fbpx
เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส : จาก 'มือปราบตงฉิน' สู่ ‘แนวหน้าฝ่ายค้าน’ 

เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส : จาก ‘มือปราบตงฉิน’ สู่ ‘แนวหน้าฝ่ายค้าน’ 

พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล เรื่อง

เมธิชัย เตียวนะ ภาพ

 

นับตั้งแต่วันเปิดสภาเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หนึ่งในไฮไลท์ของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในแต่ละสัปดาห์ คือการอภิปรายของพรรคร่วมฝ่ายค้านในประเด็นต่างๆ

ตัวละครหนึ่งที่นับเป็นตัวชูโรงหรือ ‘แนวหน้า’ ในการเปิดประเด็นอภิปราย คือพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ซึ่งปล่อยหมัดหนักตั้งแต่การอภิปรายคุณสมบัติคนที่ถูกเสนอชื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ผ่านวลีเด็ดที่ส่งตรงถึงพลเอกประยุทธ์ว่า “แม้แต่ให้เป็นยามหน้าบ้าน ผมยังไม่ให้เป็นเลย”

เรื่อยมาถึงการอภิปรายปมถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน, การออกตัวว่าเป็นผู้ประสานกับสื่อออสเตรเลียในการเปิดโปงหลักฐานอื้อฉาวของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า กระทั่งล่าสุด ในฐานะประธานกรรมาธิการป้องกันและปรามปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ คือการร้องขอเอกสารจากกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อตรวจสอบ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ว่าวางตัวไม่เป็นกลางในการเอื้อประโยชน์แก่พรรคการเมืองบางพรรคระหว่างหาเสียง รวมถึงการละเลยไม่ตรวจสอบการก่อสร้างอาคารฝ่ายนิทรรศการและศิลปกรรม กรมประชาสัมพันธ์ วงเงิน 25 ล้านบาท

“สมัยเป็นตำรวจ ผมจับมาหมดแล้ว ตั้งแต่ ส.จ. ส.ท. ส.ส. เทศมนตรี นายกเทศมนตรี รัฐมนตรี เยอะแยะไปหมด แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมี ผมไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรอก”

ด้วยภาพลักษณ์ของการเป็นมือปราบตงฉิน ประกอบกับบุคลิกที่เด็ดขาด ตรงไปตรงมา ไม่กลัวใคร น่าสนใจว่าเมื่อเขาตัดสินใจมาลงสนามการเมือง เขาพบเห็นอะไร เผชิญความท้าทายอะไรบ้าง และการเป็นนักการเมือง เป็นผู้บริหารพรรค แตกต่างจากงานบริหารตำรวจหรือไม่อย่างไร

ยังไม่นับว่า ในวัย 71 ปี เขามองอนาคตตัวเองอย่างไรถัดจากนี้ จะปักหลักอยู่ในสนามการเมืองไปยาวๆ หรือไม่ วางเป้าหมายของตัวเองและพรรคไว้อย่างไร

101 จับเข่าคุยกับเสรีพิศุทธ์แบบยาวๆ ไล่เรียงตั้งแต่ชีวิตหลังเข้าสภา มุมมองการเมืองภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ บทบาทในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไปจนถึงเรื่องเล่าและประสบการณ์ในฐานะ ‘พี่ใหญ่’ ทั้งในแวดวงทหารและตำรวจ

 

เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส

 

ชีวิตหลังเข้าสภาเป็นยังไง แต่ละวันทำอะไรบ้าง

เราจะมีประชุมสภาทุกวันพุธ-พฤหัส ผมจะให้เวลากับสภาเต็มที่ ปิดสภาเมื่อไหร่ถึงจะกลับ ไม่ใช่โผล่ไปว็อบๆ แว็บๆ หรือหนีออกมาก่อน แบบนั้นไม่เอา ผมต้องการสร้างความเป็นระเบียบวินัยของ ส.ส. ในพรรคเราด้วย เวลาเข้าสภา ต้องทำงานให้เต็มที่ เพราะสภาถือเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และมีเกียรติ เป็นหนึ่งในสามอธิปไตยของบ้านเมืองเรา คือนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ

ส่วนช่วงวันจันทร์-อังคาร จะไปไม่ไหน ใครนัดอะไรก็ต้องขอเว้นไว้ เพื่อให้ได้เตรียมงานในสภาอย่างเต็มที่ งานในสภาไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นงานส่วนตัวของผมเท่านั้น ไม่ใช่ แต่เราจะดูว่าสมาชิกของเราอีก 9 คน ใครควรจะดูเรื่องไหนยังไงบ้าง

พรรคเราเป็นพรรคใหม่ เพิ่งลงเลือกตั้งครั้งนี้ครั้งแรก เรามี ส.ส. ใหม่ 8 คน จาก 10 คน ฉะนั้นต้องให้สมาชิกพรรคได้ฝึกและเรียนรู้ วิธีการอภิปรายต่างๆ ต้องถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ พยายามให้เขาคิดหาประเด็น หรือถ้าเรามีประเด็นอะไร ก็จะแจ้งให้เขาไปศึกษามา

เวลาอีกส่วนหนึ่งก็จะใช้ในการประชุมปรึกษาหารือกับ 7 พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกันให้เป็นปึกแผ่น ต้องอาศัยการพบปะหารือกันบ่อยๆ เพราะการจะมีมติหรือผลักดันอะไรก็แล้วแต่ ยกมือเห็นด้วยไม่เห็นด้วย คัดค้านไม่คัดค้าน มันต้องเป็นระบบ อีกส่วนที่เราจะให้เวลาเยอะเหมือนกัน ก็คือในฐานะหัวหน้าพรรค เราต้องบริหารพรรคเพื่อให้พรรคเดินได้ต่อไปได้ เอาเข้าจริงเวลา 7 วันนี่ไม่พอหรอก มีอะไรให้ทำตลอด

 

ในฐานะ ส.ส. ตัวคุณเองก็ถือเป็นมือใหม่ พบความท้าทายอะไรใหม่ๆ บ้าง

แม้ผมจะเป็น ส.ส. ครั้งแรก เป็นคนใหม่ในสภาก็จริง แต่เป็นมือใหม่รึเปล่าก็อีกเรื่อง

ถ้าพูดถึง ส.ส. มือใหม่ ก็อาจหมายถึงเด็กอายุ 27-28 ที่เพิ่งเข้ามา หรือบางคนอยู่ในบัญชีรายชื่อของบางพรรค แล้วดันได้เข้ามาเยอะ เป็นคนที่ไม่คาดว่าจะได้เข้ามาในสภา ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไหร่ นั่นคือส.ส.มือใหม่ และหน้าใหม่ด้วย

แต่อย่างผม หน้าใหม่แต่มือไม่ใหม่ เพราะอะไร เพราะเราเคยเป็นผู้บริหารในระดับสูง เป็นหัวหน้าหน่วยงานของตำรวจ คุณประยุทธ์เป็นผบ.ทบ. ยังเป็นนายกได้ ผมก็เคยเป็นผบ.ตร. ทำไมจะเป็นไม่ได้ ถูกไหม ฉะนั้นผมไม่ใช่มือใหม่หรอก เรารู้ระเบียบกฎหมาย รู้ข้อบังคับต่างๆ พอสมควร

ข้อบังคับของสภาอาจยังรู้น้อยไปหน่อย เพราะเพิ่งเข้ามา แต่ถ้าพูดถึงข้อบังคับอื่นๆ กฎระเบียบอื่นๆ กฎหมายอื่นๆ หรือวิธีการปฏิบัติอะไรต่างๆ ผมน่าจะเชี่ยวชาญกว่าบางคนที่เป็น ส.ส. มาหลายสมัยด้วยซ้ำ

