เอกศาสตร์ สรรพช่าง เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
มิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นการครบรอบการจากไปสิบปีพอดีของศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลง ที่กล้าพูดได้ว่าเป็นบุคคลที่โด่งดังที่สุดในโลก
สำหรับคนในยุคผมแล้วไมเคิล แจ็คสัน (ต่อไปจะขอเรียกสั้นๆ ว่าเอ็มเจ) ไม่แตกต่างอะไรกับพระเจ้า เขาคืออภินิหารแห่งวัฒนธรรมป๊อบ เป็นราชาแห่งโลกดนตรีโดยแท้จริง
ผลกระทบของเอ็มเจที่มีต่อวัฒนธรรมป๊อบ ไม่แตกต่างจากที่ The Beatles ทำไว้ก่อนหน้านี้ เขาสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาทั้งเรื่องดนตรีและการนำเสนอที่แตกต่าง ท้าทายขนบเดิม อย่างการทำมิวสิควิดีโอให้ยาวขึ้น มีเนื้อเรื่องมากขึ้น รวมถึงการทำโชว์คอนเสิร์ตที่อลังการงานสร้าง
ในยุคของผมซึ่งเกิดมาร่วมสมัยกับความดังของเอ็มเจพอดี ช่วงที่เขาดังมากๆ ต้องเรียกว่าไม่มีใครทำได้เทียบเท่าเอ็มเจจริงๆ คอนเสิร์ตในประเทศไทยที่จัดขึ้นที่สนามศุภชลาศัย เอาแค่การเตรียมงาน สถานีโทรทัศน์ทุกช่องรายงานเรื่องนี้เป็นสัปดาห์ก่อนคอนเสิร์ตเริ่ม ตั้งแต่เรื่องหญ้าในสนามไปจนถึงห้องพักในโรงแรมที่เอ็มเจจะไปพัก เรียกว่ามันยิ่งใหญ่จนผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไรให้เด็กรุ่นนี้เห็นภาพ
สำหรับน้องๆ ที่โตมากับ Taylor Swift ผมจะขอเล่าความยิ่งใหญ่ของเอ็มเจให้ฟังสักนิด เอาแบบครีมๆ ที่เขาทำไว้ก็แล้วกัน
เอ็มเจ เป็นเจ้าของสถิติที่น่าทึ่งหลายอย่าง คอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ซึ่งจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ในปี 1988 โดยจัดขึ้น 7 วันติดต่อกัน บัตรขายเกลี้ยงและคาดว่ามีคนมาดูคอนเสิร์ตนี้ทั้งสิ้นมากกว่า 5 แสนคน (เฉพาะในคอนเสิร์ต ไม่รวมการถ่ายทอดหรือสื่ออื่นๆ)
อัลบั้ม Thriller ของเขายังคงเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลกตลอดกาล นั่นคือมากกว่า 50 ล้านก็อบปี้ทั่วโลก ยังครองตำแหน่งอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลในสหรัฐอเมริกาด้วย เป็นศิลปินชายที่มีซิงเกิ้ลติดอันดับในบิลบอร์ดมากที่สุด เป็นศิลปินที่วันเปิดตัวอัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่งมากที่สุด (Bad, Black&White และ History)
เป็นศิลปินที่มีการเซ็นสัญญากับค่ายเพลงแพงที่สุดในโลกคือ 890 ล้านเหรียญสหรัฐ (หากว่านับอัตราเงินเฟ้อ ในยุคของเอ็มเจ เขาน่าจะเป็นศิลปินคนแรกที่เป็นบิลเลี่ยนแนร์ แทนที่ Jay-Z ได้ไม่ยากเลย) เอ็มเจยังเป็นศิลปินผิวดำคนแรกที่มิวสิควีดีโอของเขาถูกเปิดในเอ็มทีวี
กระทั่งในวันที่เอ็มเจเสียชีวิต ก็ยังไม่หยุดสร้างสถิติ
