fbpx

‘เรื่องโป๊และตำราเพศ’ ในสมุดจดปกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2477

“การพูดเรื่องเพศให้เป็นวิชาการ พูดเพศในองค์ความรู้จากคนไทย ไม่ใช่จากฝรั่ง … ‘รัก-ใคร่’ เป็นคำคู่กัน คนไทยเราจะเน้นเรื่องรัก เราไม่ค่อยพูดเรื่องใคร่[1]

สมุดจดสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มักปรากฏภาพปกเป็นรูปลายเส้นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย เช่น พานแว่นฟ้าเทินรัฐธรรมนูญ, พระที่นั่งอนันตสมาคม, ราษฎรหลากสาขาอาชีพ หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ ฯลฯ วัตถุประวัติศาสตร์ประเภทนี้มักเป็นที่เสาะแสวงหาของนักสะสมของเก่า ไม่ว่าจะเป็นเล่มสะอาดๆ ที่ยังไม่ผ่านการใช้งาน หรือหากเป็นฉบับที่ถูกใช้ขีดเขียนไปแล้ว มูลค่าก็ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาที่ดำรงอยู่ภายในเป็นเรื่องอะไรบ้าง เช่น หากเป็นลายมือของผู้มีชื่อเสียง หรือตำรับตำราอาหารก็ดูจะได้รับการตีค่าสูงเป็นพิเศษ

ยิ่งกว่านั้นหากพบว่าเป็นเรื่องลับๆ ล่อๆ ประเภทเพศศาสตร์เชิงสังวาสแล้วเล่า ใครเลยจะอดใจละเลยไม่ค้นคว้าได้ เพื่อเพิ่มพูนแง่มุมด้านมานุษยวิทยาของสังคมนี้ บทความชิ้นนี้จึงขอนำเสนอต้นฉบับลายมือเรื่องสั้นอีโรติกและหลากหลายตำราเพศที่ผู้เขียนนิรนามได้บันทึกไว้ในสมุดจดปกรัฐธรรมนูญปกปี พ.ศ. 2477 

นับแต่อดีตกาล “ตำราสังวาสส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบตัวเขียนบนใบลานและสมุดไทย บางเล่มได้คัดลอกลงสมุดฝรั่งด้วยลายมือของผู้คัดลอก ฉบับพิมพ์ค่อนข้างหายาก เพราะพิมพ์ในวงการแคบๆ ไม่เผยแพร่มากนัก เช่น พระตำรับมวยบ้าน เหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเนื้อหาที่เป็นคู่มือการสังวาสใช้คำศัพท์และคำบรรยายตรงไปตรงมา หมิ่นเหม่ต่อคำนิยม ‘ไม่สุภาพ’ เกินกว่าจะนำมาพิมพ์ขายได้ตามแผงหนังสือปกติต่างจากตำรานรลักษณ์ซึ่งมักรวมอยู่ในตำราโหราศาสตร์ หรือเป็นส่วนหนึ่งของตำราแพทย์แผนไทย”[2]

อีกทั้งด้วยเงื่อนไขอัตราการอ่านออกเขียนได้ของราษฎรสยามโดยมากยังอยู่ในระดับต่ำ ตำราเพศศาสตร์จึงเปรียบเสมือนคู่มือการสังวาสของชนชั้นสูง โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ซึ่งมีพระสนมเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องเรียนรู้ทั้งตำรานรลักษณ์และตำราสังวาส ถึงแม้ในศิลปะศาสตร์ 18 ประการ วิชาที่พระมหากษัตริย์ต้องเรียนรู้จะไม่มีกามศาสตร์รวมอยู่ด้วยก็ตาม[3]

ดังนั้นตำราเพศศึกษาจึงเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มของผู้มีความเชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์ ถ่ายทอดเนื้อหาด้วยรหัสนัย การใช้อุปมาอุปไมย หรือแม้แต่การหยิบยืมภาษาบาลี-สันสกฤต เพื่อลดทอนความรู้สึกหยาบกระด้างให้เบาบางลง[4] ตัวอย่างเช่น กิจกรรมร่วมเพศ ที่หากใช้คำศัพท์พื้นบ้านก็จะฟังแสลงหูเข้าข่ายบัดสีบัดเถลิง จึงจำต้องปรับให้ไพเราะเสนาะหูขึ้นในหมู่ผู้ใฝ่ศีลธรรมจรรยาว่า ‘บทอัศจรรย์’  ดังว่าครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2558 ในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เคยให้ความเห็นว่า

“กรณีที่เป็นเพียงข้อความไม่ได้เป็นเรื่องราวที่แสดงถึงการกระทำทางเพศ ยังไม่ถือว่าเป็นสื่อลามกอนาจาร กรณีนวนิยาย นิยาย วรรณกรรม วรรณคดี หรือเรื่องราวที่มีเจตนาเผยแพร่เพียงเพื่อความบันเทิง เช่น ขุนช้างขุนแผนในบทอัศจรรย์ กรณีนี้ไม่ถือเป็นสื่อลามกอนาจารเพราะมีการใช้ชั้นเชิงทางหลักภาษาบรรยายถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้เกิดอรรถรสที่สร้างสรรค์ทางศิลปะ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการเห็นภาพเรื่องเพศเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบกับสิ่งใกล้ตัวได้อย่างไม่รู้สึกถึงความน่ารังเกียจ แตกต่างกับหนังสือปกขาวของไทยในอดีตซึ่งถือเป็นสื่อลามกอนาจารเนื่องจากเป็นหนังสือที่นำเสนอเรื่องราวการร่วมเพศอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน โดยใช้คำเรียกพฤติกรรมและอวัยวะในการเสพสมด้วยถ้อยคำตรงไปตรงมาซึ่งถูกมองจากสังคมว่าเป็นสิ่งหยาบโลนและลามกเกิดกำหนัดในทางเพศ[5]

ในขณะที่มุมมองของเจ้าพ่อหนังสือโป๊ ตำนานที่ยังมีชีวิตอย่าง ‘เฮียกังฟู (ชูชาติ ธนมงคลชัย)’[6] ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “สื่อเดี๋ยวนี้โจ๋งครึ่มกันเลย จะดูยังไงก็ดูได้แล้ว ทีนี้จริงๆ แล้ว สมัยนี้มันให้แต่อารมณ์กับความรู้สึก แต่สมัยก่อนที่เป็นหนังสือ มันเหมือนกับเป็นตำรา เป็นบทเรียนในการสอนนะ สอนให้รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร เหมือน ก. ไก่ ข. ไข่ แต่สมัยนี้ก็ดูสร้างอารมณ์เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่จะเป็นการสอนการเตือนเป็นการให้ความรู้ เพราะฉะนั้นเด็กสมัยนี้ เด็ก 13-14 ปี ท้องออกลูกกันแล้ว ทิ้งแล้ว สมัยก่อนอายุ 20 ปี ยังไม่รู้เลยว่า ไอ้เรื่องเพศมันเป็นอย่างไร ก็ได้จากหนังสือว่า อ๋อ! มันเป็นแบบนี้ คุณค่ามันไม่เหมือนกัน