 

เชี่ยวชาญกว่ายังไง

เพราะพวกนั้นไม่ใช่นักบริหาร เรียกว่าเป็นนักเลือกตั้งมากกว่า พบปะพูดคุยกับชาวบ้าน เอาใจชาวบ้าน ยกมือไหว้ ไปงานศพ หรือบางทีก็ซื้อเสียงกันมา เลยได้เข้ามาเป็น ส.ส. เกือบทุกสมัย แต่เขาอาจไม่ใช่นักบริหาร ไม่เคยผ่านงานบริหารมาเหมือนผม อย่างผมเอง ทำงานบริหารมาเยอะ พอได้เข้าสภาก็เห็นอะไรที่ต้องปรับปรุงมากมายพอสมควร

 

เช่นอะไรบ้าง

อย่างการประชุมสภาผู้แทนฯ ก็มีบางเรื่องที่ไม่ค่อยถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ ตามรัฐธรรมนูญ เราก็ต้องแย้ง ต้องพูด เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขกัน ยกตัวอย่างว่า ก่อนประชุมสภา ไม่ว่าวันพุธ หรือพฤหัส ไม่ว่าสภาสมัยก่อนๆ หรือสมัยปัจจุบันที่คุณชวนเป็นประธานสภา ก็จะทำแบบเดิมๆ คือก่อนเข้าวาระประชุม เขาจะให้ ส.ส. หารือกันคนละ 2 นาที เรื่องที่หารือจะเป็นเรื่องที่ ส.ส. เอาเรื่องหรือปัญหาในพื้นที่มาหารือต่อประธานสภา เพื่อส่งไปยังรัฐบาลให้แก้ไขปัญหา เช่น ในพื้นที่ของเขา จราจรติดขัด ควรตัดถนนเพิ่มตรงนั้นตรงนี้ หรือกทม. มาซ่อมท่อแล้วเปิดฝาทิ้งไว้ คนพลัดตกลงไปบาดเจ็บ ฉะนั้นก็จะมีทั้ง ส.ส. ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ส่งรายชื่อเพื่อขอหารือเต็มไปหมด ซึ่งเขากำหนดให้คนละ 2 นาที

ประเด็นคือมันมีการถ่ายทอดสดด้วยไง การที่เขาได้โอกาสพูด ก็เหมือนได้หาเสียงกับคนในพื้นที่ แสดงให้เห็นว่า ส.ส.คนนี้เอาใจใส่นะ ปรากฏว่าช่วงแรกๆ ตอนเปิดสภา คุณเชื่อไหม ระยะเวลาหารือนี่กินไป 4 ชั่วโมง แทบไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าพูดแล้วไม่ได้อะไรนะ แต่หมายความว่าพวกญัตติด่วน กระทู้ด่วนที่สำคัญๆ กลับไม่ได้พิจารณาสักที มีแต่เรื่องสัพเพเหระเหล่านี้

ถ้าผมเป็นประธานสภา ไม่ว่าฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาลที่จะขึ้นมาหารือ คุณทำเป็นหนังสือมาเลยได้ไหม ทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร แล้วส่งต่อไปให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพิจารณาเลย นี่เท่ากับว่าคุณได้แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนแล้ว โดยไม่ต้องเสียเวลามาอภิปรายกันถึง 4 ชั่วโมง

คุณลองคิดดูนะ อย่างวันพุธ เราเริ่มประชุมบ่ายโมง เสียเวลาไปเท่าไหร่ ตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมง มาเริ่มเข้าวาระจริงๆ ตอนห้าโมง แล้วเลิกสามทุ่ม เขาก็ทำกันอยู่อย่างนี้ จนผมรู้สึกว่าไม่ไหว ผมก็บอกท่านประธานว่า มันมากเกินไปนะ วาระมันไม่ขยับเลย อย่างเรื่องรถไฟความเร็วสูง กับโครงการ EEC ตั้งแต่เปิดสภามา เพิ่งได้มาเข้าวาระเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เพราะมัวเสียเวลาอยู่กับเรื่องสัพเพเหระ เราก็อภิปรายแจ้งไป ก็โอเค เขาก็ปรับเวลาลงมา จาก 4 ชั่วโมง เหลือ 1 ชั่วโมง เข้าสู่วาระเร็วขึ้น

ปรากฏว่าทำได้วันเดียว พวก ส.ส. ที่อยากออกหน้าจอ อยากหาเสียง ก็ไปคุยกับประธานสภาใหม่ รุ่งขึ้นประธานก็ปรับเวลาให้เป็น 2 ชั่วโมง ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณยังจะไปยึดเรื่องส่วนตัวกันอยู่ อยากหาเสียงอย่างเดียว คุณจะมาเสียเวลาอภิปรายแบบนี้ทำไม ถ้าอยากแก้ปัญหา คุณก็ทำเรื่องถึงรัฐมนตรีโดยตรงเลยสิ หมดเรื่อง เร็วกว่าด้วย ไม่ใช่ว่ารอมาพูดในสภา แล้วให้สภาบันทึก แล้วถึงส่งเรื่องไปยังรัฐมนตรี

ยิ่งในเมื่อคุณเป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย คุณทำหนังสือถึงรัฐมนตรีเลยสิ เช่น ถ้าเป็นเรื่องสาธารณสุข คุณเป็นลูกพรรคของรัฐมนตรีอยู่แล้ว ทำเรื่องไปเลย ยังไงรัฐมนตรีเขาก็อยากแก้ไขปัญหาของลูกพรรคก่อนอยู่แล้ว การใช้เวลาในสภาจะได้น้อยลงด้วย ดูแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องกันเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเราเห็น ก็แนะนำไป พอปรับได้อะไรได้บ้างก็ดี

 

มีตัวอย่างอื่นๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่กว่านั้นไหม

มี เป็นเรื่องใหญ่ที่คนเป็นส.ส. 5 สมัย 10 สมัย ดูไม่ค่อยใส่ใจ แต่เราเป็นผู้บริหารหน่วยมาก่อน รู้เรื่องกฎหมายพอสมควร เห็นชัดเจนว่าการพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี ซึ่งผ่านไปแล้ว จนเสนอให้โปรดเกล้าฯ พลเอกประยุทธ์เป็นนายกแล้ว ผมยังถือว่าผิดกฎหมายนะ เพราะอะไร เพราะตามรัฐธรรมนูญแล้ว การพิจารณาคุณสมบัติ การเสนอชื่อ และการลงมติ สามขั้นตอนนี้ ตามมาตรา 159 เขาให้ทำในสภาผู้แทนราษฎร แต่นี่คุณชวนกลับให้ทำในที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งมีส.ว.อยู่ด้วย

ผมก็อภิปราย บอกว่าตามกฎหมายต้องทำแบบนี้นะ ขอให้ท่านประธานวินิจฉัยด้วย ท่านชวนก็ดำเนินการต่อไป ไม่วินิจฉัย ไม่พูด ไม่หืออือ จนผมต้องบอกว่า ถ้างั้นท่านต้องรับผิดชอบนะ ตามกฎหมาย สุดท้ายท่านก็เปิดประชุมรัฐสภา คุณคิดดู มันไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎรนะ คือมีทั้ง ส.ส. และ ส.ว. แล้วอยู่ดีๆ คุณชวนก็บอกว่า ไหนใครจะเสนอชื่อใครเป็นนายก พรรคพลังประชารัฐก็เสนอคุณประยุทธ์ พอถามว่ามีใครรับรอง เขาก็ยกมือกัน โอเค รับรอง แล้วอีกฝ่ายเสนอใคร เสนอธนาธร ใครรับรองยกมือขึ้น จากนั้นก็ให้อภิปรายไป ว่าใครเหมาะสม ไม่เหมาะสม