ข่าวของเขาทำให้กูเกิ้ลแทบล่ม วิกิพีเดีย บอกว่ามีคนเข้าไปดูประวัติของไมเคิล แจ็คสัน มากกว่าหนึ่งล้านครั้งในหนึ่งชั่วโมง หลังจากเริ่มมีการรายงานข่าวเรื่องการเสียชีวิตของเอ็มเจ ซึ่งนับเป็นสถิติสูงที่สุดของวิกิพีเดียที่คนเข้าไปดูหัวข้อเดียวกัน และยังมีคนเข้าไปแก้ไขรายละเอียดของเอ็มเจมากถึง 500 ครั้งในชั่วข้ามคืน
CNN บอกว่ามีคนเปิดดูหน้าเพจเรื่องการเสียชีวิตของเขา 20 ล้านครั้งในหนึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มมีการรายงายข่าวเรื่องนี้ ทวิตเตอร์ล่มและชื่อของไมเคิล แจ็คสันก็ถูกค้นหามากที่สุดในทวิตเตอร์เช่นกัน และเป็นครั้งแรกๆ ที่คนเริ่มเห็นอิทธิพลของการเผยแพร่ข่าวจากอินเทอร์เน็ตว่ามีอิทธิพลมหาศาล การปล่อยข่าวลือและข่าวปลอมมีผลกับ engagement ของสำนักข่าว
ตัวกระผมเอง หากไม่นับอัลบั้มสมัยที่เขายังอยู่กับ The Jackson 5 ผมมีอัลบั้มของเขาทุกชุด แต่สมัยก่อนเราก็จะเก็บกันเป็นเทปคาสเซ็ตมากกว่า ผมมาตามซื้อซีดีและแผ่นเสียงภายหลังตอนที่พอมีเงินมีทองแล้วบ้าง ทุกวันนี้แม้ว่าจะไม่ได้หยิบฟังเพราะฟังจากบริการสตรีมมิ่งเสียส่วนมาก แต่ก็มีความสุขที่ได้เห็นมันเรียงตัวสวยอยู่บนชั้นซีดี
นอกเหนือจากธุรกิจเพลง อิทธิพลความดังของเอ็มเจเป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมวัฒนธรรมปาปาราซซี่ เอ็มเจน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ของการ ‘ดีล’ กันระหว่างคนดังกับคนที่ตามเขาด้วย ข่าวคราวของเอ็มเจมีทุกรูปแบบจริงๆ ตั้งแต่เรื่องหยุมหยิมเช่นการศัลยกรรม ไปจนถึงข่าวเรื่องชีวิตส่วนตัวที่ลึกลับมากๆ
มีอยู่ช่วงหนึ่งถึงกับมีข่าวว่า ลาโทย่า แจ็คสัน น้องสาวคนหนึ่งของเขา ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง แต่ที่แท้คือเอ็มเจเองที่ปลอมตัวเพราะต้องการปลดปล่อยความเป็นคนเบี่ยงเบนทางเพศของเขาออกมา
คือไปกันไกลขนาดนั้น
ความโด่งดังและพฤติกรรมของเอ็มเจ เป็นกรณีศึกษาในหลายๆ แง่ ทั้งในแง่ของเพลงที่สามารถสร้างเอกลักษณ์ได้ชัดเจน และชีวิตส่วนตัวที่ทำให้เกิดการโต้เถียงอย่างกว้างขวาง เช่น ความพยายามในการ ‘ฟอกขาว’ ให้ตัวเขาเอง หรือเพลงที่สะท้อนถึงความอัดอั้นในการเป็นคนดัง
การมีชื่อเสียงดังตั้งแต่วัยเด็ก ส่งผลกระทบต่อทั้งชีวิตของเขาที่เหลือ ทำให้เขามีภาวะไม่มั่นคงทางอารมณ์ เป็นโรคนอนไม่หลับอย่างยาวนานเนื่องจากความวิตกกังวล หรือแม้กระทั่งงานศพที่ถูกเปลี่ยนจากการแสดงคอนเสิร์ตมาเป็นพิธีศพ ก็ดูจะเป็นประเด็นทางสังคมที่ถูกพูดถึง ไหนจะเรื่องลูกของเขา เรื่องลิขสิทธิ์เพลง และปัญหาภายในครอบครัวแจ็คสันที่เกิดจากมรดกที่เขาทิ้งไว้ ฯลฯ
