fbpx

‘ยิ่งกดปราบ ยิ่งบีบให้คนสู้’ : ถอดรหัสม็อบดินแดง กับ สมบัติ บุญงามอนงค์

ควันจากแก๊สน้ำตาที่คลุ้งแยกดินแดงอันเกิดจากการสลายการชุมนุมนั้น นอกจากทำให้วิสัยทัศน์ไม่ชัดเจนแล้ว ยังสะท้อนภาวะความเข้าใจของสังคมที่มีต่อการชุมนุมแยกดินแดง

เกิดคำถามจำนวนมากต่อรูปแบบการประท้วงของกลุ่มผู้ชุมนุมอิสระที่มักรวมตัวกันยามเย็นเพื่อไปให้ถึงบ้านพักพล.อ.ประยุทธ์ เกิดคำถามจำนวนมากต่อการรับมือด้วยความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน

ควันไฟ พลุไฟ ประทัดยักษ์ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ลูกแก้ว รถจีโน่ หลากอาวุธที่ถูกหยิบใช้ในการปะทะกันยิ่งทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยในทั้งสองฝ่าย

101 ชวน สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด นักกิจกรรม คุยเพื่อทำความเข้าใจม็อบดินแดง ผู้ชุมนุมกลุ่มนี้มาจากไหน สังคมควรมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร เหตุใดการโต้ตอบของเจ้าหน้าที่จึงออกมาในระดับนี้ และปรากฏการณ์นี้จะนำขบวนการเคลื่อนไหวไปสู่สิ่งใด

:: ทำความเข้าใจม็อบดินแดงผ่านแว่น บก.ลายจุด ::

การจะเข้าใจม็อบดินแดง เราจะมองแค่วันนี้ไม่ได้ แต่ต้องมองย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อมีม็อบราษฎรปีที่แล้ว จะเห็นว่าคนกลุ่มหลักที่ออกมาขับเคลื่อนการต่อสู้เป็นคนหนุ่มสาว ตั้งแต่วัยมหาวิทยาลัยไปถึงวัยมัธยม เราเห็นอินเนอร์ของพวกเขายามจับไมค์ปราศรัยนั้นพลุ่งพล่านมาก อารมณ์มาเต็ม ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากหลายเหตุผล เช่น การบ้านการเมือง สภาพแวดล้อมที่หล่อหลอม ความบีบคั้นของสังคมที่พุ่งไปที่เด็ก หรือ กฎระเบียบที่กดทับภายในสถานศึกษา แต่ทั้งหมดล้วนสะท้อนสภาพแวดล้อมที่เขากำลังเผชิญอยู่ ในการปราศรัยแต่ละครั้งเราจึงเห็นความแรงถูกถ่ายทอดออกมา

สำหรับม็อบดินแดง ผมก็เห็นความแรงและเห็นวัยของเขา จริงๆ แล้วม็อบสองกลุ่มนี้วัยเท่ากัน เพียงแต่ถ้าให้เยาวชนในม็อบดินแดงจับไมค์ เขาอาจจะพูดไม่ออก เพราะถนัดจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์มากกว่า เขาเป็นเยาวชนอีกแบบ แต่ผมมั่นใจว่าทั้งสองกลุ่มมีฐานข้างในที่พลุ่งพล่านเหมือนกัน แต่ทั้งคู่เลือกการแสดงออกกันคนละแบบ

เคยมีคนถามผู้ชุมนุมม็อบดินแดงว่าอะไรทำให้ออกมาได้ทุกวัน เขาโชว์รอยแผลกระสุนยางให้ดูและตอบว่าแค่นี้ทนได้ เพราะชีวิตปกติหนักกว่านี้ ต้องเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้อยู่ในสังคมที่ต้องผ่านการเจ็บปวด ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่อง แต่เขาประเมินแล้ว และเขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาทำเป็นคุณค่า เขาเชื่อว่าหน้าที่ของเขาคือการต้องไล่รัฐบาลทรราชออกไป ดังนั้นเมื่อเขาสามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับสังคมได้และคิดว่าตัวเองเสียสละได้ เขาก็สามารถที่จะปฏิบัติการภายใต้อุดมการณ์ทางการเมือง แม้เราจะคิดว่าเขาไม่มีความเข้าใจทางการเมืองในเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วเขามีชุดความเข้าใจทางการเมืองอีกแบบหนึ่ง

