อนาคตใหม่-ม็อบคนรุ่นใหม่-ปรากฏการณ์ก้าวไกล: พลังส่งต่อจาก 2562 ถึง 2566

ผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสังคมไทย เมื่อพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่อย่างพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งได้รับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และคะแนนนิยมมากที่สุด แบ่งเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต 112 คน จากทั้งหมด 400 คน และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 39 คน จากทั้งหมด 100 คน รวมถึงคะแนนนิยมทั่วประเทศจากการลงคะแนนแบบบัญชีรายชื่อซึ่งกวาดไปได้ทั้งสิ้นมากกว่า 14 ล้านเสียงจากผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศทั้งหมด 39.3 ล้านคน

พรรคก้าวไกลสามารถเอาชนะพรรคใหญ่ที่คว้าชัยในการเลือกตั้งมาตลอดกว่า 20 ปีอย่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับจำนวน ส.ส. ตามมาเป็นอันดับที่ 2 คือ ส.ส. แบบแบ่งเขต 112 คน และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 29 คน รวมถึงคะแนนนิยมทั่วประเทศอีก 10 ล้านเสียง ขณะที่ในฟากฝั่งของพรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งพรรคที่มีกองทัพหนุนหลัง พรรคการเมืองอนุรักษนิยม และพรรคการเมืองเจ้าพ่อท้องถิ่นอื่นๆ ซึ่งเป็นอดีตรัฐบาลนั้นแทบจะไม่สามารถรักษาหรือเพิ่มคะแนนเสียงของตัวเองได้เลย อันจะเห็นว่าพรรคพลังประชารัฐ, พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ได้รับจำนวน ส.ส. เพียง 40, 36, 25 และ 71 คนตามลำดับ

ในการอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว สื่อและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่าเป็นผลจากทั้งความล้มเหลวในการบริหารงานของอดีตรัฐบาลอำนาจนิยม นโยบายและแคมเปญทางการเมืองที่ดูประนีประนอมกว่าของพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคก้าวไกลมีเป้าหมายและการหาเสียงที่ชัดเจนในการไม่เอาพรรคที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร ข้อเสนอในเชิงการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และภาวะผู้นำที่โดดเด่นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค โดยหลายความเห็นมองว่าเป็นผลจากการที่ฝ่ายต่อต้านทักษิณจำนวนมากยอมหันเหการสนับสนุนจากพรรคการเมืองที่มีกองทัพหนุนหลังมาสู่พรรคทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญในชัยชนะของพรรคก้าวไกล

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่สำคัญอีกประการ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นผลมาจากพัฒนาการความสัมพันธ์และอิทธิพลที่มีต่อกันระหว่างขบวนการเคลื่อนไหวคนรุ่นใหม่และพรรคก้าวไกล

จากการเคลื่อนไหวออนไลน์สู่คูหาเลือกตั้ง

สัญญาณแห่งชัยชนะของพรรคก้าวไกลในวันนี้ เริ่มก่อตัวให้เห็นตั้งแต่การเกิดขึ้นของการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนเพื่อต่อต้านการรัฐประหารในปี 2557 ถึงแม้ว่าเยาวชนซึ่งเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองรุ่นบุกเบิกเหล่านี้จะไม่สามารถจัดการสนับสนุนของคนรุ่นใหม่ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทว่าตั้งแต่ปลายปี 2558 เป็นต้นมา คนรุ่นใหม่จำนวนมากก็เริ่มมีความตื่นตัวทางการเมืองและเริ่มมีปฏิบัติการตอบโต้คณะรัฐประหารผ่านการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์

คนหนุ่มสาวจำนวนหลายแสนคนกลายเป็นนักรบออนไลน์และประสบความสำเร็จในการล้มข้อเสนอนโยบายซิงเกิลเกตเวย์ของรัฐบาล ข้อเสนอดังกล่าวเป็นพยายามควบคุมเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตามที่รัฐบาลต้องการ จากการรณรงค์ให้ผู้คนเข้าไปกด F5 เพื่อทำให้เว็บไซต์จำนวนมากของรัฐบาลล่มในเวลาเดียวกัน พวกเขาประสบความสำเร็จในทำให้คณะรัฐบาลภายใต้การนำของคณะรัฐประหารยอมถอย ประกาศไม่ผลักดันแผนซิงเกิลเกตเวย์ต่อ นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่นักเคลื่อนไหวทำแคมเปญประสบความสำเร็จในการกดดันให้รัฐบาลยอมละเลิกนโยบายผ่านช่องทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็ยังไม่ได้พัฒนาก่อรูปตัวเองจากการเคลื่อนไหวออนไลน์สู่การเคลื่อนไหวบนท้องถนนในทันทีแต่อย่างใด