ผมก็อภิปรายเลย แม้แต่ให้เป็นยามหน้าบ้าน ผมยังไม่ให้เป็นเลย เพราะไม่มีคุณสมบัติ อภิปรายเสร็จก็ลงมติ ใครสนับสนุนประยุทธ์ยกมือขึ้น โดยมี ส.ว. อีก 249 คน ช่วยยก ประยุทธ์ก็ได้ 500 ธนาธรมีแค่ส.ส. ก็ได้ 240 กว่า สุดท้ายคุณชวนก็เสนอชื่อประยุทธ์เพื่อโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี

ถามว่าอย่างนี้ขัดรัฐธรรมนูญมั้ย แล้วทำไม ส.ส. ที่นั่งกันอยู่ บางคนเป็นมา 5 สมัย 10 สมัย ถึงไม่คิดกันบ้าง ผมเข้ามาสมัยแรก ทำไม่ผมคิดได้ ก็เพราะผมเป็นผู้ใช้กฎหมายมา เราพอจะรู้เรื่อง แต่ ส.ส. พวกนี้เขาอาจเลือกตั้งเก่ง หาเสียงเก่ง แต่บริหารไม่เป็น สุดท้ายก็ได้เป็นรัฐมนตรีกันไป

 

ประยุทธ์อยู่มา 5 ปี แล้วได้เป็นนายกฯ ต่ออีกสมัย คุณมองว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นไหม

คุณคิดดู ที่เขาเป็นมา 5 ปี เขามีมาตรา 44 อยู่ในมือ เขาสามารถเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถมาเป็นรัฐมนตรี มาช่วยเหลือเขาในการบริหารประเทศให้ประสบความสำเร็จได้ กฎหมายอะไรติดขัด เขาใช้มาตรา 44 ทะลุทะลวงได้หมด แต่ถามว่า 5 ปีที่ผ่านมา ทำไมเขาถึงทำได้แค่นี้

ผลที่ออกมาเป็นยังไง หนี้ประเทศเพิ่มเป็น 7 ล้านล้าน แทนที่จะบริหารแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถใช้หนี้ประเทศได้ แต่หนี้กลับเพิ่มเป็น 7 ล้านล้าน คนจนเพิ่มจาก 11.5 เพิ่งเป็น 14.5 ล้าน นี่คุณบริหารประเทศแล้วมีคนจนมากขึ้น หมายความว่ายังไง หมายความว่าคุณไม่มีความสามารถ

ถ้าเป็นผม จาก 11.5 มันต้องเหลือ 10 เหลือ 9 เหลือ 8 คนจนต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยังไม่นับว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน ไทยเรามากที่สุดในโลก แปลว่าอะไร แปลว่าคุณเอื้อแต่นายทุนขุนศึกทั้งหลาย แต่ไม่ได้มองเห็นหัวประชาชนเลย ถ้าคุณทำเพื่อประชาชนที่ยากจน ที่เดือดร้อน ที่พึ่งตัวเองไม่ได้ ความเป็นอยู่เขาต้องดีขึ้น แล้วคุณอย่าไปเอื้อนายทุนมากนัก ความเหลื่อมล้ำมันจะไม่มากขนาดนี้ แต่นี่คุณเอื้อนายทุนอย่างเต็มที่ เพราะอะไร เพราะคุณมีผลประโยชน์รึเปล่า พอพวกนายทุนได้ประโยชน์ ยังไงเขาก็ต้องเจือจานอยู่ดี

ส่วนเรื่องความโปร่งใส คือเรื่องของการตรวจสอบได้ เราอยู่อันดับ 98 ถามว่าเรือดำน้ำเป็นยังไง รถถังเป็นยังไง กระทั่ง GT200 ไม้กันผี แทบทุกอย่างมันตรวจสอบไม่ได้ หรือเอาง่ายๆ ปัญหาเรื่องไฟใต้ คุณมีมาตรา 44 อยู่ในมือ ก็ยังฆ่ากันตายอยู่ทุกวัน

 

แล้วคุณมองว่าการทำงานของรัฐบาลปัจจุบันจะยากหรือง่ายกว่าเดิม

พอถึงปัจจุบัน เมื่อคุณได้เลือกตั้งเข้ามา มีรัฐธรรมนูญที่เอื้อให้คุณ แม้คุณจะเข้าไปเป็นนายกฯ แต่คุณจะจัดรัฐมนตรีไม่ได้เหมือนเดิมแล้วนะ คุณก็ต้องแบ่งปันโควต้าให้พรรคการเมือง ถ้าไม่แบ่งเขาก็ไม่ร่วมกับคุณ เห็นไหม กว่าตกลงกันได้ ทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงกัน ตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ พอเขาไม่ยอม สุดท้ายคุณก็ต้องยอมเขา

คราวที่แล้วคุณเลือกใครก็ได้ คุณมีอำนาจล้นฟ้าอยู่ในมือ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว คุณมีรัฐมนตรีคู่ขาคุณอยู่ไม่กี่คน นอกนั้นก็เป็นฝั่งพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งคุณจะไปยุ่งมากก็ไม่ได้ ถามง่ายๆ ว่าแล้วมันจะดีขึ้นได้ยังไง

ผมว่าไม่มีทางเลยที่คุณประยุทธ์จะบริหารประเทศสำเร็จ เอาง่ายๆ ว่าคุณเป็นมา 5 ปีแล้วมันได้เรื่องมั้ย ในเมื่อไม่ได้เรื่อง แล้วคุณจะเป็นต่อทำไม เลือกตั้งเข้ามาทำไม แล้วไอ้ที่ได้เข้ามากันเนี่ย ก็โกงเขามาทั้งนั้น ผมถึงอภิปรายตอนแถลงนโยบายว่า คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ครั้งแรก ก็ปล้นเขามา ยึดอำนาจมา ครั้งที่สองก็โกงเขามา

พออภิปรายแบบนี้ เขาก็ให้คนมาประท้วงผมต่างๆ นานา วุ่นวายไปหมด ซึ่งผมยังพูดได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ไม่เป็นไร ผมก็บอกว่าถ้างั้นขอจบเพียงเท่านี้ เพื่อที่จะอภิปรายประเด็นที่สอง เรื่องการถวายสัตย์ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ กับสาม เรื่องการแถลงนโยบายที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเหมือนกัน สุดท้ายผมก็สรุปว่า ถ้าเป็นผม ผมไม่หน้าด้านที่จะเป็นหรอก มันจะยิ่งวุ่นวายใหญ่

ถามว่าผมพูดผิดยังไง คุณปล้นเขามาจริงไหม โกงเขามาจริงไหม หน้าด้านจริงไหม

 

เรื่องถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ สุดท้ายกลายเป็นประเด็นใหญ่เหมือนกัน คุณมองประเด็นนี้ยังไง

ใครๆ ก็รู้ว่าเขาถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ แต่เขาก็ยังจะยืนยันว่ากูถูก กูจะปฏิบัติหน้าที่ วันนั้นเขาถึงพยายามจะสกัดกั้นผม ไม่ให้ผมพูด สุดท้ายก็ต้องพักเบรค 10 นาที กลับเข้ามาปุ๊บ ก็มีตัวแทนขึ้นมาอภิปรายเลย บอกให้ผมถอนคำพูด ผมจะไปถอนได้ยังไง ผมบอกว่าเขาปล้นมา โกงมา ถ้าผมถอน ก็เท่ากับว่าเขาไม่ได้โกง ไม่ได้ปล้น ผมก็ไม่ถอนสิ พอไม่ถอนเขาก็ใช้ข้อบังคับ เชิญผมออก