รูปแบบของม็อบดินแดงเป็นโครงสร้างแบบองค์กรไร้หัว ไม่มีใครเป็นแกนนำ แต่ม็อบดินแดงมีวิวัฒนาการ ช่วงแรกๆ เราเห็นกลุ่มอาชีวะออกมาดูแลการเคลื่อนไหวและทำหน้าที่เป็นแกน แต่ช่วงหลังกลุ่มนี้ถอนตัวออกมา ก่อนที่จะเกิดวิวัฒนาการของสถานการณ์และทำให้การต่อสู้บริเวณดินแดงเป็นไปโดยธรรมชาติ กลายเป็นม็อบไร้แกนนำ ตัวรูปแบบของปฏิบัติการที่ม็อบดินแดงเรียบง่ายมาก จะเป็นใครก็ได้ ฉะนั้นต่อให้คุณจับไปหนึ่ง ก็จะมีคนใหม่ๆ เข้ามา นอกจากนี้ภาครัฐที่คุ้นชินกับการจัดการองค์กรที่ต้องมีหัวมาโดยตลอดก็สาวไปหาตัวผู้ชุมนุมไม่ถูก เพราะม็อบไม่มีโครงสร้าง

ส่วนเรื่องเป้าหมายคือการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก แม้เขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่การกระทำของเขาเช่นการเบิ้ลรถมอเตอร์ไซค์หรือการปาประทัดกำลังสื่อถึงความต้องการนี้ การท้าทายเจ้าหน้าที่ คฝ. คือการบอกว่าเขาไม่ยอมต่ออำนาจรัฐ โดยใช้วิธีการออกมาป่วนรัฐ เพราะรัฐต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ หากรัฐไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ สถานะของรัฐจะเกิดความสั่นคลอน เพราะฉะนั้นม็อบดินแดงใช้วิธีการนี้เพื่อท้าทายผู้มีอำนาจ

:: เมื่อรัฐยังคงติดอยู่ในวังวนแห่งการกดปราบ ::

นอกจากการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง ที่ผ่านมารัฐเคยใช้แนวทางมวลชนจัดตั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกคือกลุ่มมวลชนที่รวมตัวกันใส่เสื้อสีเหลืองและนัดไปเจอกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อยั่วหรือทำให้อีกฝ่ายกังวลว่าจะเจอทีมซ้อน แต่กลุ่มที่มาเล็กเกินไป เลยกลายเป็นว่ายิ่งเข้าทางม็อบดินแดง เพราะยิ่งมีคู่ต่อสู้ปรากฏตัวขึ้นมา เขายิ่งฮึกเหิม วิธีการนี้พลาดมาก จะใช้วิธีการขู่แบบนี้ไม่ได้ ครั้งที่สองคือจากเหตุการณ์เมื่อ 2-3 วันที่แล้วที่ ผบช.น. ลงไปคุยกับประชาชนที่แฟลตดินแดง นั่นก็เป็นการเคลื่อนไหวในแนวมวลชน โดยใช้มวลชนแฟลตดินแดงลดทอนม็อบทะลุแก๊ส ซึ่งผลก็กลายเป็นว่าม็อบก็ไปออกที่นางเลิ้ง (19 กันยายน 2564)

เหตุการณ์การปะทะที่นางเลิ้งเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลัวมาก เขาไม่ได้กลัวม็อบดินแดง แต่เขากลัวว่าม็อบแบบนี้จะขยายตัวทั่วประเทศ มันจะทำให้รัฐปวดหัวและนึกไม่ออกว่าจะจัดการอย่างไร เพราะแค่ม็อบดินแดงยังเอาลงไม่ได้เลย จากเหตุการณ์ที่นางเลิ้งสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณวิวัฒนาการของม็อบดินแดง แม้จะไม่มีหัว แต่ม็อบเองก็เรียนรู้และเริ่มหาทางออก

หนึ่งวิธีที่รัฐยังไม่เคยใช้เลยคือการคุย เพราะไม่รู้ว่าจะต้องคุยกับใครและรัฐยังอยู่ในฐานะของคนที่คิดว่าจะใช้แนวทางกดปราบ