ตำราเพศในสังคมไทย


วรรณคดีไทยโบราณของไทยระดับขึ้นหิ้งจำนวนหนึ่งได้แฝงบทอัศจรรย์ดังว่าแทรกไว้ประปราย เช่น เสภาขุนช้างขุนแผน หรือบทละครอิเหนา เป็นต้น ขณะเดียวกันวงวรรณกรรมเชิงกามารมณ์ก็พบงานประพันธ์เจาะจงเฉพาะแนวนี้อยู่บ้าง เช่น ผูกนิพพานโลกีย์[7] พระเอ็ดยง[8] สรรพลี้หวน[9] ที่ยังคงจารด้วยลายมือไว้ในรูปสมุดไทยบ้าง ใบลานบ้าง หรือฉบับพิมพ์สมุดฝรั่งที่อ้างว่าคัดลอกจากต้นฉบับโบราณ เช่น หลักการประเวณีกับพระตำหรับกษัยกล่อน พระตำรามวยบ้าน (ระบุว่าลอกเมื่อ ร.ศ. 131 จากฉบับเดิมของนายอั๋น)[10] หรือแม้แต่ในรูปแบบคัมภีร์นรลักษณ์ เช่น พระตำหรับโยนี (ร.ศ. 126)[11] และ พระตำรับแก่กล่อนโดยพิสดาร[12] เป็นต้น

ครั้นกระเถิบเข้ามาในแวดวงงานเขียนร้อยแก้วสมัยใหม่ของประเทศสยามที่ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกในสไตล์โนเวล (Novel) เป็น ‘เรื่องอ่านเล่น’[13] นับแต่กลางทศวรรษ พ.ศ. 2430 จนพัฒนาเรื่อยมาถึงทศวรรษ พ.ศ. 2450 นำโดยผลงานของสามัญชนนักเรียนจากอังกฤษรุ่นแรกๆ อย่าง ‘ครูเหลี่ยม วินทุพราหมณกุล’[14] หรือหลวงวิลาศปริวัตร (พ.ศ. 2422-2506)[15] ในกระแสหลักครูเหลี่ยมมักถูกจดจำในฐานะนักแต่งนิยายเรื่องแรกของประเทศสยาม เรื่อง ความไม่พยาบาท (พ.ศ. 2457)[16]ในนามปากกา ‘นายสำราญ’ แต่อีกด้านหนึ่ง งานประพันธ์ ‘เรื่องโป๊’ ของบุคคลท่านเดียวกันนี้ก็เลื่องชื่อถึงระดับที่ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) เล่าว่า “ท่านยังแต่งหนังสือที่ให้ชื่อว่า ‘กล่อมครรภ์’ ‘พนันชม’ ‘ พรหมจารีย์’ ฯลฯ และแปลเรื่อง ‘ชี’ ให้ชื่อว่า ‘ สาวสองพันปี’ ซึ่งเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยนั้น”[17]

โดยเฉพาะชุดหนังสืออีโรติก 4 เล่มที่หายากระดับกล่าวขานกันว่า ‘ได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่เคยเห็นตัว’[18] ตั้งชื่อร้อยเรียงกันอย่างคล้องจองว่า กล่อมครรภ์ พนัญชม พรหมจารี ดรุณีประวัติ รวมถึงผลงานแนวทางนี้แต่ฉากเรื่องเพศไม่โจ่งแจ้งเท่าอีก 1 ชุดซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นของครูเหลี่ยมเช่นกันชื่อว่า ลอนดอนเนอร์  ที่ปกหลังยังประชาสัมพันธ์รายนามหนังสืออื่นๆ อีกหลายเล่มประกอบด้วย ผจญบอ แอคสิเดนแตลส์ พรหมจารี แม่แรง เงือกตัวผู้ หมอลามก มนุษ(ย์)วานร และปิดท้ายด้วย นางเนรมิตร์ ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่าไม่น่าจะอยู่ในชุด ลอนดอนเนอร์ เพราะมีเส้นคั่น[19]

ควบคู่ไปกับพัฒนาการของ ‘หนังสือโป๊’ ข้างต้น รัฐไทยยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ดูจะเข้มงวดกวดขันกับสื่อลามกจนถึงกับออกกฎหมายลักษณอาญาเมื่อ ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451) ส่วนที่ 6 หมวดที่ 1 ว่า “ผู้ใดเอารูปภาพ หรือสมุด หรือสิ่งใดใดอันมีลักษณะเป็นของลามกอนาจารออกขายหรือทอดตลาดก็ดี หรือเอาของลามกอนาจารที่ว่ามานั้นแสดงโดยเปิดเผยแก่สาธารณชนก็ดี ท่านว่ามันมีความผิดต้องระวางโทษานุโทษ…” และต่อมาเมื่อประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีในข้อตกลงระหว่างประเทศ จึงได้ตราพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พุทธศักราช 2471[20] อันรวมถึง “ซึ่งหนังสืออันบุคคลแต่งขึ้น ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งที่พิมพ์ขึ้น รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ ที่ลามก หรือวัตถุอันลามกอย่างอื่นก็ดี”[21]

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ดูเหมือนว่ารัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยจะให้ความสำคัญกับหนังสือเพศศึกษาในฐานะคู่มือการใช้ชีวิต ดังปรากฏหนังสือตลาดแนวนี้ที่มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น ประเวณีศาสตร์ เมถุนมรรค คือทางโลกีย์ที่จะเร้ามนุษย์ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น (พ.ศ. 2477)[22] โดย อังศุมาน, ตำราวิเศษกามสูตร (พ.ศ. 2480) โดย โกศล โกมลจันทร์ (บุคคลนี้เป็นผู้ตั้งชื่อ ‘ศรีบูรพา’ ให้ กุหลาบ สายประดิษฐ์[23]), กามารมณ์ อเมริกัน (พ.ศ. 2480) โดยคณะกามนิติ (ที่วาดภาพปกเป็นผู้หญิงเปลือยอก), กุญแจเคล็ดบุตรชายหญิง (พ.ศ. 2483) โดย วิไล ผลาเสริฐ, เอกสารเรื่องเพิ่มพลเมือง กรมสาธารณสุขพิมพ์จำหน่ายในงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2484 หรือ ความรักความใคร่ Love & Sex (พ.ศ. 2485) โดย ม.ล.ฉอ้าน อิศรศักดิ์ เป็นต้น