ในระยะต่อมาเราเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวตัวของการเมืองคนรุ่นใหม่จากการประท้วงและโลกออนไลน์สู่การเมืองเลือกตั้งและพรรคการเมือง แกนนำกลุ่มต่อต้านรัฐประหารหลายคนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่วันแรกในการตั้งพรรค คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่กลายเป็นฐานเสียงในความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ยกตัวอย่างเช่น พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารจากธรรมศาสตร์ ถือเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ รังสิมันต์ โรม แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ลงสมัครและได้รับเลือกเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี อดีตนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เป็นสมาชิกและผู้ปฏิบัติงานในปีกเยาวชนของพรรคอนาคตใหม่ นอกจากนี้ สมาชิกขององค์กรการเคลื่อนไหวคนอื่นๆ ก็ได้เข้าไปทำงานในพรรค ทั้งในฐานะผู้ช่วยประชาสัมพันธ์พรรค ผู้จัดการแคมเปญของปีกเยาวชน ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนฯ และผู้จัดทำนโยบายต่างๆ

ขณะเดียวกัน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (first time voter) ซึ่งต้องการทางเลือกใหม่ๆ ในทางการเมือง (มีจำนวนมากถึง 8 ล้านคนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 51 ล้านคน) ก็ถือเป็นเสียงสนับสนุนมวลชนที่แข็งแกร่งของพรรค ทำให้ในท้ายที่สุด การสนับสนุนของคนรุ่นใหม่และผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกนี้เองนำพาพรรคมวยรองอย่างพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 โดยผลการเลือกตั้งที่เห็นนี้ ไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะของพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น หากแต่ยังไปช่วยสร้างสำนึกในการเป็นเจ้าของพรรคร่วมกันในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ด้วย คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำให้พรรคชนะได้ที่นั่งในสภาและคาดหวังว่าพรรคจะผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามความปรารถนาของพวกเขาต่อไป

จากพรรคอนาคตใหม่สู่ขบวนการเคลื่อนไหวโบว์ขาว

ในช่วงก่อนการเลือกตั้งและหลังจากการเลือกตั้ง ภายในพรรคอนาคตใหม่เต็มไปด้วยข้อถกเถียงถึงทิศทางในการก้าวต่อไปของพรรค ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งพยายามผลักดันให้พรรคผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและข้อเสนอที่แหลมคม โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และนโยบายทางสังคมเศรษฐกิจต่างๆ ในทางตรงกันข้ามหลายกลุ่มกลับเสนอให้พรรคพยายามที่จะลดระดับความสุดโต่งของข้อเสนอแรกเริ่มหลายข้อ โดยคาดหวังว่าจะรอดพ้นการถูกกีดกันทางการเมืองภายใต้รัฐบาลเผด็จการหลังการเลือกตั้งไปได้ ท่ามกลางความไม่ชัดเจนของพรรคและความพยายามประนีประนอมระหว่างข้อเสนอเหล่านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคและนักเคลื่อนไหวหลายคนดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่นนัก นำไปสู่ความไม่ลงรอยและการปะทะภายในหลายกรณี ส่งผลให้หลายคนลาออกจากพรรคเพื่อไปนำการเคลื่อนไหวต่อต้านคณะรัฐประหารและชนชั้นนำในประเทศต่อ ดังเช่น ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี และพริษฐ์ ชิวารักษ์ เป็นต้น