โอเค เมื่อคุณเห็นว่าผมไม่เหมาะสม คุณจะใช้ข้อบังคับเชิญผมออก เราก็พร้อมปฏิบัติตาม ไม่เป็นไร ก็ออกไป ออกไปแล้วก็เข้ามาใหม่ เพราะมันไม่ได้ระบุว่าให้ออกไปกี่นาที (หัวเราะ)

จากนั้นก็เริ่มประชุมต่อ  ผมก็นึกว่าจะได้อภิปราย ปรากฏว่าคุณชวนก็สกัดผม ไม่ให้อภิปรายต่อ บอกว่าจบแล้วๆ พอถามว่าจบด้วยข้อบังคับไหน ไม่ตอบ บอกแค่ว่าจบแล้ว แล้วก็ประดิษฐ์ประดอยคำพูดอีก บอกว่าสำหรับท่านเสรีฯ ผมก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ผมเองต้องยึดถือหลักการไว้ก่อน ถามว่าหลักการอะไร ข้อบังคับข้อไหน ไม่ตอบ

ขนาดจำเลยในชั้นศาล เวลาศาลจะลงโทษ เขายังต้องวินิจฉัยเลยว่าจำเลยกระทำผิดข้อหาอะไร มาตราใด จะลงโทษยังไง นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคุณจะไม่ให้ผมพูดต่อ ก็ต้องชี้แจงว่าเราทำผิดข้อบังคับอะไร

 

แล้วคิดว่าทำไมคุณชวนถึงต้องสกัดไม่ให้คุณพูด

เขาอยากให้การประชุมผ่านไปได้ด้วยดี หมายความว่าคุณประยุทธ์จะได้เป็นนายก ปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 คุณประยุทธ์ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี และก็ตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ก่อนจะทำหน้าที่ได้ มาตรา 161 บอกว่าก่อนรับหน้าที่ คณะรัฐมนตรีจะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยข้อความดังต่อไปนี้

ทีนี้เมื่อเขาถวายสัตย์ไม่ครบ แล้วจะไปแถลงนโยบายได้ไง เมื่อถวายสัตย์ไม่ครบ แถลงนโยบายไม่ได้ ก็ทำงานไม่ได้ ถามว่าทำไมคุณชวนถึงต้องสกัดผม ก็เพราะต้องการให้คุณประยุทธ์ไปปฏิบัติหน้าที่นายกได้ เหมือนตอนพิจารณาคุณสมบัตินายกฯ ที่ไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ เพราะเขาต้องการให้ประยุทธ์เป็นให้ได้ เขาก็ไม่ฟัง

 

แต่จริงๆ ก็น่าจะพอเดาออกอยู่แล้วรึเปล่า คือไม่ว่าในทางใด เขาก็ต้องพยายามผลักดันให้คุณประยุทธ์ได้เป็นนายกต่อ พูดง่ายๆ ว่าปูทางมาตั้งแต่ในรัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว

ใช่ ทีนี้ต้องถามว่า คุณชวนเป็นกลางมั้ย เอาง่ายๆ ว่าคุณชวนได้เป็นประธานรัฐสภาได้ยังไง เพราะพลังประชารัฐเขาช่วยสนับสนุน ยกมือให้ ลำพังประชาธิปัตย์มีแค่ 52 เสียง คุณจะเป็นได้ยังไง เป็นไม่ได้ ถ้าตามข่าวตอนแรก พลังประชารัฐเขาเตรียมเสนอคุณสุชาติ ตันเจริญ เป็นประธานสภา ที่นี้พอไปเอาประชาธิปัตย์มาร่วม เอาภูมิใจไทยมาร่วม เขาก็ต้องมีข้อต่อรอง ถ้าคุณอยากเป็นนายก ผมขอตำแหน่งประธานสภานะ

การที่คุณชวนได้เป็นประธานสภา ก็เพราะพลังประชารัฐ และพอพลังประชารัฐได้จัดตั้งรัฐบาล ก็ให้ประชาธิปัตย์ไป 7 ตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการ 3  รัฐมนตรีช่วย 4 ฉะนั้นคุณชวนก็ต้องพยายามทำให้คุณประยุทธ์ได้เป็นนายกให้ได้

เช่นเดียวกับคุณพรเพชร (วิชิตชลชัย) พอคุณประยุทธ์เข้ามาเป็นนายกหลังรัฐประหาร ก็ตั้งคุณพรเพชรมาเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แล้วเป็นยาวมาเรื่อย ต่อมาก็มาเป็นประธานกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาในสายของ คสช. โดยตัวเองก็เป็นส.ว.ด้วย ก่อนจะได้รับการสนับสนุนให้เป็นประธานวุฒิสภา

ถามว่าแล้วเขาจะเอื้อใครล่ะ ก็ต้องเอื้อประยุทธ์หมด ฉะนั้นพอผมจะอภิปราย เขาก็ต้องพยายามขัดขวาง

สุดท้ายพอเขาไม่ยอมให้พูด ผมก็คิดแล้ว ทั้งคุณชวน คุณพรเพชร ไม่ทำหน้าที่ให้เป็นกลางเลย เอาฝ่ายนิติบัญญัติไปรับใช้ฝ่ายบริหาร ผมก็เลยทำหนังสือถึงทั้งสองคน ให้พิจารณาตัวเองแล้วลาออกซะ เราก็รู้ว่าหนังสือที่เราทำไป เขาไม่สนใจหรอก กูไม่ลาออกหรอก แต่ก็ถือว่าเป็นการประจานไป บอกว่าลาออกไปได้แล้ว

แล้วตอนหลังเขาก็ไม่ค่อยกล้าเจอหน้าผม เจอทีไรก็เผ่นอยู่เรื่อย วันก่อนคุณสุชาติ (ตันเจริญ) นั่งเป็นประธาน ก็มีส.ส.ใหม่เข้ามา ที่นี้ส.ส.ใหม่ก็ต้องปฏิญาณตน คุณสุชาติก็กล่าวนำส.ส. 4 คนให้ปฏิญาณตน ส.ส.ก็ปฏิญาณตามที่คุณสุชาติกล่าวนำ

เสร็จแล้วผมก็เลยขออนุญาตถามคุณสุชาติว่า ถ้าสมมติว่า ส.ส. คนหนึ่งคนใดเขาไม่ปฏิญาณตามที่ท่านกล่าว ท่านจะให้เขาปฏิบัติหน้าที่ไหม คุณสุชาติก็งง ไม่รู้จะตอบยังไง ในที่สุดเขาก็บอกว่า ก็ตามข้อบังคับตามรัฐธรรมนูญครับ ผมก็ถามย้ำว่าจะให้ปฏิบัติหน้าที่ไหม เขาก็พูดเหมือนเดิม ก็ตามรัฐธรรมนูญครับ ผมก็ไม่ยอมอีก บอกท่านตอบให้ชื่นใจหน่อย สมาชิกเขาอยากจะฟังจากปากท่านว่าจะปฏิบัติหน้าที่ได้ไหม เขาก็ตอบแค่ว่า ตามรัฐธรรมนูญครับ พูดได้แค่นี้ ถ้าบอกว่าตามรัฐธรรมนูญ มันก็ได้คำตอบอยู่แล้วว่า การปฏิญาณตนก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ถูกไหม

แล้วเขาก็จะพยายามเอาเบื้องบนมาอ้าง เพื่อปิดปากฝ่ายค้าน ซึ่งไม่ใช่ พระเจ้าอยู่หัวไม่เกี่ยวข้องเลย แม้แต่พระราชดำรัสที่ประกาศออกมา ก็ไม่ใช่ คุณถวายสัตย์ไปยังไง ท่านก็อวยพรกลับมาตามปกติ ไม่ใช่พระราชดำรัสที่ยืนยันว่าสิ่งที่คุณพูดไปทั้งหมดมันถูกต้อง ฉันรับรอง ไม่ใช่ หรือแม้แต่ตอนที่ส่งเรื่องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วก็ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ก็มาหลอกชาวบ้าน หลอก ส.ส. อีกว่าเรื่องถึงศาลแล้ว ระวังละเมิดอำนาจศาลนะ ห้ามวิพากษ์ ห้ามวิจารณ์