ตำราวิเศษกามสูตร (พ.ศ. 2480) โดย โกศล โกมลจันทร์
กามารมณ์ อเมริกัน (พ.ศ. 2480) โดยคณะกามนิติ
กุญแจเคล็ดบุตรชายหญิง (พ.ศ. 2483) โดย วิไล ผลาเสริฐ
เอกสารเรื่องเพิ่มพลเมือง กรมสาธารณสุขพิมพ์จำหน่ายในงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2484
ความรักความใคร่ Love & Sex (พ.ศ. 2485) โดย ม.ล.ฉอ้าน อิศรศักดิ์


“เรื่องโป๊” ในสมุดจดปกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2477


รูปลักษณ์สมุดจดสีน้ำตาลแดง ฉบับ พ.ศ. 2477 ที่นำเสนอในบทความนี้ เมื่อมองผิวเผินจากภายนอกคือสมุดสำหรับเด็กนักเรียนชั้นประถมทั่วไป ภาพปกจัดพิมพ์ด้วยภาพวาดลายเส้นราษฎร 5 จำพวกประกอบด้วย ทหาร กรรมกร ชาวนา ลูกเสือ และพ่อค้า ร่วมกันชูรัฐธรรมนูญที่เปล่งรัศมีกำกับด้วยข้อความด้านบนว่า “พวกเราทั้งหลาย จงช่วยกันเทอดไว้” เจ้าของสมุดเล่มนี้เขียน ‘เล่ม ๑’ ไว้ด้านบนสุดของปก ส่วนล่างของปกมีช่องว่างให้เติมชื่อโรงเรียน นาม นามสกุล เลขประจำตัว ชั้นปีที่ สำหรับวิชา และวงเล็บปลายสุดปกว่า ‘(เล่มละ ๒๐ แผ่น)’


สมุดจดสีน้ำตาลแดงที่มองเผินๆ เหมือนสมุดสำหรับเด็กประถมทั่วไป


ขณะที่ปกหลังเป็น ‘เพลงชาติแบบสากล’ ซึ่งเพิ่งได้รับการประพันธ์เนื้อร้องขึ้นใหม่ โดยขุนวิจิตรมาตรา และนายฉันท์ ขำวิไล ในปี พ.ศ. 2477 เดียวกันนั้นเอง ด้านล่างของปกหลังระบุรายละเอียดว่า ‘นายไฝ่หลี่ผู้พิมพ์โฆษณา โรงพิมพ์ (เฮงหลง) เวิ้งท่านเลื่อนฤทธิ์ ตำบลสะพานหิน พ.ศ.๒๔๗๗)’


ปกหลังพิมพ์เนื้อร้องเพลงชาติแบบสากลที่ประพันธ์ขึ้นใหม่


กระนั้นเมื่อส่องลึกลงไปในเนื้อหาสมุดนักเรียน 20 แผ่นกระดาษฉบับนี้ จะพบว่ามันถูกยัดทะนานด้วยลายมือเขียนตัวบรรจงโดยดินสอ ล้นพื้นที่ความจุ 40 หน้ามาถึงหน้าในปกหลังเต็มๆ อีก 1 หน้า บุคคลนิรนามผู้นี้ได้พาผู้อ่านท่องไปในโลกีย์วิสัยแบบ ‘ไร้เซนเซอร์’ อันบรรจุสาระโดยสังเขปดังต่อไปนี้


ดรุณีประวัติ ( 11 หน้า )


เรื่องเล่า 18+ ในหัวข้อ ดรุณีประวัติ


ชื่อเรื่องหน้าแรกของสมุดจดนี้สอดคล้องกับหนึ่งในเล่มตำนานของครูเหลี่ยม ที่ครั้งหนึ่ง ส.พลายน้อย เคยถึงกับเอ่ยว่า “มีหนังสืออีกชุดหนึ่งที่มีคนถามถึงอยู่เสมอ คือหนังสือเกี่ยวกับทางเพศมีชื่อคล้องจองกันว่า กล่อมครรภ์ พนันชม พรหมจารี และ ดรุณีประวัติ เล่มสุดท้ายนี้ผู้เขียนเคยเห็นเป็นเล่มเล็กๆ หนาประมาณ 30-40 หน้า ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน เท่าที่อ่านดูก็ไม่หยาบโลนอย่างใด เป็นการให้ความรู้เรื่องเพศมากกว่า ส่วนอีก 3 เล่มข้างต้นจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ”[24]

ชื่อเรื่องเดียวกันนี้ยังเคยมีการอ้างอิงว่าในสมัย ร.6-7 ปรากฏเรื่องทางเพศ บ้างใช้ชื่อว่าตำราเกี่ยวกับผู้หญิงหรือกามศาสตร์ เช่น ตำราเสน่หาของหมอเหล็ง ศรีจันทร์, ดรุณีประวัติ หรือเมถุนศาสตร์อาหรับ (ก.กมลาภินันท์) โดยหนังสือเหล่านี้ไม่ใช่หนังสือโป๊ แต่นับเป็นการปฏิบัติตนในการครองรักครองเรือน[25] อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าไปอ่านเนื้อหา 11 หน้าแรกของสมุดจดเล่มนี้อย่างพินิจพิเคราะห์กลับไม่เป็นไปตามสองแหล่งอ้างอิงตามว่า ตรงกันข้าม ‘ดรุณีประวัติ’ ฉบับนี้กลับปรากฏการใช้ศัพท์ร่วมเพศอย่างโจ๋งครึ่มถึงที่สุด!

ดรุณีประวัติฉบับที่ว่า เขียนในรูปแบบเล่าประสบการณ์ทางเพศโดยดรุณีวัยกำดัดใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่า ‘ดิฉัน’ กับ ‘หล่อน’ ในฐานะผู้รับฟัง โดยเริ่มเรื่องว่า “อยากทราบใหมค๊ะ แล้วอย่าว่าดิฉันนะค๊ะคุณ คอยฟังนะค๊ะ ดิฉันก่อนจะอยู่กินกับคุณนั้นมันพิลึกละค๊ะ ดิฉันมิได้นึกได้ฝันเลยว่าจะต้องมีผัวแต่เล็กแต่น้อย ดิฉันจะเล่าให้หล่อนฟัง วุ้ย? การที่คุณแม่ไว้ใจให้อยู่ด้วยกันนี้ ก็เพราะว่าตัวดิฉันยังเล็ก ส่วนตัวคุณพี่เธอก็เกี่ยวเปนญาติแต่เปนญาติห่างๆ…”

การดำเนินเรื่องต่อจากบทนำนี้ไม่ต้องพิรี้พิไรให้มากความ เพราะเนื้อหาต่อมาล้วนมุ่งสู่ฉากร่วมเพศของเธอหลังเข้าห้องหับรโหฐานกับญาติห่างๆ ผู้นี้แบบสาธยายกันวันต่อวัน บทบรรยายในเรื่องนี้ผู้เขียนเกริ่นนำแต่ต้นว่า “จะเล่าตามแรกเริ่มเดิมทีให้หล่อนฟังจนถึงที่สุด” ซึ่งก็เป็นไปตามเธอว่าอย่างดุเดือดเลือดพล่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายของหน้าที่ 11 ดังยกบางย่อหน้ามาไว้ดังนี้ว่า