การใช้แนวทางกดปราบมีแต่ทำให้เกิดความเจ็บช้ำและยิ่งบีบให้คนออกมาสู้อีก ส่วนที่มีบางคนถามว่ารัฐเลี้ยงไข้ม็อบดินแดงหรือเปล่า ในทางทฤษฎีมีความเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติ ผมคิดว่ารัฐไม่ได้ใช้แนวทางนั้น เพราะท่วงทำนองของรัฐในตอนนี้พยายามอย่างมากที่จะปิดเกมนี้ให้ได้ การที่เขาปิดเกมไม่ได้ทำให้สถานะของเขาในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ดูด้อยไปเลย คิดดูว่าแค่เด็ก 50 คน คุณก็เอาไม่ลงมาเป็นเดือนแล้ว มันไม่รู้จะอธิบายนายยังไง ดังนั้นสิ่งที่ คฝ. ทำในแต่ละวันคือจับผู้ชุมนุมเพื่อให้สามารถรายงานนายได้ แต่สถานการณ์ไม่เคยหยุดและยังคงเป็นไป

ส่วนจะมีโอกาสที่รัฐใช้แนวทางการทหารหรือไม่นั้น เช่นการล้อมปราบหรือการใช้กระสุนจริง ผมคิดว่ารัฐจะยังทำสิ่งนั้นไม่ได้ หากไม่มีความชอบธรรมทางการเมือง ซึ่งน้องๆ ที่ดินแดงจะต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้ เพราะ คฝ. ไม่ได้มีแค่กระสุนยาง สไนเปอร์เขาก็หามาได้ แต่เขาทำสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าหากว่ายังไม่มีความชอบธรรมทางการเมือง

ดังนั้น ถ้าน้องๆ ยังยึดมั่นที่จะใช้แนวทางตอบโต้ คฝ. โดยวิธีการป่วน จะต้องเป็นการป่วนที่ไม่ทำให้เกิดความชอบธรรมในการใช้กำลังกับม็อบดินแดง เช่น เราเริ่มเห็นการใช้ไฟเผาป้อมตำรวจ เรื่องนี้ก็ต้องระวังเพราะถ้าไฟมันอยู่ในจุดใหญ่เมื่อไหร่ รัฐจะอาศัยเรื่องนี้ในการล้อมปราบและจะไม่มีใครปกป้อง หลังจากนั้นรัฐพร้อมที่จะใช้วิธีการทุกรูปแบบ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดว่าเวลาต่อสู้ เราจำเป็นต้องดูรัศมีธนูและไม่เข้าไปในพื้นที่ที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถใช้อาวุธหนักตอบโต้เราได้ มันอาจจะยื้อกันไปมา แต่มันจะไม่ใช่เกมที่คุณจะบาดเจ็บ เราต้องป้องกันแนวทางนี้ไว้

:: ที่ทางของม็อบดินแดงในขบวนการประท้วง ::

สำหรับแนวทางการต่อสู้แบบทะลุแก๊ส แน่นอนว่าผมคิดไม่เหมือนเขา ผมไม่เชื่อในแบบที่เขาเชื่อ แต่เมื่อลงไปทำความเข้าใจวิธีคิดของเขา ผมก็เข้าใจวิธีคิดของเขาได้ เนื่องจากว่าม็อบแนวทางอื่นๆ มีช่องว่าง ไม่ว่าจะม็อบราษฎรและคาร์ม็อบต่างมีจุดอ่อน ม็อบราษฎรเป็นม็อบที่ชูประเด็นแหลมคม คาร์ม็อบเป็นการเมืองตัวเลข เราเน้นปริมาณ แต่แม้ว่าเราจะมีคนมาร่วมคาร์ม็อบเป็นจำนวนมากก็ไม่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนได้ เพราะรัฐตีบทเฉย ดังนั้นม็อบกลุ่มที่ 3 จึงเกิดขึ้น ม็อบดินแดงเป็นม็อบที่สามารถตอบโต้รัฐรายวันได้ เป็นม็อบป่วนรัฐ สามารถทำให้รัฐปั่นป่วนและต้องหาวิธีการในการจัดการกับสถานการณ์ ดังนั้นเขาสามารถดึงคู่ต่อสู้ให้ออกมาสู้กันได้ ส่วนจะแพ้ชนะยังไง ยังนับกันไม่ได้ เพราะมันยังไม่จบ