ต่อมาเมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบโดยการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงต้นปี 2563 ก่อนที่ภายในพรรคเองจะตัดสินใจด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนการต่อสู้จากในรัฐสภาไปสู่การสนับสนุนการประท้วงใหญ่หรือไม่ หลายคนที่ออกจากพรรคก็ไปนำการเคลื่อนไหวใหญ่ของเยาวชนคนรุ่นใหม่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงคนรุ่นใหม่ทั่วไปที่เคยเป็นผู้ลงคะแนนเสียงให้พรรคก็เริ่มจัดการประท้วงแฟลชม็อบเป็นของตัวเองตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการระดมการเคลื่อนไหวจากคนรุ่นใหม่ที่ใหญ่มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยจุดสูงสุดคือการชุมนุมวันที่ 19 กันยายน 2563 ที่สนามหลวง การประท้วงใหญ่ดึงดูดผู้ประท้วงได้หลายหมื่นคน ก่อนที่ต่อมาการจลาจลเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคมปี 2564 ขบวนการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่จะขยายพ้นไปจากนักศึกษาชนชั้นกลาง สู่เยาวชนชนชั้นล่างและลูกหลานคนจนเมือง

นอกจากนั้นขบวนการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ได้ผลักดันนโยบายในระดับแหลมคมที่บางส่วนของพรรคเคยปฏิเสธ โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ การต่อต้านทุนผูกขาด และอื่นๆ โดยผู้นำการเคลื่อนไหวเหล่านี้เสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อผลักดันข้อเรียกร้องที่ทะลุเพดานการเมืองไทย โดยจะเห็นว่าตั้งแต่ข้อเสนอในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อถูกเสนอโดยแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พรรคก็เริ่มปรับท่าที โดยหลังการประกาศข้อเสนอการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ดังกล่าว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้ไม่นาน เริ่มออกมากล่าวถึงสิทธิของคนรุ่นใหม่ในการเสนอข้อเรียกร้องดังกล่าวว่าควรได้รับการปกป้องและรับฟัง แม้ในช่วงต้นจะไม่ได้ตอบรับข้อเสนอดังกล่าวในทันที แต่เมื่อการชุมนุมเริ่มขยายตัวมากขึ้น และข้อเรียกร้องดังกล่าวกลายเป็นประเด็นสาธารณะ เราเริ่มเห็นทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไปของพรรคอย่างชัดเจน พรรคก้าวไกลเริ่มหันมาวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายและอำนาจของสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงการเมืองรัฐสภาและความไม่โปร่งใสในการบริหารราชการส่วนพระองค์ นอกจากนั้นในวาระการประชุมงบประมาณประจำปี สมาชิกสภาผู้แทนของพรรคยังเดินออกจากห้องประชุมเพื่อเป็นการประท้วงการเพิ่มงบประมาณให้กับส่วนราชการในพระองค์ และที่สำคัญที่สุดคือพรรคก้าวไกลกล้าเสนออย่างเปิดเผยต่อสาธารณชนว่ามีความต้องการที่จะปฏิรูปและแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพ (กฎหมายอาญามาตรา 112)

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว พรรคก้าวไกลและสมาชิกส่วนใหญ่ทั้งหลายต่างก้าวออกมาจากจุดปลอดภัยของตัวเองเพื่อร่วมในการประท้วงและมีการเน้นย้ำถึงประเด็นการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ นี่เป็นความพยายามของพรรคในการจะกลับไปเชื่อมโยงกับบรรดาผู้นำการเคลื่อนไหว ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดี ได้รับความเชื่อใจและแรงสนับสนุนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่กลับมามากขึ้น ปีกเยาวชนของพรรคก้าวไกลเองก็มีการจัดเวิร์กชอปให้คนรุ่นใหม่เพื่อเชื่อมโยงนักกิจกรรมที่มาจากมหาวิทยาลัยและโรงเรียนที่แตกต่างกันได้มาพบปะและสร้างเสริมกำลังใจซึ่งกันและกัน สมาชิกสภาผู้แทนของพรรคก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการประท้วงของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในเขตพื้นที่ของตัวเอง มีการประสานพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ในท้องที่ไม่ให้ลงมาข่มขู่คุกคามการประท้วง นอกจากนี้สมาชิกสภาผู้แทนของพรรคอีกหลายคนยังใช้ตำแหน่งของตัวเองยื่นประกันตัวนักกิจกรรมจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งถูกรัฐจับกุมจากการชุมนุมต่างๆ ยังไม่รวมการไปปรากฏตัวในการชุมนุมจำนวนมากในฐานะผู้เข้าร่วมทั่วไปของอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่และสมาชิกปัจจุบันของพรรคก้าวไกลด้วย เป็นต้น โดยขณะเดียวกัน ขบวนการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ก็ใช้พรรคก้าวไกลเป็นช่องทางทางการเมืองของตัวเองเพื่อจะแคมเปญและส่งเสียงเรียกร้องที่มีความสุดโต่งกว่าเข้าไปในสภาด้วย

