาสตร์

 

เนื้อแพร: จากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ เราสามารถใช้การอธิบายเชิงสถิติแบบ Difference-In-Differences analysis วิเคราะห์ความต่างนโยบายสาธารณสุขของแต่ละประเทศ ว่าจะให้ผลต่างกันอย่างไร เราสามารถดูว่าแนวโน้มของอัตราการติดเชื้อเมื่อเทียบกันนั้นจะเป็นอย่างไร แนวโน้มเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรต่อไป เราสามารถเรียนรู้ความสำเร็จและความผิดพลาดของนโยบายจากตรงนี้ได้หมด

ตอนนี้โลกกำลังกลายเป็นห้องทดลอง คือทุกประเทศตอนนี้ต่างคนต่างทำ เผชิญปัญหาคนละเวลาและมิติ แต่ถ้าหากเราข้อมูลเหล่านี้มาช่วยกันวิเคราะห์และศึกษา เมื่อเผชิญวิกฤตครั้งหน้าจะได้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ สิ่งที่รัฐบาลไทยควรทำคือต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดลดความทุกข์ของคนให้ได้มากที่สุด

เราต้องตั้งคำถามว่านโยบายลดความทุกข์ของคนได้จริงไหม หากยิงบาซูก้าไปแล้วผลของบาซูก้าไหลรินลงไปสู่คนส่วนล่างจริงก็อาจจะช่วยได้ แต่การยิงบาซูก้าไปที่ธุรกิจใหญ่ๆ แล้วหวังให้ไหลรินลงไปสู่คนระดับล่าง มันเกิดขึ้นได้จริงมากน้อยแค่ไหน เรามีหลักฐานจากการยิงบาซูก้าครั้งก่อนๆ ว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ดังนั้นต้องยิงบาซูก้าให้ตรงกลุ่มที่เสี่ยงตกงานและเสี่ยงติดเชื้อที่สุด เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด

ชานนทร์: ส่วนในมิติเศรษฐศาสตร์การเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตย เราจะเห็นว่าแต่ละประเทศจะออกนโยบายจัดการ COVID-19 ที่แตกต่างกันตามพื้นฐาน อย่างเช่นจะเห็นว่าเกาหลีใต้ตรวจผู้ติดเชื้อได้เยอะเพราะมีพื้นฐานโครงสร้างทางวิทยาศาสตร์สูง ซึ่งสุดท้ายก็จะวนกลับไปที่ว่าศักยภาพของรัฐว่ารัฐลงทุนกับโครงสร้างในการจัดการวิกฤตขนาดไหน

ประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงไปทั่วโลกว่า ระบบการปกครองแบบอำนาจนิยมหรือประชาธิปไตยแก้วิกฤตได้ดีกว่ากัน สุดท้ายแล้วคำถามอยู่ที่เรื่องศักยภาพของรัฐมากกว่า แต่ศักยภาพของรัฐก็สัมพันธ์กันกับระบอบการปกครองเช่นเดียวกัน มีงานวิจัยที่เสนอว่า หากอาศัยอยู่ในประเทศที่อำนาจของผู้นำไม่เสถียร ผู้นำจะรู้สึกว่าการลงทุนไปกับศักยภาพรัฐอาจจะไม่คุ้ม เพราะมองว่าสุดท้ายแล้วก็จะเสียอำนาจไป จึงไปลงทุนกับการทำให้นั่งเก้าอี้กุมอำนาจต่อไปได้นานๆ แทน

 

เชิงอรรถ

[1] กฎทอง (golden rule) คือเงื่อนไขตามสนธิสัญญาว่าด้วยความมีเสถียรภาพความร่วมมือและธรรมาภิบาลด้านเศรษฐกิจและการเงินของสหภาพยุโรป (Treaty on Stability, Coordination and Governance in the Economic and Monetary Union: TSCG) ที่ออกมาเมื่อปี 2012 หลังวิกฤตหนี้สาธารณะ โดยกำหนดให้งบประมาณต้องขาดดุลเชิงโครงสร้าง 0.5% ของ GDP หรือต่ำกว่าสำหรับประเทศที่มีหนี้สาธารณะเกิน 60% ของ GDP

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save