ถ้าถามว่าที่ทางของม็อบทะลุแก๊สจะอยู่ส่วนไหนของขบวนการเคลื่อนไหวภาพใหญ่ ผมคิดว่ามีเป้าหมายเดียวกัน แต่วิธีการและแนวทางต่างกันอย่างชัดเจน สมมติว่าถ้าน้องๆ อยากมาร่วมคาร์ม็อบ ต้องไม่มีเสียงประทัดและไม่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับตู้คอนเทนเนอร์ เพราะเราคิดว่าไม่เป็นประโยชน์เลย แนวทางของคาร์ม็อบเป็นแนวทางเชิงสะสมปริมาณ และมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อม็อบมีประเด็นแหลมคม มีความชอบธรรม และมีบรรยากาศที่สอดคล้องกับคนส่วนใหญ่ พูดง่ายๆ ว่าคนส่วนใหญ่สามารถร่วมได้ และเราจะใช้แนวทางสันติแบบโคตรๆ ในการขยายปริมาณ ดังนั้นเราจะต้องรักษากลไกหรือวิธีการขับเคลื่อนในรูปแบบนี้ไว้ให้ได้

ถ้าน้องๆ จะมาร่วมคาร์ม็อบ ผมไม่ปฏิเสธเลย แถมยินดีมากๆ แต่น้องๆ ต้องเคารพในรูปแบบที่เรากำหนด ก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นในดินแดง เขาก็ประกาศรูปแบบของเขา ดังนั้นจะให้ผมไปบอกว่าน้องๆ อย่าไปทำอย่างนั้น ต้องสันติวิธี ก็คงไม่ได้ เพราะเขาประกาศรูปแบบเขาแล้ว ถ้าสมบัติอยากทำอย่างนั้น ก็ไปทำในกลุ่มของคุณ ไม่ต้องมาทำที่ดินแดง คุณมีพื้นที่ของคุณแล้ว ก็ทำของคุณไป

เคยคิดเหมือนกันว่าม็อบทุกกลุ่มจะต้องควบรวมไหม คำตอบคือตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ควบรวมกัน แต่ละกลุ่มจะต้องเคลื่อนไหวและพิสูจน์ตัวเองไปในแนวทางของตัวเอง แต่สุดท้ายเป้าหมายเหมือนกัน ต่างกันแค่วิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายเท่านั้นเอง

:: รีวิวคาร์ม็อบ-รียูเนียนคนเสื้อแดง ::

คาร์ม็อบเป็นม็อบที่ประหลาด เราขับรถไปพบประชาชน เดิมเราเคยตั้งคำถามว่าวิธีการมาม็อบโดยการเอาพาหนะมาด้วยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไหม ปรากฏว่าเข้าใจได้ เรื่องนี้ก็ได้รับการพิสูจน์และได้คำตอบไปแล้ว มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่สะดวกร่วมกิจกรรมในลักษณะนี้ ม็อบแบบนี้ไปได้ ไม่ว่าแดดจะร้อนหรือฝนจะตก กิจกรรมนี้ก็ไปถึงสุดทาง ดังนั้นรูปแบบนี้ทำได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยขยายพื้นที่ทางการเมือง ผมมองว่ากิจกรรมทางการเมืองไม่เคยขยายใหญ่เท่านี้มาก่อน

สำหรับเรื่องที่หลายคนมองว่าผู้ที่มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่ในคาร์ม็อบเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงหรือเปล่า ผมเองก็เคยคุยเรื่องนี้กับเต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามวลชนหลักที่อยู่ในคาร์ม็อบ 2 ครั้งสุดท้ายเป็นคนเสื้อแดง สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าคนเสื้อแดงยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่ และเขาออกมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วมันชัดเจนมาก ทั้งสัญลักษณ์ ผู้คนที่เข้าร่วมคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก เรียกได้ว่าเป็นการรียูเนียนคนเสื้อแดง ผมมองว่าทัพเสื้อแดงออกมาแล้ว

ส่วนประเด็นที่ว่าหากมีคนเสื้อแดงมาเยอะ แล้วจะเป็นการกันคนอีกกลุ่มหรือเปล่า ผมมองว่ามีความเป็นไปได้ในบางคน แต่เหตุการณ์คนเสื้อแดงผ่านมา 11 ปีแล้วนะ ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว กับความรู้สึกวันนี้ไม่เหมือนเดิม น้องๆ กลุ่มราษฎรไม่ได้มีปัญหากับคนเสื้อแดง สังเกตว่าน้องๆ มีการพูดถึงคนเสื้อแดงในแบบที่เป็นรุ่นพี่ของการต่อสู้และการต่อสู้รอบนี้เป็นสายธารที่ถูกส่งต่อมายุคต่อยุค จริงๆ แล้วณัฐวุฒิก็ประกาศว่าการต่อสู้ในรอบนี้มีคนหนุ่มสาวเป็นผู้นำ พวกเราในฐานะคนที่เคยผ่านการต่อสู้มาก่อน เพียงแค่ออกมายืนเคียงข้างและคอยสนับสนุนคนหนุ่มสาวในการต่อสู้