จากขบวนการเคลื่อนไหวสู่พรรคก้าวไกล

หลังจากที่มีการต่อสู้บนท้องถนนมาเกือบสองปี ผู้นำการเคลื่อนไหวและผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนนับไม่ถ้วนต่างถูกจับกุมหรือได้รับบาดเจ็บ การประท้วงใหญ่ไม่ปรากฏให้เห็นอีก ในปี 2564 การเคลื่อนไหวเหลือเพียงบางกลุ่ม เช่น กลุ่มทะลุวังที่ยังคงเคลื่อนไหวต่อ แต่ถึงกระนั้นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้สลายหายไปไหน พวกเขาถอยกลับมาตั้งหลักและเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวไปสู่รูปแบบอื่นๆ คนรุ่นใหม่ที่เคยตื่นตัวทางการเมืองในช่วงการชุมนุมเลือกเข้าร่วมกิจกรรมของพรรคและการเลือกตั้ง สำหรับพวกเขาการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบนี้ลงทุนน้อยแต่มีประสิทธิภาพ โดยในช่วงกลางปี 2565 หลายคนเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในแคมเปญทางการเมืองในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้นำการเคลื่อนไหวและผู้สนับสนุนในขบวนการต่างกระจายตัวเข้าร่วมสนับสนุนตัวแทนผู้สมัครในฝั่งประชาธิปไตยทั้ง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ และวิโรจน์ ลักขณาอดิสร ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล กิจกรรมการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัครเหล่านี้ดึงดูดผู้ที่เคยเข้าร่วมในการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่มาก โดยผลการเลือกตั้งจบลงที่ชัยชนะอย่างถล่มทลายของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ซึ่งได้รับเสียงกว่า 51.8 เปอร์เซ็นต์ ความสำเร็จในครั้งนี้ยิ่งจูงใจให้คนรุ่นใหม่ทั่วไปเชื่อมากขึ้นอีกว่าการเลือกตั้งเป็นหนทางที่ง่ายกว่า ปลอดภัยกว่าการชุมนุมประท้วง และมีประสิทธิภาพมากกว่าในการเอาชนะระบอบอนุรักษนิยมและเผด็จการ

การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ยิ่งเป็นหลักฐานที่เด่นชัดถึงการปรับเปลี่ยนการมีส่วนร่วมทางการเมือง จากการชุมนุมบนท้องถนนสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของพลังของคนรุ่นใหม่ โดยจะเห็นได้ดังนี้

1. มีอดีตผู้นำการเคลื่อนไหวอย่างน้อย 20 คนเข้าร่วมกับพรรคก้าวไกลในฐานะผู้สมัคร ส.ส. และหลายคนชนะเลือกตั้ง เช่น ปิยรัฐ จงเทพ อดีตผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่และผู้นำกลุ่ม WeVo ชนะเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร รักชนก ศรีนอก อดีตผู้ต่อต้านการรัฐประหารอิสระ ชนะเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นเขตที่มีเจ้าพ่อท้องถิ่นครองเก้าอี้ ส.ส. เดิมในนามพรรคเพื่อไทย ชลธิชา แจ้งเร็ว อดีตแกนนำกลุ่มราษฎร-ประชาธิปไตยใหม่ ชนะเลือกตั้งในเขตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จังหวัดปทุมธานี พุธิตา ชัยอนันต์ อดีตนักกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารในจังหวัดเชียงใหม่ก็ชนะเลือกตั้งในเขตที่มั่นของพรรคเพื่อไทย เป็นต้น

2. นักกิจกรรม แกนนำ และคนรุ่นใหม่ทั่วไปเข้าร่วมกับพรรคก้าวไกลในฐานะผู้ช่วยจัดการแคมเปญ อาสาสมัคร และนักคิดนโยบาย เช่น ภายใต้กิจกรรม hackathon ซึ่งพรรคก้าวไกลจัดขึ้นเพื่อริเริ่มเฟ้นหานโยบายใหม่ๆ ของพรรค รวมทั้งการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ผู้นำการเคลื่อนไหวและนักเรียนนักศึกษาหัวกะทิจำนวนมากเข้ามาร่วมระดมสมองก่อร่างสร้างนโยบายเพื่อใช้ในการหาเสียงของพรรคก้าวไกล รวมทั้งยังช่วยกลั่นกรองข้อเสนองบประมาณของอดีตรัฐบาลเผด็จการด้วย ตัวอย่างผู้นำที่เข้ามาร่วมกับพรรคก้าวไกลในลักษณะนี้ เช่น ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล อดีตผู้นำในเครือข่ายการเคลื่อนไหวประชาชนปลดแอก และวิทยา โอซากิ นิสิตแพทยศาสตร์