การจากไปของเอ็มเจอย่างกะทันหันหลังจากแถลงข่าวคอนเสิร์ต This Is It ได้ไม่นาน ถือเป็นเรื่องที่ช็อคความรู้สึกของแฟนๆ ไม่น้อย ความรู้สึกของผมเองก็คงไม่แตกต่างจากศิลปินอีกหลายคนที่ออกมาพูดถึงเอ็มเจว่า โลกคงดูไม่น่าสนใจ หากไม่มีเขา
เอ็มเจเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหลายคนใช้แนวทางของเขาสร้างสรรค์ดนตรี ทั้ง Usher, Chris Brown, N’Sync, Justin Bieber และอีกมากมายจริงๆ นักประวัติศาสตร์ดนตรีบางคนถึงกับบอกว่า รากฐานของเพลงเกาหลีสมัยใหม่ ส่วนหนึ่งก็มาจากความโด่งดังของไมเคิล แจ็คสัน นี่แหละ นักร้องและโปรดิวเซอร์อย่าง Psy ถึงกับบอกว่าเพลงอย่าง Billy Jeans นี่แหละที่เป็น “ภาษาสากลของมนุษยชาติอย่างแท้จริง”
ในอเมริกามีการสำรวจความเห็นกันด้วยนะครับว่า หลังจากการจากไปของเอ็มเจครบหนึ่งทศวรรษ ความรู้สึกของแฟนเพลงต่อเพลงของเขานั้นเป็นอย่างไร โดย YouGov ซึ่งเก็บข้อมูลทางออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่างเกือบสองพันคน มีความเห็นที่น่าสนใจอยู่ โดย 28% ให้ความเห็นว่าความเป็นตำนานของเอ็มเจลดลง แต่หากดูให้ลึกขึ้น จะพบว่าอเมริกันผิวขาวให้ความเห็นว่าเพลงของเขาลดความขลังลง มากกว่าคนอเมริกันผิวสี ซึ่งคงเชื่อว่าเพลงของเอ็มเจยังคงมนตร์ขลังไม่เสื่อมคลาย
ส่วนคนที่เชื่อว่าเพลงของเอ็มเจนั้นมีความขลังมากขึ้น คิดเป็น 12% ของผู้ตอบแบบสอบถาม และที่เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลงมี 44% นั่นแสดงให้เห็นว่าสีผิวยังคงเป็นประเด็นที่มีผลต่อทัศนคติเรื่องผลงานอยู่ดีนั่นเอง
หากถามความเห็นในเรื่องของการกระทำผิดต่อเด็ก ที่เอ็มเจเคยโดนข้อกล่าวหาเรื่องการลวนลามทางเพศต่อเด็กชาย ก็มีความเห็นจากสองกลุ่มไม่เหมือนกัน คือหากไปถามคนผิวขาวพวกเขาเชื่อว่า เอ็มเจนั้นทำผิดจริง แต่หากไปถามคนผิวสี คนกลุ่มนี้เชื่อว่าเอ็มเจบริสุทธิ์มากกว่า
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าเอ็มเจส่งผลกระทบต่อสังคม และเพลงของเขายังคงน่าจดจำมากกว่าเรื่องราวแย่ๆ ที่เป็นข่าว
ยังมีการสำรวจเพลงยอดนิยมของเอ็มเจ ณ ปี 2019 พบว่าเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดนั่นคือ Thriller ตามมาด้วย Billie Jean, Beat It, Man in The Mirror และ The Way You Make Me feel
เอ็มเจอาจไม่แตกต่างจากโมสาร์ท ด้วยสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ไว้ รวมถึงคุณูปการทางด้านดนตรีที่ทำไว้กับโลกใบนี้นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมองข้ามได้จริงๆ
อ่านเพิ่มเติม
http://www.forumandlink.com/tarekelchanti/mj/web/guin.htm
https://seoulbeats.com/2014/11/michael-jackson-k-pops-biggest-idol/
http://edition.cnn.com/2009/TECH/06/26/michael.jackson.internet/