“ในคืนวันนั้นเธอพูดล้อดิฉันพลางจักกะจี้พลางดิฉันก็เล่นเลื่อยไปที่ไม่รู้จักเดียงสา…แล้วมิหนำซ้ำยังจูบดิฉันเสียยกใหญ่ดังฟ้อดๆๆๆ แก้มซ้ายบ้างแก้มขวาบ้าง…เธอก็เอาเนื้อแข็งมาจ่อตรงรูลูกจันทร์ของดิฉัน (ไม่ชัด) แล้วก็กดเนื้อแข็งหายเข้าไปในรูลูกจันทร์ทีละน้อยๆ จนดิฉันรู้สึกเจ็บปวดเปนกำลัง…

ต่อมาอีกคืนหนึ่ง…แล้วคุณเธอก็แก้โสร่งของเธอออก…เนื้อแข็งของเธอก็เลื้อยปรู๊ดปร๊าดเข้าไปประมาณสักสองสามองคุลี…ดิฉันเหลือที่จะทนทานได้จึงบอกกับคุณว่า อุ๊ย? เจ็บดิฉันเจบ-…

รุ่งขึ้นคืนที่สามคุณเธอจึงพูดขึ้นว่า แหมคืนนี้คืนที่สามแล้วนะจ๊ะ…

ท่อนเนื้อของคุณเธอกระชับกับรูลูกจันทร์ดีจริงๆ ดิฉันตามใจเธอทุกๆ อย่างแล้วเธอก็ห่มตัวกดลงที่รูลูกจันทร์ของดิฉันชักเข้าชักออก วุ๊ย? สบายดีจัง รู้สึกเสียวปร๊าบแปร๊บเข้าถึงหัวใจสนุกก็สนุก เพราะเวลาที่กำลังอยู่อย่างคาหนังคาเขานั้นมันแสนมันและทั้งคันเหลือสุดที่จะคัน มีรสโอชะอันยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดเท่ากับไปชมสวรรค์มา นับว่ามันเปนของยากที่จะเล่าให้หล่อนฟังโดยละเอียดได้ ว่ารสมันดีเพียงไร และต่อมาดิฉันก็หายเจบไม่มีแต่ความสนุกสบายรื่นเริงเพลิดเพลินจริ๊งจริ๊งจริงๆ –

แหมบ่ายแล้วดิฉันขอลาก่อนน๊ะค๊ะประเดี๋ยวคุณกลับมาจากทำงานจงคอยดิฉันขอลาทีน๊ะค๊ะ โอกาสว่างๆ จะมาเที่ยวเล่นด้วยอีก แหม? เพลินไป สวัสดี

๒๔/๒/๗๘”

อนึ่งบทจบเรื่องของดรุณีนางนี้ เธอใช้คำว่า ‘สวัสดี’ ปิดท้าย ต่อด้วยระบุวันที่บันทึก 24 ก.พ. 2478 ซึ่งพบว่าเกิดขึ้นก่อนวันที่ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) บัญญัติใช้กับลูกศิษย์ที่ปรากฏในจดหมายวันที่ 27 ก.พ. 2478 [26] เพียง 3 วัน ภายหลังคำว่า ‘สวัสดี’ นี้ เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้เลือกใช้เป็นคำทักทายสำหรับคนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2486 อย่างไรก็ตาม เท่าที่พบมีการใช้คำว่าสวัสดีตั้งแต่สมัย ร.ศ. 108 (พ.ศ. 2432) โดย ‘ศรีโหม้’[27]


มวยในบ้าน การเสพด้วยวิธีต่างๆ ( 9 หน้า )


เนื้อหาการร่วมเพศด้วยวิธีต่างๆ


เรื่องที่ 2 ปรากฎการเขียนตัวหนังสือตัวโตไว้มุมบนซ้ายมือว่า ‘มวยในบ้าน’ และขึ้นหัวข้อว่า ‘การเสพด้วยวิธีต่างๆ’ ประกอบด้วยกระบวนท่าร่วมเพศจำนวน 43 ท่า บ้างมีชื่อกำกับ บ้างละไว้ อิริยาบถเหล่านี้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับตำราเพศศาสตร์ที่ชื่อว่า ‘พระตำรับกษัยกล่อนพิสดาร’ ซึ่งมีจำนวน 60 ท่า[28] มากกว่าในสมุดจดเล่มนี้อยู่ 17 ท่า แต่หลายท่ามีชื่อเหมือนกัน เช่น จรเข้กลบดาน, กบดานติดกัน, กบดานชี้ฟ้า, อาบน้ำเด็ก เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ จึงพอจะเชื่อได้ว่าท่าร่วมเพศเหล่านี้น่าจะเป็นภูมิปัญญาที่สังคมได้สะสมจากแหล่งความรู้เดียวกันมานับแต่อดีตกาลเช่นเดียวกับ พระตำรามวยบ้าน (ร.ศ. 131) ที่พบว่ามีกระบวนเพลง 49 ท่า[29]   

ณ ที่นี้ขอนำเสนอชื่อ  ‘มวยในบ้าน การเสพด้วยวิธีต่างๆ’ ทั้ง 43 ท่า พร้อมบทบรรยายบางส่วนดังต่อไปนี้

๑. จรเข้กลบดาน ให้หญิงนอนหงายแหกขาทั้งสองออก ฝ่ายชายคุกเข่าลงตรงหว่างขา เอนตัวก้มลงไปจนน่าอกติดกัน มือขวาของชายทับพื้นยันที่นอนไว้ ให้หญิงสอดมือขวามาจับลึงค์ของชายนำใส่เข้าในรูโยนีของตน ฝ่ายชายกดก้นลงจนลึงค์เข้าไปมิดรูหีแล้วกระเด้าลง มือจับนมและขยี้หัวนม จี้บั้นเอวของหญิงให้เกิดสนุกจนน้ำกามออก. จะเปนเพลงที่ผัว-เมียสังวาสกันตามปกติ

๒. กบดานติดกัน

๓. กบดานตีนชี้ฟ้า

๔. จันทร์ครึ่งซีก ให้หญิงนอนหงายขวางเตียง ขาข้างหนึ่งห้อยลงข้างล่าง อีกข้างหนึ่งยกชันที่แง่เตียงหรือให้ชายจับให้ตั้งไว้ หีของหญิงปลิ้นครึ่งซีกอยู่บนน่าเตียง ให้ชายยืนตรงหว่างขาของหญิง เอามือของตนจับลึงค์ทิ่มเข้าไปในรูหีกระเด้าเร็วๆ กดจนมิดลึงค์ มือก็จับนมตาก็คอยดูลึงค์ สนุกนักชอบใจหญิงไม่กลั้นน้ำกามไว้ได้เลย ต้องออกล้นรูหีทีเดียว ฯ.