ถามว่าทำไมจะพูดไม่ได้ อำนาจอธิปไตยมี 3 ฝ่าย นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ศาลคือตุลาการ ส่วน ส.ส. คือนิติบัญญัติ มันเท่ากันนะ คุณมีหน้าที่ตัดสินพิพากษาก็ทำไป ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติเขาจะดำเนินการอะไรก็เรื่องของเขา เขาอภิปรายกัน ศาลอาจได้ประเด็นดีๆ ไปช่วยในการวินิจฉัยก็ได้ เขาไม่ได้ไปก้าวก่ายนะ คนละเรื่อง ต่างคนต่างทำหน้าที่ แต่นี่มันยังมาหลอกชาวบ้านว่าไม่ควรพูด

แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่ง จะตั้งกรรมาธิการอะไรสักอย่าง เป็นประเด็นเล็กๆ ที่ต้องโหวตนับคะแนนกัน คุณเชื่อไหมว่าคะแนนมันเกินจำนวนส.ส.ที่เข้าประชุม ถามว่ามันใช้ได้ไหม ไม่ได้ แต่คุณชวนบอกว่าได้ คุณชวนบอกว่าเขาอาจเข้ามาประชุมโดยยังไม่ลงชื่อก็ได้ ดูสิ ตะแบงไปแบบนั้น คนก็โห่กันใหญ่เลย

 

แง่หนึ่งก็ดูเหมือนไม่มีหลักการอะไรเลย

มันมีซะที่ไหนเล่า ไม่งั้นผมไม่ไปยื่นให้ลาออกหรอก

สมมติเล่นๆ ว่าถ้าคุณประยุทธ์ต้องมีอันเป็นไป โดยการลาออก รัฐมนตรีจากประชาธิปัตย์ก็ต้องไปหมดเหมือนกัน ถามว่าคุณรักษาผลประโยชน์ของพวกคุณรึเปล่า หรือถ้าประยุทธ์บอกว่ายุบสภา คุณชวนก็จะเป็นประธานสภาได้แค่สมัยประชุมเดียว สุดท้ายคุณก็พยายามรักษาผลประโยชน์ของพวกคุณนั่นแหละ เฮ่อ พูดแล้วเหนื่อย

พูดตรงๆ นะ ตอนจะจัดตั้งรัฐบาล พลังประชารัฐเขาก็พยายามจะจัดให้ได้ ก็ยังมีคนมาเสนอให้ผม 300 ล้านเลย หัวละ 30 ล้าน 10 หัว 300 ล้าน บวกให้ผมได้เป็นรองนายกด้วย ผมยังไม่ไปเลย ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไป แต่ผมไม่ เราต้องรักษาหลักการของเรา คือไม่เอาเผด็จการ แต่ผมไม่รู้ว่าพรรคอื่นที่ไปร่วมเขาจะมีข้อเสนออย่างผมรึเปล่านะ คือได้ทั้งเงินทั้งกล่อง

 

เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส

 

การได้มาทำหน้าที่ฝ่ายค้าน แง่หนึ่งก็อาจถือว่าทำให้ได้ต่อกรกับเผด็จการอย่างถึงพริกถึงขิงมากขึ้นรึเปล่า

แน่นอนว่าเมื่อเรามาอยู่ฝ่ายค้าน เราก็ต้องต่อกรกับเผด็จการอย่างที่คุณบอก แต่ถ้าเราได้ไปอยู่ฝ่ายบริหาร ก็คงได้ทำงานอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งทำประโยชน์ให้พี่น้องประชาชนได้

ตอนนี้ฝ่ายค้านมีหน้าที่อะไร ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล บางทีคนทั่วไปหรือพี่น้องประชาชนไม่ค่อยเข้าใจกัน บอกว่าน้ำท่วม ทำไมไม่ออกไปช่วยชาวบ้านกัน ผมพูดตรงๆ นะ จะเอาเงินที่ไหนไปช่วย แต่รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่โดยตรง คุณจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ยังไง คุณก็ทำให้เต็มที่สิ

ผมสงสัยแต่เพียงว่า คุณเป็นรัฐบาลมา 5 ปี หรือแม้กระทั่งรัฐบาลก่อนๆ โน้น ทำไมพอถึงเวลาน้ำก็แล้ง ฝนตกลงมาน้ำก็ท่วม คุณไม่มีปัญญาป้องกันอะไรเลยหรือ งบประมาณแต่ละปีๆ คุณเอาไปทำอะไรกัน ใช้อย่างเหมาะสมไหม ทุจริตไหม

ในฐานะส.ส.สมัยแรก ผมคิดง่ายๆ ว่าถ้างบประมาณของประเทศชาติ ได้รับการจัดสรรลงไปอย่างถูกที่และเหมาะสม บ้านเมืองเราคงเจริญแล้ว ยิ่งถ้าไม่มีการทุจริต ก็จะยิ่งเจริญไปอีก เทียบง่ายๆ ว่าเป็นครอบครัว ถ้าพ่อแม่ได้เงินมาแล้วเอาไปกินเที่ยวเล่นหมด ครอบครัวจะอยู่กันได้ไหม แต่ถ้าขยัน ประหยัด รู้จักใช้เงิน อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ เอาไปใช้ในเรื่องจำเป็น บ้านนั้นก็จะเจริญ ประเทศเราก็เหมือนกัน

คำถามคือเอาเงินไปทำอะไรหมด รถถังนี่ซื้อทำไม เครื่องบิน เรือดำน้ำ มาเป็นล็อตๆ คุณจะไปรบกับใคร ไอ้พวกนี้ต้องการเงินทอนอย่างเดียว ไม่ได้คำนึงถึงประเทศชาติ ผมรู้หมดแหละ ทำไมถึงรู้ เพราะเพื่อนผมก็ทหารทั้งนั้น ทำมาเป็นแอคอาร์ต รถถงรถถัง โธ่ เขาเอาของเก่ามาขาย ซื้อมาก็ขายขี้หน้าเปล่าๆ

 

ถ้าถามในมุมประชาชน จากที่ฟังคุณเล่ามา ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาล การแบ่งเค้กต่างๆ นานา แทบไม่ได้มีใครคิดถึงประชาชนเลย แต่คิดถึงผลประโยชน์ตัวเองล้วนๆ

ใช่… (นิ่งคิด) พูดง่ายๆ มันต้องแก้ไขอีกเยอะ ซึ่งลำพังเราเอง ก็ได้แต่พูดแบบนี้แหละ ทำอะไรไม่ได้มาก ออกกฎหมายเองยังไม่ได้เลย เพราะมีแค่ 10 เสียง สิ่งต่างๆ ที่เราอยากทำ อยากแก้ เราก็ยังทำไม่ได้ เรื่องพวกนี้บางทีประชาชนก็ไม่รู้ ทำไมพรรคเสรีรวมไทยไม่ทำโน่น ไม่ทำนี่ โธ่ เราอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ แต่เรามีอยู่แค่นี้

ประชาธิปไตยต้องยึดเสียงข้างมาก เราก็ยอมรับ แต่ถ้ามันใช้คนให้เหมาะกับงานได้ด้วยก็จะดี ถ้าพูดถึงเรื่องความคิดความอ่านในการหาคนมาบริหารประเทศของพรรคการเมืองต่างๆ กับแบบที่ผมคิด ก็ต่างกันพอสมควร

 