3. ผู้สนับสนุนมวลชนคนรุ่นใหม่มีบทบาทอย่างมากในการช่วยสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของพรรค ทั้งบนพื้นที่ออนไลน์และออฟไลน์ในฐานะหัวคะแนนธรรมชาติ (organic political canvasser) ของพรรคก้าวไกล เนื่องจากการหาเสียงของพรรคก้าวไกลไม่เหมือนกับวิธีการหาเสียงทางการเมืองอื่นๆ ที่เน้นการใช้เงินทุนจำนวนมาก โดยพรรคก้าวไกลเลือกที่จะใช้วิธีการที่มีต้นทุนและงบประมาณต่ำแทน ผู้สมัครหลายคนของพวกเขาต้องปั่นจักรยานเคาะประตูหาเสียงตามบ้านเพื่อจะได้พบปะพูดคุยกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขต และก็ใช้เงินไปกับโปสเตอร์หาเสียงน้อยกว่าและทำในลักษณะที่เล็กกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย ที่สำคัญก็คือว่าพรรคเองก็ไม่ได้ทุ่มทั้งเงินและสรรพกำลังไปกับการหาหัวคะแนนในพื้นที่ต่างๆ ที่น่าประหลาดใจคือกลับเป็นคนรุ่นใหม่ทั่วไปเองที่อาสาเข้ามาช่วยพรรคทำแคมเปญออนไลน์และชักชวนให้สมาชิกในครอบครัวมาเลือกพรรคก้าวไกลด้วย

4. ประการสุดท้าย ในส่วนของผู้เข้าร่วมการเดินขบวนหาเสียงและคาราวานทางการเมืองทั้งหลาย แตกต่างจากพรรคอื่นๆ ซึ่งผู้เข้าร่วมมีการจัดตั้งมา แต่ในเวทีและคาราวานหาเสียงของพรรคก้าวไกลกลับเป็นผู้คนที่เข้ามาร่วมเองจริงๆ มากกว่า นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมในเวทีหาเสียงของพรรคคก้าวไกลยังมักจะมีจำนวนมากกว่าที่ผู้จัดคาดการณ์ไว้ และมีบรรยากาศที่คล้ายคลึงกับการจัดการประท้วงของคนรุ่นใหม่เมื่อปี 2563 ซึ่งมีทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ถือป้ายเพื่อแสดงความเห็นทางการเมืองและปัญหาต่างๆ รวมถึงบางกลุ่มยังมีการจัดกิจกรรมของตัวเองภายในพื้นที่เวทีหาเสียงเพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่กลุ่มของตัวเองกังวลต่อพรรคด้วย

ก่อนการเลือกตั้ง คนจำนวนมากต่างตั้งคำถามว่าผู้เข้าร่วมการชุมนุมของคนรุ่นใหม่จะยังคงตื่นตัวทางการเมืองอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า หรือกระแสบนโลกออนไลน์และการสนับสนุนของมวลชนในเวทีหาเสียงของพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนเป็นคะแนนเลือกตั้งจริงๆ ให้กับพรรคก้าวไกลได้หรือไม่ แต่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมสิ้นสุดลง ผลการเลือกตั้งได้ตอบทุกอย่างแล้ว โดยสรุป การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในปี 2563-2564 เป็นผลลัพธ์ที่สุกงอมจากพรรคอนาคตใหม่ และชัยชนะของพรรคก้าวไกลก็เป็นผลต่อขยายออกมาจากการเคลื่อนไหวดังกล่าวของคนรุ่นใหม่ในปี 2563-2564 ด้วย


บทความนี้เก็บความจากบทความ The May 2023 Elections and the Triumph of Thai Youth Social Movements เขียนโดยกนกรัตน์ เลิศชูสกุล เผยแพร่ที่ Journal of Critical Asian Studies แปลเก็บความโดยอุรพี เขื่อนคำ

MOST READ

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save