๕. หนุมานค่อมคน (กลับเพศที่ ๑) ให้ชายนอนหงายเหยียดขาตรงปั่นลึงค์ให้ลุกชี้ หญิงถ่างขาคร่อมช่วยเอามือหนึ่งจับลึงค์ชายใส่รูโยนีของตน ให้หญิงกระเด้าช้าๆ ชายกระเด้งรับทุกครั้ง อย่าลืมเอามือเล่นนม, หี, ตูด, จนสำเร็จ ฯ.

๖. กลับเพศแบบสอง …

๗. รับมีดโกน ให้ชายนอนหงายหญิงนั่งยองๆ แต่หันหลังให้คร่อมกับลึงค์ชายยัดเข้าไปในรูปหี แล้วยกก้นขึ้นกระเด้าเสมอมือของหญิงจับกระโปกเล่น ฯ.

๘. ยืนกลบคาน …

๙. นอนมองพระจันทร์ ให้หญิงนั่งยองๆ หันหลังคร่อมชายเหมือนเพลงที่ ๗ แปลกแต่ว่าให้หญิงยกเข่าขึ้นกระเด้าอย่างเดียวแลทั้งให้หญิงโน้มตัวลงไปทางปลายตีน นมของหญิงแตะกับเข่าชาย ให้ชายมองดูรูโยนีของหญิงเห็นผลุบโผล่ๆ สนุกมิใช่เล่น

๑๐. โยนีแกลบสนุก

๑๑. ยอนเสน่ห์

๑๒. (ไม่มีชื่อ)

๑๓. ยืนแทง

๑๔. แทงเสย

๑๕. เดินน่าแทง

๑๖. (ไม่มีชื่อ)

๑๗. (ไม่มีชื่อ)

๑๘. หอบเสื่อหนีมด

๑๙.-๒๔. (ไม่มีชื่อ)

๒๕. กวางเหลียวหลัง

๒๖.-๓๐. (ไม่มีชื่อ)

๓๑. ช้างประสารงา

๓๒.-๓๔. (ไม่มีชื่อ)

๓๕. ล้างกระบอกปืน

๓๖.-๓๙. (ไม่มีชื่อ)

๔๐. ตุ๊กแกตายตึก

๔๑. ลิงอุ้มแตง ให้ชายยืนขึ้นและหญิงก็ยืนเหมือนกัน ชายให้หญิงเอามือทั้งสองโอบรอบคอ แล้วจับขาหญิงให้หนีบบั้นเอวของตนไว้ สอดมือมาจับลึงค์ยัดใส่เข้าในรูโยนี พอเข้าดีแล้วให้ปล่อยมือประสารกับหญิงไว้ก้าวขาเดินรอบห้องกระเด้านิดหน่อยหรือไม่ต้องก็ได้เพราะกิริยาเช่นนั้นกระเด้าในตัวเสร็จแล้ว ควยยาวเท่าไรเข้าไปจนหมดมีรสโอชามาก อย่าลืมจูบแก้มเจ้าหล่อน ฯ.

๔๒. เยดแม่ลูกอ่อน ให้หญิงนอนให้ลูกกินนมอยู่บนเตียงแต่ให้ก้นหญิงห้อยออกนอกเตียง ให้ผัวยกขาเมียขึ้นข้างหนึ่งขึ้นพาดบนสะเอว จับลึงค์ใส่เข้าไปในรูปหีกระเด้าแต่ช้าๆ เมื่อน้ำกามจะออกให้ชักลึงค์ออกจากรูโยนีโดยเร็ว เพราะน้ำกามเข้าไปในรูหี จะทำให้น้ำนมเสียรสลงแก่เด็ก ฯ.

๔๓. อาบน้ำเด็ก

๒๕/๒/๗๘

สุจิตฺถึ ปฏิเสวิตพฺโพ

คำว่า ‘สุจิตฺถึ ปฏิเสวิตพฺโพ’ นี้ ผู้เขียนคงจะหมายความว่า ‘ควรเสพสตรีผู้สะอาดบริสุทธิ์’ แต่การใช้ไวยากรณ์แปลกไป เนื่องจากเป็นประโยคกัมมวาจก (passive voice) ควรประกอบศัพท์ว่า ‘สุจิตฺถี’ (ผู้เขียนคงหมายถึง ‘สตรีผู้สะอาดบริสุทธิ์’) เป็นอิตถีลิงค์ (feminine) ปฐมาวิภัตติ (Nominative) ว่า ‘สุจิตฺถี’ และควรประกอบกริยาให้เป็นอิตถีลิงค์ (feminine) ว่า ‘ปฏิเสวิตพฺพา’ รวมเป็น ‘สุจิตฺถี ปฏิเสวิตพฺพา – ควรเสพสตรีผู้สะอาดบริสุทธิ์’ เพื่อให้ถูกต้องตามบาลีไวยากรณ์


หน้าสุดท้ายของหัวข้อ มวยในบ้าน การร่วมเพศด้วยวิธีต่างๆ


แสดงวันแลเวลาที่ควรร่วมรสเพื่อทำให้หญิงเริงสุขล้ำ (6 หน้า)


เนื้อหาหัวข้อ วันแลเวลาที่ควรร่วมรสเพื่อทำให้หญิงเริงสุขล้ำ


บทนี้ประกอบด้วยตาราง หัวข้อ ‘ประเภทของหญิง’ 4 จำพวกคือ 1.ปัทมินี 2.จิตรินี 3.สังขินี และ 4.หัศถินี[30] และ “วันข้างขึ้นและข้างแรมที่จะทำให้หญิงมีความปลาบปลื้มเปนที่สุด” รวมถึงเวลากลางคืนและกลางวัน โดยแบ่งเป็นยามทั้ง 4 ที่เหมาะแก่หญิงแต่ละประเภท

ตารางในหน้าถัดไปยังแจกแจงอย่างพิสดารถึง ‘ศุกลปักษ์ข้างขึ้น’ กับ ‘กฤษณะปักษ์ข้างแรม’ ที่สอดคล้องกับ ‘ตำแหน่งที่อยู่ของความกำหนัด’ จำนวน 15 แห่งทั้งแต่ศีรษะจรดเท้า คือ ศีรษะและผม, ตาขวาตาซ้าย, ริมฝีปากบน, แก้มขวา, คอ, สีข้าง, ทรวงอก, เต้าถันทั้งคู่, สะดือ, ท้องน้อย, โคกสวรรค์, หัวเข่า, ปลีน่อง, เท้าทั้งคู่ และนิ้วหัวแม่เท้า โดยในแต่ละแห่ง จะสัมพันธ์กับหัวข้อ “วิธีปฏิบัติให้เปนที่สบใจหญิง” เช่น จูบที่ตาข้างนั้นหนักๆ นานๆ, ใช้อวัยวะที่ลับสำผัสส์คลึงใคล้ให้หนักๆ, ใช้เข่าเสียดสีหรือลูบคลำให้หนักๆ เป็นต้น

