อุทิศ เหมะมูล เรื่อง
“Every time I think of you
I feel shot right through with a bolt of blue…*”
เคยไหม พอคิดถึงใครบางคน เหมือนแสงแลบแปลบเสียดใจจนโหวงเศร้า
แต่หลายทีอาการโหวงเศร้าก็เป็นแบบนี้ คืออยู่ดีๆ ก็ถูกแสงฟ้าผ่าลงมากลางใจ ก่อนจะนึกถึงใครบางคนทีหลัง เคยมั้ย
เคยมั้ยนะ เริ่มต้นจากความไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ต่างฝ่ายต่างพยายามกันจะตายจนมันเป็นไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และสุดท้ายก็วางคืนสู่ความเป็นไปไม่ได้อีกครั้ง อานุภาพของการอยากเอาชนะ พิชิต และปราบพยศ เรื่องอันตรายนั้นท้าทายและสนุก สุขกับการเผชิญวิบากร่วมกัน จนวันหนึ่งก็ถูกแสงแปลบแล่นเสียบเหมือนกัน เจ็บและเหนื่อย และพอ
นั่งดูรายการ 90 Day Fiancé ด้วยกัน เราเห็นอานุภาพของหลงรักทำคนคนหนึ่งเชื่อมั่นในตน ตามสังหรณ์สัญญาณ มีตรรกะของตนที่ไม่ว่าพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนพ้องรอบตัวจะมองจะทักจะร้องว่าไร้เหตุผลอย่างไรก็รั้งฉุดไว้ไม่ได้ ตาสว่างหรือตาบอด ดื้อรั้นหรือโง่งม กล้าหาญหรือมุทะลุ เราในฐานะคนดูก็ได้แต่ตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ อย่างดีก็ติดตามต่อไปและกล่าวว่า “เรื่องอย่างนี้มันต้องรู้ด้วยตัวเอง ใครไปบอกก็ไม่เชื่อหรอก”
แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็น ไม่ใช่เพียงว่าความรักทรงอานุภาพ แต่รักนั้นผลักอานุภาพ เพราะว่าเรามีรักเราถึงได้รู้ว่าตัวเองมีศักยภาพมากเท่าไรที่จะฟันฝ่า ข้ามไปจากจุดที่เราคิดว่ารู้ตัวเองอยู่แล้ว รักทำเช่นนั้นกับเราทุกคน การผลักอานุภาพในตน แลบแปลบสว่างไสวเหมือนแสงสายฟ้า เป็นอย่างหนึ่งที่คุณจะรักตนเอง เข้าใจตนเองด้วย ว่าคุณเคยมีอานุภาพเช่นนั้นที่จะรัก
เคยโง่งม ตาบอด ทำตัวเองพังลงครั้งหนึ่ง (หรือหลายครั้ง) ไม่ได้แลกมาเพื่อจะตาสว่าง เฉลียวฉลาด และประกอบจิตใจฟื้นคืนจนเย็นชาวางเฉย ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ความเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันเลย และไม่ว่าใครต่อใครจะมองคุณเช่นนั้น คุณจะรักอีก ไม่ใช่เพราะโง่อีกแล้วหรือฉลาดขึ้น แต่คุณรักอานุภาพของมัน ที่ผลักดันศักยภาพของคุณ ที่จะรัก ที่จะเกลียด ที่จะหวัง ที่จะสิ้นหวัง ที่จะถือไว้หรือที่จะปล่อยวางประมาณเท่าไร ที่จะดำเนินไปหรือชะงักหยุด คุณจะรักอีกและเรียนรู้จังหวะ เต้นรำไปกับมัน
นั่งดูรายการ 90 Day Fiancé ข้างๆ กัน ไม่ตัดสินการตัดสินใจของพวกเขาและพวกเธอ เราเคยผ่านการแต่งงาน และตอนนี้เป็นเพื่อนกัน เลิกร้างจากสถานะหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเลิกรักกัน
I feel fine and I feel good
I’m feeling like I never should
Whenever I get this way
I just don’t know what to say
Why can’t we be ourselves like we were yesterday?
วารวันเก่าก่อนแลบแปลบมา เสียดแปลบสดใหม่อย่างกับวันนี้ของขณะนี้ วันนี้! วันนี้! ของวารวันฟาดเปรี้ยงซ้ำๆ ใครบางคนปรากฏโฉมหน้า
เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เราจะยังรักกันอยู่ไหม
ปลดออกจากการครอบครอง เป็นเจ้าของกันและกัน และคาดหวังที่รัดแน่น ถ้าไม่รักเราจะเกลียดกันไหม?
“เคยเกลียดใครจริงๆ บ้างมั้ย” คุณเคยถาม
ผมคิดนาน พยายามหาความเกลียดที่เคยมีในชีวิต คิดถึงความหมายของคำว่าเกลียด เกลียดชัง เหม็นขี้หน้า เกลียดเพราะคาดหวังกันเกินไป เสียใจที่ต้องยื่นคำขาดกันแบบนี้ หรือไม่รู้ว่าทำไมเราไม่คุยกัน แล้วพอนานวัน ห่างพอจะไม่ใส่ใจ จากรักกันมากเป็นเพื่อนรักมาก อยู่ๆ พลิกเป็นเฉยชา ไม่ใส่ใจ เป็นเกลียด เป็นหน้ามือ เป็นหลังมือ พลิกมือกลับไปกลับมาเล่นๆ แบบนั้น “ไม่นะ” ผมตอบ
“เอาจริงๆ ไม่เคยเกลียดใครเลยนะในชีวิตนี้ ไม่เคยเกลียดใครจริงๆ หรอก ต่อให้พูดใส่หน้าคนที่รักที่สุดว่าผมเกลียดคุณ คิดว่าแค่เสียใจน่ะ แล้วมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเกลียด เพราะเราต้องเข้มแข็งพอจะเกลียด ความเกลียดชนิดที่ยืนได้จากการไม่รักของคนที่เรารัก”
เหมือนกับที่รู้สึกกับคุณตอนนี้
ชีวิตยืนยาว ความรักที่มีต่อกันจะเท่าลมหายใจของเรามั้ย ถ้าผมคิดถึงคุณ คุณจะทำของตก เดินสะดุด เหมือนอย่างที่ผมถูกโหวงเศร้าของแสงฟ้าแลบแปลบเสียดหัวใจ นั่นใช่คุณคิดถึงผมหรือเปล่า?