ยังไง

ของพรรคการเมืองต่างๆ ถ้าคุณลองดู รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ในปัจจุบันก็จะเป็น ส.ส. ทั้งนั้น คนที่เป็น ส.ส. ก็คือลงสมัครรับเลือกตั้ง จะโดยวิธีการยังไงก็แล้วแต่ แต่อย่างบางพรรค ก็ต้องเป็นทายาท พี่เสีย พ่อเสีย น้องก็ลงต่อ ลูกลงต่อ เพราะเป็นฐานเสียงของตระกูลนี้

บางทีลูกเศรษฐีอยากจะลงการเมือง เพื่อจะได้เติบโต ลงการเมือง 3-4 สมัยเดี๋ยวก็ได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว แต่ถ้าให้ไปรับราชการ บางทีอายุ 60 เกษียณแล้วยังไม่ได้เป็นหัวหน้าหน่วยเลย วิธีลัดก็คือส่งลูกส่งหลานลงเป็น ส.ส. ในพื้นที่ที่รู้กันอยู่แล้วว่า พรรคนี้มีฐานคะแนนแข็ง ยังไงต้องได้แน่ ก็ต้องมาจ่ายเงินให้พรรค เขาถึงจะให้ลง ฉะนั้นมันจึงขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์เป็นหลัก

พอได้เป็นผู้แทนได้สัก 3 สมัย เริ่มแกร่งกล้า ถ้าได้ 4 สมัย ก็ต้องเป็นรัฐมนตรีกันแล้ว แต่ถามว่าคนพวกนี้เคยบริหารอะไรกันมาบ้าง เคยแต่เลือกตั้ง พอชนะเข้ามาก็มาเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี แต่ประสบการณ์ไม่มี แล้วจะทำยังไง หาเสียงไปแล้ว ใช้เงินไปแล้ว ก็ต้องหาเงินใหม่ วนเวียนกันอยู่อย่างนี้

แต่ถ้าเป็นผม ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรี ใครจะเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ใครจะคุมตำรวจ ใครจะดูแลการคลัง การศึกษา พาณิชย์ ผมจะใช้วิธีที่ต่างออกไปเลย ผมรู้ว่ามันมีคนที่เหมาะสมอยู่ทั่วประเทศเลย ถ้าผมเห็นว่าใครที่มีความสามารถในการบริหารด้านไหนได้ ผมจะเชิญมาทำงานหมดเลย ไม่เอาแค่ในพรรคหรอก เพราะมันจะมีตัวเลือกแค่ไหนกัน ฉะนั้นใครเก่งก็ต้องดึงมา จะได้แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ ไม่ใช่ว่าต้องพวกกู ของกูเท่านั้น

 

มีคนพูดกันเยอะว่า ฝ่ายค้านชุดนี้น่าจะเป็นฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพที่สุดชุดหนึ่ง เท่าที่เคยมีมา คุณเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร

คงยังไม่ใช่หรอก เพราะอะไร เพราะเราก็ดูทุกพรรค อย่างพรรคของผมเอง ก็เป็นพรรคใหม่ ยังไม่ได้มีประสิทธิภาพมากมายขนาดนั้น อนาคตใหม่ก็พรรคใหม่ ถ้าไปดูพรรคใหญ่ที่สุดก็คือเพื่อไทย คนดีคนเก่งของเพื่อไทย ไม่ได้เข้าสภาเลยนะ เพราะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์สักคน แล้วจะบอกว่าฝ่ายค้านมีประสิทธิภาพได้ยังไง ถ้ากลุ่มที่เก่งๆ ของเพื่อไทยได้เข้ามา ผมว่าอาจมีประสิทธิภาพมากกว่านี้

แต่เท่าที่มีอยู่ ผมก็เห็นศักยภาพนะ อย่างเพื่อไทยก็มี ส.ส. เก่งๆ อยู่หลายคนที่ได้เข้ามาในสภา แต่ยังขาดความกล้าหาญไปหน่อย หรืออย่างอนาคตใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ เขาก็ขยันนะ ตั้งหน้าตั้งตาขวนขวายหาความรู้ เพื่อที่จะทำงาน ก็ถือว่าโอเค ใช้ได้ แต่ยังขาดความแข็งแกร่ง ฉะนั้นผมเลยต้องใช้ตัวตนของผม ทำหน้าที่ทะลุทะลวงไปก่อน (หัวเราะ) แล้วค่อยให้น้องๆ ตามมา แล้วถ้าทุกคนกล้าที่จะคิด กล้าที่จะทำ เดี๋ยวมันก็ไปได้

นี่เพิ่งประชุมสมัยแรกเอง เดี๋ยวสมัยที่สองก็คงจะเก่งขึ้น แต่คุณประยุทธ์จะอยู่ถึงรึเปล่าไม่รู้นะ

 

คุณประยุทธ์เป็นทหารแล้วก็มาเป็นนักการเมือง ส่วนคุณเป็นตำรวจมาก่อน คิดว่ามีความต่างกันไหม ระหว่างทหารกับตำรวจที่มาลงสนามการเมือง

เอาแค่ทหารกับตำรวจก่อน ยังไม่ต้องเป็นนักการเมือง ทหารเนี่ย เขาไม่ได้ออกมาเจอสังคมเหมือนตำรวจนะ ทหารก็อยู่ในกรมกองของเขา ซึ่งมีระเบียบวินัย มีขั้นตอนของเขาอยู่ ที่สำคัญคือเขาจะท่องไว้ตลอดว่า คำสั่งผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์ ทำอย่างกับผู้บังคับบัญชาเป็นเทวดา ผมก็ท่องมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหาร แต่พอโตขึ้น เฮ้ย มันไม่ใช่นี่หว่า ผู้บังคับบัญชาเลวก็เยอะ ให้ปฏิบัติตามตลอดได้ยังไง ฉะนั้นทหารเนี่ย ผู้ใต้บังคับบัญชาจะหืออือไม่ได้ ส่วนผู้บังคับบัญชาก็ไม่ได้สนอะไร เอาแต่พรรคพวก ไม่ค่อยฟังใคร โลกทัศน์จะแคบ

พอยึดอำนาจ บริหารประเทศ แต่คุณไม่รู้เรื่อง ไม่ได้สัมพันธ์กับประชาชนมา ก็เอาแต่คิด เอาแต่สั่ง เคยชี้หน้าด่าลูกน้องมา ก็มาชี้หน้าด่านักข่าวบ้าง ด่าประชาชนบ้าง ซึ่งต่างจากตำรวจ ตำรวจใกล้ชิดประชาชนมากกว่า พลทหารถ้าทำไม่ดี ถูกผู้บังคับบัญชาตบ เตะ ขัง ถ้าตำรวจลองไปตบสิ เจอมันฟ้องให้ เพราะตำรวจมันใช้กฎหมายมา รู้ว่ามาตรฐานคืออะไร

 

คุณประยุทธ์ที่เป็นทหาร พอเข้ามาเป็นนายก เราพอเห็นภาพมาพอสมควรแล้ว ถ้าสมมติว่าเสรีพิศุทธ์ที่เป็นตำรวจมา แล้วได้เป็นนายกบ้าง จะเป็นยังไง ต่างกันตรงไหนบ้าง

ต่างแน่นอน เพราะผมไม่เคยคิดจะทำในสิ่งที่ผิด ไม่เคยใช้อำนาจบาตรใหญ่ และอย่างน้อยๆ ผมก็มีความคิดกว้างไกลเพื่อประเทศชาติ อย่างที่บอก เวลาจะเลือกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายเศรษฐกิจ สังคม เราจะคัดคนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นพวกกูเท่านั้น แค่นี้ก็ต่างกันแล้ว

 