ต่อจากนั้นอีก 4 หน้าประกอบด้วยตารางแสดงที่ประจำของความกำหนัดและวิธีปฏิบัติต่อหญิง 4 ประเภทนี้


สิทธิการิยะ (2 หน้า)


ผู้จดสมุดนี้ได้เขียนคาถาให้หญิงรักปักใจในชายอย่างมั่นคง หรือว่าง่ายๆ คือการทำเสน่ห์โดยให้ชื่อเรื่องว่า ‘สิทธิการิยะ’ มีจำนวน 3 ข้อ ในที่นี้ขอยกเฉพาะสังเขปเนื้อหาข้อ 2 ว่า “ถ้าต้องการให้หญิงรักอย่างสุดสวาทขาดใจ จงหาหมากพลูมาคำหนึ่ง แล้วตั้งใจเสกด้วยคาถาบทต่อไปนี้ให้ได้ครบ ๑๐๘ ครั้งว่า ‘ โอม กาเมศวะระ – (ออกชื่อหญิงที่เราต้องการให้นั้น) อานะยะๆ วะศะตำ กลี. เสร็จแล้วยื่นให้หญิงกิน หมากดำนั้นจะมีรสอร่อยเลิศและหญิงรักเรานักแล”

อีกทั้งยังมีมนต์แบบจำเพาะสตรีทั้ง 4 ประเภทที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อก่อนหน้าว่า ‘ใช้มนตร์ตามลักษณะหญิง’ โดยจะใช้เสกลงในใบพลู เป็นจำนวน 100 หน กรณีปัทมินี หรือ 1,000 หนบ้างในกรณีจิตรินี เป็นต้น พร้อมกำกับคาถาให้เสก เช่น “โอม ปะจะปะจะ สวาหา” จำนวน 108 หนในกรณีหญิงประเภทสังขินี ทั้งยังเสริมว่า “หรือถ้าหญิงนั้นไม่กินหมาก จะเสกลงในดอกไม้หอมสอาดให้หญิงก็ได้ ให้ทำในวิธีเดียวกันทุกอย่าง”


“ชายที่ไม่เคยร่วมรสควรทำอย่างไร?” (1 หน้า)

ในหน้าลำดับถัดไป บันทึกนี้ยังเสริมคู่มือสำหรับเด็กชายเวอร์จิ้นไว้ 1 หน้า  โดยเริ่มย่อหน้านำว่า “ในเมื่อได้แลเห็นกายของหญิงปราศจากเครื่องปกปิดและอวัยวะลี้ลับแห่งธรรมชาติได้ชัดโชนเด่นอยู่เฉพาะหน้าแล้วฉะนี้ ชายผู้ใหม่ต่อประเวณีย่อมต้องถึงซึ่งอาการตลึงงันแน่นอน และนึกมิออกโดยสมองมืดทึบไปหมดว่าจะเริ่มทำอย่างไรต่อไป และที่ตรงไหน. – – – …”


สารพัดท่าร่วมเพศ หงาย-ตะแคง-นั่ง-ยืน-คว่ำ (6 หน้า)


เมื่อพลิกหน้าถัดมาจะเป็นบันทึกว่าด้วยการอธิบายวิธีร่วมประเวณีในอิริยาบถของสตรีต่างๆ เริ่มจาก

นอนหงาย 11 ท่า

“อุตตานะนันธา-เมื่อหญิงนอนหงาย” ที่อธิบายเกริ่นนำเล่มว่า “ตามประเพณีการร่วงโลกีย์รสอันเคยปฏิบัติมาเปนปกติ ก็คือ ในเมื่อหญิงทอดกายหงายหลังลงราบกับพื้นแล้ว ชายก็เข้าทำกิจตามความปรารถนาในระหว่างขาของหล่อน” อันมีวิธีทำอยู่ 11 ท่า ประกอบด้วย

ท่าที่ 1 “สมปาท-นันธา” เมื่อหญิงนอนหงายแล้ว “ให้ชายนั่งคุกเข่าระหว่างกลางแล้วยกขาทั้งสองของหล่อนขึ้นพาดบ่า”

ท่าที่ 2 “นาคราอุตตาน-นันธา” เมื่อหญิงนอนหงายแล้ว “ให้ชายนั่งคุกเข่าระหว่างกลางและยกขาทั้งสองของหล่อนโอบขึ้นพาดไว้ที่สะเอวของเขาข้างใดข้างหนึ่ง เริ่มประกอบโลกีย์กิจอันแสนหวาน

ท่าที่ 3 “ตรัยวิกรมาอุตตาน-นันธา”… ท่าที่ 4 “วโยมปาทอุตตาน-นันธา” ท่าที่ 5 “สมรจักราสน-นันธา”… ท่าที่ 6 “อวิดาริต[31]-นันธา”… ท่าที่ 7 “สะอุมย-นันธา”… ท่าที่ 8 “ชริมนิต-อาสนา”… ท่าที่ 9 “เวศตีต[32]-อาสนา”… ท่าที่ 10 “เวนุวิทริตา[33]-นันธา” และท้ายสุด ท่าที่ 11 “สยุตมาอุตตนา-นันธา”

นอนตะแคง 3 ท่า

 “ติรยัค-เมื่อหญิงนอนตะแคงข้างมี ๓ ท่า” คือ “วินกติรยัค-นันธา”, “สัมปุตติรยัค-นันธา” และ “การกาตารีติรยัค-นันธา”

นั่ง 10 ท่า

ต่อด้วย “อุปาวิศตา-เมื่อหญิงนั่งในท่าต่างๆ ๑๐ ท่า” ขนานนามว่า

ท่าที่ 1 “ปัทม-อาสนา” ท่าที่ 2 “อุปาท-อาสนา” ท่าที่ 3 “ไวทุริต-อาสนา” ท่าที่ 4 “ปานิปาส-อาสนา” ท่าที่ 5 “สัญญามัน-อาสนา” ท่าที่ 6 “โกรมัต-อาสนา” ท่าที่ 7 “ปาริตวารติด-อาสนา” ท่าที่ 8 “อุตมาปาท-อาสนา” ท่าที่ 9 “วินาทิดา-อาสนา” ท่าที่ 10 “มารคตา-อาสนา”

ยืน 3 ท่า

“อุตถิตา-เมื่อหญิงยืนในท่าต่างๆ ๓ ท่า” คือ “ชาณุ-กุรุ-อุตถิด-นันธา”, “หริวิกรมา-อุตถิตนันธา” และ “กีรติ-อุตถิต-นันธา”


เนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับการร่วมเพศสารพัดท่า


นอนคว่ำ 2 ท่า

ต่อด้วย “วยานต นันธา – เมื่อหญิงนอนคว่ำ ๒ ท่า” คือ “เทนุก-วยาตน-นันธา” และ “อัยภา-วยานต-นันธา” 