คุณรับรู้ได้ไหมว่าผมคะนึงหาผ่านอวัจนภาษา คุณเคยบอกว่าเรื่องความรักของคนสองคนนั้นเป็นเรื่องเรียบง่าย ตรงไปตรงมาจะตาย ผมพยักหน้าเห็นพ้องและไม่ ภาษารักนั้นไม่ตรงไปตรงมา ลึกเลยความตรงไปตรงมา เหมือนที่เราเคยอ่านกันออก ก่อนที่เราจะเอ่ยปากพูดคุยกันด้วยซ้ำ ถ้าเราอ่านกันไม่ออก เราคงไม่มีใจให้กันนับแต่วันนั้น
ดีลีทเม็มโมรี ไล่ลบรูปภาพ กำจัดสิ่งของที่เคยให้กัน ตัดขาดการสื่อสาร บล็อกไว้ให้แน่นหนา เพื่อว่าเราจะมีชีวิตเหมือนเป็นโลกคู่ขนาน คุณว่าผมใจแคบอย่างนั้นใช่ไหม ไม่มีน้ำใจอย่างคนเคยรู้จัก พบกันไม่ทักทายกลายเป็นแปลกหน้าต่อกัน ผมไม่ยอมเป็น ‘คนเคยรู้จัก’ ของคุณหรอก ผมยังรักคุณทั้งวารนี้ วันนี้ และขณะนี้
และเฝ้ารอให้คุณเอ่ยคำ… คุณเท่านั้น คำที่ผมไม่อาจเอ่ย
Every time I see you falling
I get down on my knees and pray
I’m waiting for that final moment
You say the words that I can’t say
ความรักความสัมพันธ์นี่ช่างพิสดารพันลึก คุณเฝ้ารอบางคนเพื่อกลับไปเป็นเหมือนคืนวันเก่าก่อน เธอเฝ้ารอคุณให้กลับมาเป็นคนเดิมเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เธอไม่รอคุณแต่คุณก็ยังดึงรั้งเธอไว้ไม่ปล่อยไป เธอรอคุณเริ่มใหม่ด้วยเข้าใจว่าคุณไม่อาจทิ้งวางทุกสิ่งไว้ข้างหลัง และคุณก็เป็นจำพวกพะรุงพะรังบ้าหอบฟาง ทำท่าอยู่ในโลกคู่ขนานแล้วโอเคกับมัน ไม่เคยทิ้งขว้าง กำจัด ตัด ลบ เลิกอะไรจริงๆ ได้หรอก ไม่เคยเกลียดใครจริงๆ ได้เลยด้วยซ้ำ
ตั้งเสาขึ้นเป็นสามเส้า กระเด้งกระดอนล้มลุกคลุกคลานอยู่ในนั้น ผมมองว่าตัวเองกำลังเต้นรำ
*จากเนื้อเพลง Bizarre Love Triangle ของวง New Order วงดนตรีร็อค – ป๊อป –ซินธ์ จากเกาะอังกฤษ โด่งดังมีชื่อเสียงในยุค 1980 ด้วยการนำเสียงสังเคราะห์จากซินธิไซเซอร์มาทำให้เกิดเสียงและจังหวะจะโคนที่หนักแน่นและสนุกสนาน ซึ่งเป็นวิวัฒนาการทางด้านดนตรีช่วงก่อนหน้าที่เน้นความเป็นร็อค วง New Order คือสมาชิกวง Joy Division เก่า เมื่อเอียน เคอร์ติส นักร้องนำ กระทำอัตวินิบาตกรรม จึงยุติวง Joy Division แล้วฟอร์มวงใหม่เป็น New Oder
เพลง Bizarre Love Triangle นับเป็นชัยชนะส่วนตัวในด้านการเขียนคำร้องของ Bernard Sumner นักร้องนำและมือกีตาร์ของวง เพราะก่อนหน้านี้ สมัยยังเป็น Joy Division คำร้องส่วนใหญ่เขียนโดยเอียน เคอร์ติส และได้รับคำชื่นชมในแง่เนื้อหาเพลงที่ลึกซึ้ง แฝงนัยราวบทกวี เมื่อเอียน เคอร์ติสจากไป ผลักให้เบอร์นาร์ด ซัมเนอร์ต้องแสดงศักยภาพมากขึ้น เพลง Bizarre Love Triangle กล่าวถึงรักสามเส้า ที่เนื้อคำร้องไม่บอกเล่าเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา เป็นการครุ่นคำนึงของบุคคลหนึ่งที่กล่าวถึงชีวิตตรงนี้กับอีกคน ชีวิตแต่หนหลัง และชีวิตที่เฝ้ารออีกคน พร้อมกับท่อนฮุกของเพลงที่ล้อการสวดภาวนา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการสวดแสดงความปรารถนาดี แต่นัยความหมายของท่อนฮุกเพลงนี้คือ วันใดเธอเจ็บและพลาดพลั้งในชีวิต ฉันภาวนาให้เธอกลับมา ฉันภาวนาให้เธอเจ็บและพลาดพลั้ง เพื่อให้เธอกลับมาหาฉัน