นโยบายหนึ่งที่พรรคเสรีรวมไทยพูดไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง คือการปฏิรูปกองทัพ อยากให้เล่าเป็นรูปธรรมหน่อยว่าจะปฏิรูปยังไง

ผมเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ก็จะมีเพื่อนเป็นนายทหาร ทั้งพลโทพลเอก เยอะแยะไปหมด แต่ตอนนี้ก็เกษียณกันหมดแล้วนะ แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนนักเรียนทหาร ก็ได้คบหาสมาคมกันมานาน รู้เห็นความไม่ถูกต้องต่างๆ ในกองทัพเยอะแยะไปหมด ซึ่งคนอื่นเขาจะมารู้เห็นเท่าเราได้ยังไง

เอาง่ายๆ อย่างคุณธนาธร เพิ่งจะเริ่มมาเท่าไหร่เอง จะมารู้ชีวิตทหาร หรือการทุจริตโกงกินในกองทัพเท่าผมได้ยังไง เพราะผมก็คุยกับพรรคพวกเพื่อนฝูงตลอดเวลา 30-40 ปี เราก็เห็น การทำแผนการงบประมาณต่างๆ ของกองทัพ เขาคิดยังไง ทุจริตยังไง เรารู้หมด ฉะนั้นมันจำเป็นต้องปฏิรูปแน่นอน

ตอนตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ คุณจะเห็นว่าพระราชวัง อยู่ที่สนามหลวง ติดวัดพระแก้ว ส่วนสถานที่ราชการ กระทรวงกลาโหม ก็อยู่ตรงข้ามเลย ศาลฎีกาก็อยู่ถัดไป ข้างศาลฎีกาก็มีสำนักงานอัยการสูงสุด หลังวัดโพธิ์ก็มีกระทรวงพาณิชย์ ข้ามไปหน่อยก็คลองหลอด กระทรวงมหาดไทย หรือถ้ามาทางถนนราชดำเนิน ก็เริ่มตั้งแต่กองสลาก ไล่มาสองฟากถนน เป็นส่วนราชการทั้งนั้น

จากนั้นถ้าขยับออกไปหน่อย ก็เป็นกองทัพ กองทัพภาคที่ 1 ตั้งอยู่ตรงลานพระรูปฯ หรือถ้าเลยไปแถวดุสิต ทหารเพียบ หรือถ้าข้ามไปแถวบางเขน ที่ทหารก็เพียบ ตั้งสามพันไร่ มีสนามกอล์ฟด้วย ทหารอยู่เต็มไปหมด ส่วนทหารเรือก็ตั้งแต่ถนนอิสรภาพ ข้ามไปอรุณอมรินทร์ ทหารอากาศก็ดอนเมือง

ถามว่าถ้าเป็นแต่ก่อน โอเคไหม โอเค เพราะทหารก็ต้องอยู่ป้องกันดูแลสถาบันพระมหากษัตริย์ ประชาชนก็ออกไปอยู่ห่างๆ อย่างตอนสำนักงานตำรวจแห่งชาติสร้างใหม่ๆ พื้นที่เซ็นทรัลเวิลด์ สยามสแควร์ ยังเป็นทุ่งนาอยู่เลย แต่ทุกวันนี้ความเจริญก็เข้ามาเยอะแล้ว ขยายไปทั่วกรุงเทพฯ แล้ว ถามว่า ณ เวลานี้ ผ่านมาสองร้อยกว่าปีตั้งแต่สร้างกรุง มันยังเหมาะสมอยู่ไหมที่จะให้หน่วยทหารตั้งอยู่ในพื้นที่แบบนี้ รวมแล้วเป็นหมื่นไร่ในกรุงเทพฯ มันควรจะย้ายออกไปนอกพื้นที่หรือยัง

 

พูดง่ายๆ ว่าที่ของทหาร ควรย้ายออกไปรอบนอกได้แล้ว

สิ่งที่ผมกังวลก็คือว่า ในเมื่อคุณบอกว่าสงครามจะมีเมื่อไหร่ไม่รู้ เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อม ซื้อรถถัง ซื้อเครื่องบิน ซื้อเรือรบ ถามว่าถ้าเกิดศึกสงครามขึ้นมาจริงๆ เกิดแม่งยิงมา ไม่ลงวังเหรอครับ ไม่ลงกบาลชาวบ้านหมดเหรอ แต่ก่อนมันเป็นทุ่งนาเกือบหมด ยิงมาลงค่ายทหาร ทหารก็รับผิดชอบไป แต่ตอนนี้พื้นที่รอบๆ คุณเป็นชาวบ้านทั้งนั้น ดีไม่ดีไปโดนวัง ฉะนั้นควรย้ายไปได้แล้ว แล้วถ้าย้ายได้จริง คุณลองคิดดูว่ากรุงเทพฯ มันจะโล่งแค่ไหน แล้วมันเอาพื้นที่มาทำอะไรได้อีกเยอะ

นอกจากเรื่องย้ายกองทัพแล้ว เรื่องกำลังพลต่างๆ ก็ต้องปรับ กองทัพไทยนี่มีนายพลมากกว่าทหารอเมริกันอีกมั้ง ถามว่ามีไว้ทำไม ก็เพราะที่ผ่านมาเขาใช้วิธีตั้งทายาทไง สมมติผมเป็นผบ.ทบ. ก็เอาคนนั้นคนนี้มาเป็น แล้วคนที่อาวุโสกว่าทำไง ก็เอาไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ให้เป็นพลเอกไปให้หมด แล้วก็เลื่อนคนนั้นคนนี้มาจ่อเป็นผู้ช่วย เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรต่างๆ เต็มไปหมด เยอะจนไม่มีห้องนั่งทำงาน พอไม่มีห้องทำงาน มันก็กลับไปอยู่บ้าน ถ้าคนรักดีหน่อยก็หาอาชีพเสริมทำไป แต่คนที่อับด้อยปัญญา ก็ไปติดตามทวงหนี้ ไปเป็นมาเฟียข่มขู่เขา ไปรับใช้นายทุน

พอได้ยศสูง เงินเดือนก็สูง บำนาญก็สูง คุณไปดูข้อมูลกรมบัญชีกลาง ข้าราชการกระทรวงไหนรับบำนาญมากที่สุด ก็คือกลาโหม ที่สำคัญพอใกล้เกษียณ ก็ไปขอ ขอทวีคูณ ทำงานปีนึงแต่ได้เงิน 2 ปี ออกคำสั่งกอ.รมน.ให้เลย ขอสัก 5 ปีก็ได้เป็น10 ปี

อย่างผมนี่ก็รับบำนาญเต็มนะ เพราะผมรับราชการอยู่นาแก แต่อันนี้เราของจริง รับราชการต่อเนื่องยาวนาน อายุราชการเราทวีคูณมาตลอด เราอยู่ในพื้นที่จริง รบจริง ปราบจริง ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ พอใกล้เกษียณแล้วมานั่งขอ แต่งานการไม่ได้ทำ เงินพวกนี้ก็ภาษีประชาชนทั้งนั้น

ยังไม่นับเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มันไม่จำเป็นแล้ว คุณเอางบไปดูแลหน่วยงานอื่นบ้างสิ เขายังขาดแคลนอีกเยอะ อย่างกระทรวงสาธารณสุข ต้องดูแลการเจ็บป่วยของคนเกือบ 70 ล้านคน แต่ได้งบมากกว่ากลาโหมนิดเดียวเอง กลาโหมดูแค่ลูกน้องตัวเอง สองแสนกว่าคน แล้วเอาไปซื้ออาวุธ ซื้อทำไม

หรือกระทรวงศึกษาธิการ อันนี้ก็ต้องดูแล ต้องพัฒนา เพื่อสร้างคนของเราให้เป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ มีจิตสำนึก รับผิดชอบต่อตัวเอง ครอบครัว หน้าที่การงาน บ้านเมืองก็จะเจริญ เราต้องไปทุ่มตรงนั้น