ท่าพิเศษ

ปิดท้ายด้วย ‘ท่าพิเศษ’ มีนามว่า “อุตทิต-อุตตาน-นันธา” เป็นท่าที่ยอดเยี่ยม ซึ่งแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะได้พยายามพลิกแพลงเท่าไรๆ ก็ไม่เปนที่ถึงใจกันแล้วจงกระทำในท่านี้…

๑๗/๔/๗๘


การหลั่งฤดูของสตรี (4 หน้าครึ่ง)


ในหน้าถัดมา กล่าวถึงหัวข้อ “การหลั่งฤดูครั้งแรกของสตรีเปนการแสดงโรค” เช่น สตรีใดหลั่งฤดูครั้งแรกในข้างขึ้นย่อมมีสภาพประเสริฐกว่าข้างแรม แสดงลำดับต่อเนื่อง สตรีใดตกฤดูครั้งแรกในวันขึ้นหรือแรม 1 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ และ “การตกฤดูในระหว่าง ๗ วันของสัปดาห์” นับแต่วันอาทิตย์ถึงวันเสาร์ ต่อด้วย “การตกฤดูในระหว่าง ๑๒ เดือน” นับแต่เมษายน ถึง มีนาคม ปิดท้ายด้วย “โชคเวลาการหลั่งฤดู” อีก 3 เวลา คือ ‘ตอนกลางวัน’ ‘เวลาพลบค่ำ’ และ ‘เวลากลางคืน’


เนื้อหาเกี่ยวกับการหลั่งฤดูของสตรี


โคลง 4 สุภาพ 8 บท (1 หน้าครึ่ง)


สมุดจดเล่มนี้ ผู้บันทึกนิรนามปิดท้ายด้วยการแต่งโคลง 4 สุภาพในหัวข้อ “เสพกามารมณ์” ไว้ทั้งสิ้นจำนวน 8 บท ณ ที่นี้ขอคัดเฉพาะ 4 บทแรกดังมีรสชาติดังต่อไปนี้

๏ นอนทับบนอกแล้ว พูดจา

ล้อเรียนคำนันจา หยอกเย้า            

สองมือก็จับขา ถ่างออก ไปเฮย

เนื้อแข็งก็ยัดเข้า แช่ไว้ในรูลูกจันทร์

๏ เนื้อแข็งเข้าไปดิ้น ในรู

กะตุบกะตับดู หมั่นไส้

รู้สึกปวดเจ็บรู ลูกจันหนาแม่

เอามือผลักเธอให้ แต่ไร้ ผลลง

๏ เข้าสมสู่อยู่ด้วย เมียตน

ห้องสั่นราวกับคน แกล้งเฮย

สองคนร่างกบบน เหงื่อโชก

คนข้างนอกร้องว่าเฮ้ย แน่โว้ยเย็ดกัน

๏ ขยับจับกัดแล้ว ถันมิด

คับแคบแสบนิดๆ เสียวแท้

เด้งฉันกดมิด ถึงโคนขาเทียวพ่อ

สูบออกสูบเข้าแฮ อร่อยแท้อะไรปราณ


โคลงสี่สุภาพ เสพกามารมณ์


ปัจฉิมบท


เรื่องราวในสมุดจดหลังปฏิวัติ 2475 เล่มนี้[34]มีความหลากหลายนับแต่ข้อความแรกจนถึงหน้าสุดท้ายที่ล้นทะลักจนถึงปกหลังด้านใน นับจากเรื่องสั้นร่วมสมัย ดรุณีประวัติ ที่บรรยายฉากอย่างว่าอย่างโจ๋งครึ่ม จนถึงลักษณะคัมภีร์โบราณภาษาสละสลวย เช่น มนต์เสน่ห์สิทธิการิยะ หรือการดูฤกษ์ยามเพื่อร่วมสังวาส แม้แต่ร้อยกรองปิดท้ายในรูปแบบโคลง 4 สุภาพที่ดูออกจะทะลึ่งตึงตัง (สันนิษฐานว่าเป็นของผู้บันทึก เมื่อพบร่องรอยดินสอจางๆ ตอนจบว่า “บทนี้แต่งเอง”)

ช่วงระยะเวลาที่บุคคลนิรนามผู้นี้บันทึกคือระหว่างปี พ.ศ. 2478-2479  ถึงแม้จะถูกพบเพียง ‘เล่ม ๑’ ทั้งมิอาจฟันธงได้ถึงเจตนารมณ์ของเจ้าของว่าเพื่อใช้เป็นการส่วนตัวหรือตระเตรียมเพื่อจัดพิมพ์ กระนั้นลำพังเนื้อหาจำนวน 40 หน้าเศษเท่าที่ปรากฏอยู่นี้ก็นับว่าสะท้อนถึงฉันทะอันแรงกล้าของผู้เขียนที่รวบรวมสารัตถะเรื่องเพศได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ท้ายสุดนี้ ก็เพียงแต่อธิษฐานว่าชะตากรรมของ ‘เล่ม ๒’ หรือเล่มถัดๆ มา (หากมีมากกว่านั้น) ยังคงไม่อาภัพดับสูญไปจากบรรณพิภพ หากเคราะห์ดียังดำรงชีวิตอยู่  สักวันคงได้ปรากฏโฉมให้เป็นที่โสมนัสแด่สาธุชนเทอญ 



[1] สุกัญญา สุจฉายา, ไขความรู้วรรณกรรมตำราเพศศาสตร์ https://www.youtube.com/watch?v=fcTtWz2Wf1k นาทีที่ 10

[2] สุกัญญา สุจฉายา, ทัศนคติเรื่องเพศของคนไทย จากผลงานวิจัยชุดวรรณกรรมตำราเพศศาสตร์ของคนไทยภาคกลาง, วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ ปีที่ 26 ฉบับที่ 2 (ก.ค.-ธ.ค. 2562), น.7-8.

[3]สุกัญญา สุจฉายา, อ้างแล้ว, น.24.

[4] สุกัญญา สุจฉายา, อ้างแล้ว, น.2.

[5] ธีรยุทธ พบหิรัญ, ความผิดอาญาฐานการครอบครองสื่อลามกอนาจาร ที่ผู้ถูกถ่ายไม่ยินยอมกับกฎหมายอาญา, วิทยานิพนธ์หลักสูตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พ.ศ.2562, น.35.

[6] กังฟู ไทยเพลย์บอย เปลี่ยนความแค้นเป็นแรงผลักดัน ก้าวสู่อันดับ 1 หนังสือโป๊เมืองไทย เข้าถึงได้จาก https://www.thepeople.co/read/interview/25374

[7] อภิลักษณ์ เกษมผลกูล, ผูกนิพพานโลกีย์, พ.ศ.2550,(มติชน).

[8] ชูดาว (นามแฝง), พระเอ็ดยง หัสเดียมคดีของคุณสุวรรณ, ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 17 ฉบับที่ 10 สิงหาคม 2539.

