อุทิศ เหมะมูล เรื่อง
อยู่ดีๆ ก็อยากเขียนโปสต์การ์ดถึงคุณครับ
อาจเพราะเป็นช่วงรอยต่อระหว่างปีเก่าข้ามปีใหม่ อาจเพราะอีกไม่กี่วันจะถึงวันคล้ายวันเกิดของผม อาจเพราะมีเวลานั่งอยู่บนรถบัสเดินทางข้ามเมืองหลายชั่วโมงในทุกๆ วัน ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวอยู่ต่างประเทศช่วงข้ามปี
การมีวันเกิดช่วงต้นปีคงไม่ใช่เหตุผลเท่าไรนักหรอก แต่ผมก็เป็นคนชอบลืมตาข้ามช่วงเวลา ระหว่างช่วงเย็นย่ำสนธยาสู่มืดค่ำ ระหว่างรุ่งรางจนอรุณเรืองรอง ตรงเส้นตัดพรมแดนระหว่างฟากฟ้ากับแผ่นดินหรือกับท้องทะเล เส้นพรมแดนที่แสงกาลลับลงหรือผุดเผยขึ้น – ไม่อาจข้าม
ใครๆ ก็คงชอบช่วงเวลางดงามซึ่งทรงพลังและส่งผลกับหัวใจมากมายเช่นนั้น – ช่วงเวลางดงามที่แสนสั้น – แต่ไม่จบสิ้นสะบั้นลง เพราะว่าจะมีพรุ่งนี้ จะมีอีกกาล ให้เกิดขึ้นใหม่ อีกครั้ง
นั่งรถบัสจากมิลานช่วงบ่ายสู่เวนิสตอนเย็นย่ำ มองสีของฟ้าค่อยๆ ผันเปลี่ยน หมู่เมฆเปลี่ยนรูปทรง เบื้องหลังฉากตระหง่านของเทือกเขาแอลป์ ยะเยือกขาวคลุมยอดเขา เขาทั้งเทือกจับแดดเป็นสีน้ำเงินอัลตรามารีน สีซึ่งจะเห็นได้จากผิวทะเลลึก แผ่นดินลาดชัน เนินและภูเขาน้อยในระยะใกล้ตา ที่โล่งเรียบและบนเนินเป็นทั้งไร่องุ่นและปลูกต้นมะกอก ชุมชนปลูกสร้างบ้านเรือนเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน มีโบสถ์หนึ่งหลังในแต่ละชุมชน สีเหลืองโอ๊กและแดงหมากเป็นสีของอาคารและโรงเรือน ถนนหลายช่วงลอดอุโมงค์เจาะผ่านภูเขา
ตลอดหลายวันที่ผมนั่งรถผ่านไปตามเมืองต่างๆ จากฟลอเรนซ์ไปปิซ่าและจากปิซ่าไปโรม ภูมิทัศน์ข้างทางก็เริ่มมีความแตกต่าง ที่แคว้นทัสกานีซึ่งได้ชื่อว่ามีภูมิทัศน์อันงดงาม และรสชาติไวน์กลมกล่อมไม่ฝาดเข้มและอ่อนบางจนเกินไปที่มาจากดินแดนนี้ว่าไวน์ Chianti อันมีชื่อเสียง ไร่องุ่นที่พบเห็นได้ระหว่างทางเป็นองุ่นแดงสายพันธุ์ Sangiovese ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักของการทำไวน์ Chianti
ภูมิทัศน์แถบนี้มีทั้งกสิกรรมและปศุสัตว์ และรวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม สิ่งปลูกสร้างและบ้านเรือนแยกกันไม่เกาะกลุ่ม ต่างมีที่ดินเป็นของตัวเอง ปลูกบ้านหลังใหญ่บนเนิน มีต้นไม้ใหญ่ประเภทสนล้อมรอบต่างกำแพง ดูสงบสบาย เป็นเอกเทศและมีการงานของตน ดูมีฐานะ
เหล่านี้คือภาพระหว่างทางที่ผมเก็บมาฝาก อยากเขียนโปสต์การ์ดถึงคุณ