ส่วนเรื่องข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อของคนหนุ่มสาวนั้น ผมเองไม่ติดขัดและเห็นด้วยกับทั้ง 3 ข้อเลย แต่พอถึงตอนที่ต้องออกมาเคลื่อนไหวเอง เวลาเราคิดอ่าน เราคิดเป็นขั้นๆ ไป เราคิดอ่านว่าต้องทำให้ได้ในข้อที่ 1 ก่อน หรือวิธีการทำงาน อย่างราษฎรเขาไม่เจรจา แต่คาร์ม็อบเปิดแผนงานทั้งหมดแล้วไปคุยกับตำรวจเลย ผมทำหนังสือขอแจ้งการชุมนุมเลย ต่อรองกันบนโต๊ะกับตำรวจและรักษาคำมั่นสัญญาทุกครั้งว่าจะเริ่มแบบนี้และจบแบบนี้ เราใช้วิธีคุยกัน สันติ ไม่เผชิญหน้า และให้น้ำหนักกับการค่อยๆ ขยับไปทีละข้อ

:: เพราะประชาธิปไตยมีคุณค่ามากพอที่จะแลกได้แม้กระทั่งชีวิต ::

(ในการต่อสู้ทางการเมือง) จริงๆ ผมเหนื่อยนะ แต่มันเป็นการต่อสู้ระยะยาว ไม่ต่างจากการวิ่งมาราธอน ดังนั้นไม่ใช่ว่ามีแรงเท่าไรก็สับไปหมด แต่ต้องประคองตัวไว้ให้ได้ อาจจะโชคดีว่าผมไม่ได้อยู่แถวหน้าสุดตลอดเวลา ผมมีจังหวะที่ถอยห่างออกมาและกลับเข้าไปใหม่อยู่เรื่อยๆ การผลัดกันแบบนี้เป็นการช่วยกัน เพราะการยืนอยู่หน้าสุดมีโอกาสโดนธนูปักอกสูงมาก อย่างตอนนี้ผมก็โดนหมายเรียก 10 หมาย แต่ไม่คิดว่านี่เป็นธนู เป็นเพียงแค่หนามเกี่ยว เพราะน้องๆ คนรุ่นใหม่หรือแกนนำเสื้อแดงหลายคนโดนธนูปักอก โดนคดีใหญ่ๆ ที่จะต้องไปลุ้นกันต่อว่าแผลจะลึกขนาดไหน

นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่เรียนรู้ เมื่อเราอยู่นานพอและมีโอกาสถอยออกมามองจะรู้ว่า ระหว่างการต่อสู้ควรใช้วิธีการใดหรือดำรงตนยังไง แต่สิ่งหนึ่งที่มีเสมอคือต่อให้เหนื่อยก็ยังมองเห็นอนาคตอยู่ เห็นสิ่งที่เราต่อสู้อยู่ว่าคืออะไร เห็นคุณค่าของมัน และคุณค่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดพลังงานมหาศาล เพราะเรามองเห็นแล้วว่ามันมีคุณค่าเพียงพอที่จะแลกกับความเหน็ดเหนื่อย หรือแม้แต่อิสรภาพ ตลอดจนชีวิต เราก็แลกได้

ผมเห็นวิวัฒนาการของสังคม เห็นความตื่นตัวของประชาชนในระดับที่ใหญ่มากและเชื่อว่าจะใหญ่กว่านี้ ผมเห็นคนที่เรียนรู้และข้ามฝั่งกลับมายืนกับประชาชนอย่างงดงาม ผมเห็นความงดงามของการที่เรายังยืนอยู่ตรงนี้เพื่อรอคอยมิตรสหายและผู้คนอีกจำนวนมากที่จะเดินข้ามเส้นกลับมายืนกับหลักประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน ผมก็เห็นคนหนุ่มสาวที่มีกำลังวังชาและมีเวลาของชีวิตที่ยาวกว่าผมมากๆ ทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้ว่า ต่อให้ผมสู้เรื่องนี้ไปจนแก่ชราและอาจจะไม่สามารถออกมาต่อสู้ได้แล้ว แต่การต่อสู้นี้จะไม่ยุติจนกว่าพวกเราจะบรรลุภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่ฝันไว้

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save