[9] วีรวัฒน์ อินทรพร, สรรพลี้หวน การศึกษาในแง่สังคมวิทยาวรรณคดี, พ.ศ.2552, ภาควิชาสารัตถศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

[10] สุกัญญา สุจฉายา, ทัศนคติเรื่องเพศของคนไทย จากผลงานวิจัยชุดวรรณกรรมตำราเพศศาสตร์ของคนไทยภาคกลาง, วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ ปีที่ 26 ฉบับที่ 2 (ก.ค.-ธ.ค. 2562), น.6.

[11] “พระตำรับโยนี” หนังสือโป๊ที่เก่าแก่ที่สุดของไทย (ฉบับพิมพ์) เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/photos/a.140180076111393/1244116125717777/

[12] “พระตำรับแก่กล่อน” ตำราทางเพศหายากแบบไทย เปิดเคล็ดปรุงยา-ทำนายลักษณะนารี เข้าถึงได้จาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_35445

[13] สมิทธ์ ถนอมศาสนะ, กำเนิด “เรื่องอ่านเล่นร้อยแก้วสมัยใหม่”: ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบและบริบททางความคิด, วารสารสงขลานครินทร์ ฉบับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์  ปีที่ 21 ฉบับที่ 2 เม.ย.-มิ.ย. 2558, น.133-190.

[14] วิลาศปริวัตรานุสรณ์, พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงวิลาศปริวัตร (เหลี่ยม วินทุพราหมณกุล) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 21 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2509, (อักษรสัมพันธ์).

[15] ธรรมเกียรติ กันอริ, เผยชีวิต “ครูเหลี่ยม” ผู้เปิดฉากนวนิยายไทยเรื่องแรก ด้วย “ความไม่พยาบาท” เข้าถึงได้จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_83557

[16] นายสำราญ (นามแฝง), ประโลมโลกยความเรียง เรื่องความไม่พยาบาท ภาค 1-2, พ.ศ.2458, (โรงพิมพ์ไทย).

[17] สง่า กาญจนาคพันธุ์ (ขุนวิจิตรมาตรา), 80 ปีในชีวิตข้าพเจ้า อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนนาคพันธุ์) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม 9 ตุลาคม 2523, (บัณฑิตการพิมพ์),น.230.

[18]แมท ช่างสุพรรณ,  ‘ตลุยลอนดอน’ หนังสือปกขาวที่คลี่คลายปริศนาบางประการของประวัติศาสตร์วรรณกรรมกามบันเทิง เข้าถึงได้จาก https://themomentum.co/old-thai-erotic-books/

[19] สรณัฐ ไตลังคะ, เพศวิถีและอารมณ์ปรารถนา: ครูเหลี่ยมกับนวนิยายอีโรติกของไทย, จะเก็บเกี่ยวข้าวงามในทุ่งใหม่: ประวัติวรรณกรรมไทยร่วมสมัยในมุมมองร่วมสมัย, พ.ศ.2557, น. 32-46 เข้าถึงได้จาก https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/index.php/kukr/search_detail/result/357166

[20] พระราชบัญญัติ ปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พุทธศักราช 2471, ราชกิจจานุเบกษา วันที่ 29 กรกฎาคม 2471 เล่ม 45 หน้า 114-116 เข้าถึงได้จาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2471/A/114.PDF

[21] ธีรยุทธ พบหิรัญ, ความผิดอาญาฐานการครอบครองสื่อลามกอนาจาร ที่ผู้ถูกถ่ายไม่ยินยอมกับกฎหมายอาญา, วิทยานิพนธ์หลักสูตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พ.ศ.2562, น.36-37.

[22] นิธิ เอียวศรีวงศ์, กามารมณ์ไทย, มติชนสุดสัปดาห์ 10 กุมภาพันธ์ 2555 เข้าถึงได้จาก https://kradoompi.wordpress.com/2012/04/12/กามารมณ์ไทย/

[23] ประวัติศรีบูรพา เข้าถึงได้จาก https://www.sriburapha.net/ประวัติศรีบูรพา/

[24] ส.พลายน้อย, “ครูเหลี่ยมผู้เขียนนวนิยายไทยคนแรก”, ใน ความไม่พยาบาท. 2545, น.(95). อ้างจาก สรณัฐ ไตลังคะ, เพศวิถีและอารมณ์ปรารถนา: ครูเหลี่ยมกับนวนิยายอีโรติกของไทย.

[25] เทวัญ มังคละชาติกุล, ผลต่อบุคคลที่สามของสื่อลามกอนาจารบนอินเตอร์เน็ตและการสนับสนุนการเซ็นเซอร์, วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พ.ศ.2549, น.24.

[26] ชุมนุมนิพนธ์ “อ.น.ก.” นิสสิตอักษรศาสตร์ทุกรุ่น แห่ง จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อฉลองพระคุณ อำมาตย์เอก พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ศ.2484, (โรงพิมพ์พระจันทร์ ).

[27] ยุวดี วัชรางกูร, “สวัสดี” จาก…ศรีโหม้ เข้าถึงได้จาก https://story.pptvhd36.com/@yuvadee/5a1e50c702353

[28] SEX ท่ายาก-ใช้อุปกรณ์เสริม จากตำราเพศ คนโบราณแนะ ไม่น่าเบื่อ-เพิ่มมหาสนุก เข้าถึงได้จาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_77160

[29] อภิลักษณ์ เกษมผลกู, วรรณกรรมตำราเพศศาสตร์ในฐานะ “ตำราสร้างสุข” ของคู่รักในวัฒนธรรมไทย ใน ไขความรู้วรรณกรรมตำราเพศศาสตร์, พ.ศ.2563, (สามลดา), น.67.

[30] 4 จำพวกนี้ เป็นลักษณะสตรีในตำรากาม คำว่า “สังขินี” ภาษาสันสกฤตเขียนว่า “ศังขินี” ส่วน คำว่า “หัศถินี” ภาษาสันสกฤตเขียนว่า “หัสตินี” และภาษาบาลีเขียนว่า “หัตถินี”

[31] ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า “อวิทาริต”

[32] ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า “เวษฏิต”

[33] ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า “เวณุวิทาริต”

[34] หมายเหตุ  บทความนี้คงตัวสะกดไว้ตามต้นฉบับ และมิได้ทำเชิงอรรถคำสันสกฤตที่ถูกต้องไว้ทั้งหมด เนื่องจากไม่มีแหล่งที่มาของข้อมูลในต้นฉบับ อนึ่ง พึงสังเกตว่า ผู้เขียนต้นฉบับคงมิได้ศึกษาภาษาบาลีและสันสกฤตนัก และเขียนคำเดียวกันแตกต่างกันหลายแห่ง ทั้งนี้ ผู้เขียนขอแสดงความขอบคุณ สุกัญญา เจริญวีรกุล (บ.ศ.9) ในการพิสูจน์อักษรบทความนี้

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save