แน่นอน จุดเริ่มต้นและจุดหมายก็สำคัญ ไม่ว่าจะมหาวิหารดูโอโมในมิลานหรือความครึกครื้นพลุกพล่านด้วยผู้คนและสีสันตระการของกลุ่มอาคารบ้านเรือนในเวนิส จะหอเอนเมืองปิซ่าหรือมหานครร่ำรวยศิลปะวิทยาการอย่างฟลอเรนซ์ ที่ซึ่งผู้คนเบียดเสียดไปเป็นประจักษ์พยานของความอัศจรรย์แห่งเมืองและสิ่งปลูกสร้าง วิถีและวัฒนธรรม อารยธรรมและประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกตั้งใจมา มุ่งหมายมา จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ไหลลงรถบัสเพื่อชักภาพตนเองกับสถานที่ วิ่งขึ้นรถบัสแล้วใช้เวลาจนกว่าจะไปถึงจุดหมายถัดไปนั่งคัดเลือก ปรับและแต่งรูป ส่วนใหญ่เป็นรูปของตัวเอง
ไม่มีคุณอยู่ระหว่างจุดหนึ่งกับอีกจุดหนึ่ง จุดเริ่มต้นและจุดหมาย เหตุและผล ผมไม่เคยเห็นคุณ และสัมผัสถึงคุณ
คุณคงเคยถ่ายรูปคู่กับจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง ใบหน้าคุณลอยเด่นอยู่ข้างหน้า ยิ้มแช่มชื่น ดวงตาเป็นประกาย กับท่วงท่าเฉพาะตัวที่คุณจะคิดสรรได้ และฉากหลังซึ่งเป็นสถานที่ จัตุรัส อาคาร รูปปั้น และมุมว่างๆ ปราศจากผู้คนคลาคล่ำ (เอาออกไปจากภาพถ่ายของคุณ) ภาพเบื้องหลังนั้นจะมีคุณคนเดียวหรือคุณกับคนชิดใกล้อยู่เบื้องหน้า คนที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดหมายของคุณ
เราพบกันระหว่างทาง คุณกับผม ระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดหมาย
ผมเป็นผู้ชายพเนจรที่ใจร่ำร้องหาบ้าน แต่ไม่ยอมลงเอย ไม่เคยทำตัวให้เหมาะสมจะเป็นจุดหมายปลายทางของใคร ชอบเดินดุ่มไประหว่างจุดเริ่มต้นและจุดหมาย จนหลายครั้งระหว่างทางก็กลายเป็นความหมาย กลายเป็นหยาดหยดรสหวานอันล้ำค่า
ผมกลายเป็นมนุษย์พรรค์นั้น ไม่เคยซื้อของฝากให้ใครเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่อยากปรากฏตัวในภาพถ่าย ไม่มีหลักประกันทางสุขภาพ และความมั่นคงที่เก็บออมไว้ใช้ที่ปลายทางชีวิต ผมกิน ดื่ม สูดอากาศ ผมเห็น ใช้มือสัมผัส และร่างกายก็อาจป่วยไข้เพราะอากาศเปลี่ยน ได้รับพิษอ่อนๆ เข้าสู่ชีวิต ระหว่างการเดินทาง พิษอ่อนๆ ที่มนุษย์เราจะจำได้เป็นอย่างแรกเมื่อนึกถึงสถานที่หนึ่ง คนคนหนึ่ง ในความทรงจำ
ระหว่างนั่งเรือจากเมืองเนเปิลข้ามไปยังเกาะคาปรี หันกลับไปมองแผ่นดิน แสงเช้าอุ่นเมืองไปครึ่งหนึ่ง ภูเขาวิซุเวียสยังคงหลับสนิท ลมแรง น้ำทะเลสีเข้ม ท้องเรือกระแทกคลื่นส่งเสียงหนักทึบลุกลนจนทำท้องไส้ผมปั่นป่วน จนเมาเรืออ่อนๆ ผมอิงเอนพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นจุดหมายของผม – คุณเป็น – ผมเคยบอกคุณ เคยนอนร้องไห้บนตักคุณและได้รับการปลุกปลอบ เคยขวัญเสียห่วงหวงว่าจะเสียคุณ ทุกข์ใจว่าผมจะไม่ใช่จุดหมายของคุณ กอดรัดคุณแน่นจนสภาพจิตใจผมเองทรุดโทรม เสียหลัก และขาดความหนักแน่น
ผมจะเป็นคลั่งบ้า กลับเป็นวัยรุ่น เต็มไปด้วยพายุและแรงอารมณ์ (Sturm und Drang) ในเรือนร่างวัยกลางคน พลุ่งพล่านจนเหนื่อยไม่เป็นอันทำอะไร ร้อนเร่าเพราะปรารถนา ไม่อาจเย็นลง
เกาะคาปรีหนาวเหน็บด้วยลมกระโชก ลมโกรกไปตามซอกอาคาร รุนผลักให้คนแปลกถิ่นพลัดหลงไปในวงกตของตรอกแคบๆ หลายแยกหลายทางเลือก ผมถอยหลังกลับมายังจัตุรัสหน้าหอนาฬิกา เดินไปหน้าคาเฟ่และให้พนักงานแนะนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ท้องถิ่นที่ช่วยให้เลือดในกายอุ่นร้อน พนักงานรินกรัปปาให้หนึ่งช็อต เครื่องดื่มสีใสกลั่นจากองุ่น (ส่วนที่เป็นเปลือก เนื้อ เมล็ด และขั้วก้าน หลังการบีบน้ำองุ่นนำไปหมักไวน์แล้ว ส่วนที่เหลือนั้นเอามาทำกรัปปา) แอลกอฮอล์ราว 35% ความอุ่นแล่นเป็นกระแสในเลือดเนื้อ ผมคิดถึงคุณอีกแล้ว
คุณอยู่ในตัวผม นับตั้งแต่ผมหักใจไม่เป็นจุดหมายของใคร
ผมไม่เคยเห็นคุณในจุดสำคัญ ในเมืองที่พลุกพล่าน และเป็นจุดหมายปักหมุด มีเพียงเสียงเรียกงันเงียบในใจผม ว่าอยากให้คุณมาอยู่ด้วย
คุณอยู่ในระหว่างทางมีแต่ระหว่างทางที่คุณค่อยๆ ปรากฏ ในท้องทุ่ง ไร่องุ่น ความขาวของยอดเขา เข้มลึกของน้ำทะเล หมอกควันคลุมหมู่บ้านในหุบเขา น้ำนมของแพะที่จะกลายเป็นชีส องุ่นที่กลายเป็นไวน์และกรัปปา ต้นไม้ยืนโดดเด่นในแสงตะวันรอน และสีแดงส้มอาบเปลือกหนาของลำต้นและพุ่มใบสนในแสงอรุณสุก เพียงสามนาทีก่อนสีจะเปลี่ยนเป็นเหลืองทอง จากนั้นเหลืองมะนาว แล้วแสงนั้นก็จรจาก บางทีสามนาทีก็สำคัญ ผมเห็นคุณในแสงแดงสุกนั้น สามนาทีอ่อนหวานสุกสว่างนั้น
ในภาพโปสต์การ์ดที่ผมอยากส่งให้คุณ ผมอยู่ข้างหลังครับ
ระหว่างการเดินทางจากเหนือลงใต้ในประเทศอิตาลี มีเพลงหนึ่งแล่นบรรเลงอยู่ในหัวเสมอเมื่อมองทิวทัศน์ข้างทาง เพลงนั้นคือ ‘…Passing by’ ของศิลปินชาวเยอรมัน Ulrich Schnauss จากอัลบั้มเปิดตัวครั้งแรกของเขาในชื่อ Far Away Trains Passing By ในปี 2001 เป็นเพลงบรรเลงความยาว 6:35 นาที เหมาะแก่การฟังระหว่างเดินทาง ให้ความรู้สึกเฝ้ารอการคลี่เผยและเปลี่ยนผ่านด้วยความสงบและจดจ่อ ดอกตูมกำลังจะคลี่บาน อาทิตย์กำลังจะเผยแสงแรก คุณกำลังจะก้าวผ่านชีวิตไปอีกก้าว ฯลฯ โดยปราศจากเนื้อร้อง ทว่าภาคดนตรีและท่วงทำนองก็เต็มอิ่มและเป็นเนื้อร้องโดยตัวมันเองอยู่แล้ว เนื้อร้องที่ปลุกขึ้นมาจากประสบการณ์ของคนฟังแต่ละคน นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่งดงามของดนตรีบรรเลง