อีกเรื่องคือการเกณฑ์ทหาร ที่ผ่านมามันไม่ถูกต้องหรอก ต้องเลิกได้แล้ว ต้องให้เขาสมัครใจ เพราะคนเราจะทำงานได้ดี มันต้องเริ่มที่ใจก่อน ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ปัจจุบันที่บังคับให้เข้ามาเป็นกัน ก็เพราะผลประโยชน์ทั้งนั้นแหละ เลิกไม่ได้ เลิกเดี๋ยวไม่มีผลประโยชน์

ถามว่าทำยังไง ต้องให้เขาสมัครใจมา แล้วก็มีแผนงาน มีโครงการที่จะพัฒนาเขา สนับสนุนเขา ให้เป็นคนดี เป็นทหารที่ดีในอนาคต เมื่อพ้นประจำการแล้ว ก็สามารถสมัครเป็นทหารอาชีพได้ ทุกวันนี้คนตกงานเยอะแยะ ต้องเลิกวิธีการเก่าๆ ที่ใช้อำนาจบังคับ ข่มขู่ ขู่เข็ญ รังแกกันได้แล้ว

 

แล้วคุณมองว่าทหาร สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้แค่ไหนยังไง

ทหารก็คือข้าราชการถูกไหม เขาห้ามข้าราชการมายุ่งการเมือง ลองให้ผมเป็นนายกฯ นะ กูล่อมึงแน่ ไอ้ที่ออกมาพูดๆ อยู่เนี่ย คนเป็นแม่ทัพทั้งหลาย จะออกมาข่มขู่ชาวบ้านว่าเดี๋ยวจะปฏิวัติ คุณทำได้ยังไง ผมถึงได้อัดมันอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกับผมหรอก เพราะอะไร เพราะผมนี่นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 8 อย่างผบ.ทบ.คนปัจจุบันนี่รุ่น 20 ห่างกันเท่าไหร่ ปีนี้ผมอายุ 71 แล้ว พวกปลัดกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อธิบดีต่างๆ ผมมองเป็นเด็กๆ หมดแหละ

 

เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส : จาก 'มือปราบตงฉิน' สู่ ‘แนวหน้าฝ่ายค้าน’ 

 

เอาเข้าจริงแล้ว สายสัมพันธ์ของนักเรียนเตรียมทหาร มีความกลมเกลียว เป็นหนึ่งเดียวกันแค่ไหน หรือสุดท้ายก็ตัวใครตัวมันอยู่ดี

จริงๆ มันไม่เกี่ยวกันหรอก เอาแค่ในเหล่าเดียวกัน บางทีก็ไม่ได้คิดเห็นเหมือนกันหมด อย่างเพื่อนผมที่เป็นตำรวจรุ่นเดียวกัน มันก็ไม่ได้รักผมทุกคนนะ บางคนนี่อิจฉาริษยาด้วยซ้ำ ส่วนนักเรียนเตรียมทหารนี่ยิ่งต่างเลย ประยุทธ์เขาถึงบอกตัดพี่ตัดน้องกับผมได้

 

เขาจริงจังแค่ไหน การตัดพี่ตัดน้องที่ว่า

ผมไม่สนใจหรอก เพราะในสภาไม่ใช่ที่ที่จะมาพูดเรื่องนี้ มันต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ไม่ใช่ว่าโดนเราอภิปรายแล้วเลือดขึ้นหน้า ไม่รู้จะทำยังไง ก็เอาเรื่องส่วนตัวมาพูด ผมไม่ซีเรียสหรอก วันนั้นผมยังพูดเลยว่า ถึงจะคุณตัดผม แต่ผมยังไม่ได้ตัดคุณนะ แล้วในฐานะรุ่นพี่ เดี๋ยววันนี้จะสอนกันหน่อย

 

ขยับมาแวดวงตำรวจบ้าง ถ้าจะปฏิรูปตำรวจ คุณคิดว่าปฏิรูปเรื่องไหนอย่างไรบ้าง

5 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่ารัฐบาลคุณประยุทธ์ทำให้ตำรวจเละมากเลย หน้าที่ตำรวจคือสืบสวนสอบสวน ป้องกันปราบปรามโจรผู้ร้าย ถูกไหม ก็ต้องให้เขายึดมั่นตรงนี้ แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ตำรวจมันมีหลายงาน มีทั้งงานทั่วไป เรียกว่าอำนวยการ จราจรก็มีสารวัตรจราจร มีสารวัตรสืบสวน สารวัตรสอบสวน สารวัตรธุรการ สารวัตรโน่นสารวัตรนี่ มันหลากหลายมาก แต่งานหลักจริงๆ ถ้าเราบอกว่าจะพัฒนาตำรวจ ก็คืองานสอบสวน

ถ้าเราสามารถแยกพนักงานสอบสวน ออกจากงานประเภทอื่นให้ชัดเจน แล้วเพิ่มเติมคุณวุฒิเข้าไป ให้ไปถึงตอนเป็นพลตำรวจเอกก็ได้ แต่เรียกพนักงานสอบสวนสิบ หรืออะไรก็ว่าไป ประเด็นคือเขาจะได้มีความรู้ความชำนาญจริงๆ

แต่ทุกวันนี้ พอมีแต่เด็กๆ ทำ มันก็เห็นแล้วว่าโตไม่ได้ เขาก็ไม่อยากอยู่ ต้องวิ่งกันไป ที่ผมบอกว่ามาเสียตอนคุณประยุทธ์เข้ามา ก็คือว่าเขาไม่เห็นความสำคัญของพนักงานสอบสวน ไปยุบพนักงานสอบสวนหมดเลย ตำรวจก็เลยต้องแก้ปัญหาด้วยการแต่งตั้งคนที่วุฒิถึงเข้ามา แต่ถึงวุฒิจะได้ เขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญ ไม่ได้ชำนาญ มันก็ไม่อยากเป็น ไม่อยากทำงาน บางคนไม่ชอบงานนี้เลย ฆ่าตัวตายก็เยอะ คุณลองไปหาสถิติมาดู พนักงานสอบสวนที่เขาติดขัดเรื่องการสอบสวน แล้วถูกตั้งกรรมการสอบสวนซะเอง ฆ่าตัวตายไปหลายคน ที่เป็นแบบนี้เพราะคุณไปทำลายระบบของเขา

ก็เหมือนคนทำทีวี ทำสื่อต่างๆ คุณเป็นผู้สื่อข่าว เป็นคนสัมภาษณ์ จู่ๆ บอกให้คุณไปเช็ดพื้น แล้วให้คนเช็ดพื้นมาทำหน้าที่คุณ มันจะทำได้ไหม ทำไม่ได้ ตำรวจถูกทำลายมากจากตรงนี้ แล้วเขาก็ใช้วิธีแบบทหารมาตั้งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ให้มันมียศกัน แต่ไม่มีงานทำ ตอนนี้ก็ยังไม่จบ เพราะคุณประยุทธ์ยังอยู่ เขาเอาวิธีการแบบทหารมาใช้กับตำรวจ นี่คือปัญหาใหญ่

 

แล้วเรื่องเงินเดือนตำรวจ คิดว่าเหมาะสมไหม เพียงพอไหม ควรปรับยังไง

จริงๆ อาชีพตำรวจในประเทศที่เจริญแล้ว เขาจะมีเงินเดือนสูง สูงกว่าทหาร เพราะถือว่าเป็นอาชีพที่ต้องรับผิดชอบสูง และเสี่ยงภัย เสี่ยงชีวิต เอาง่ายๆ ว่าถ้าเทียบการเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจกับทหาร ตำรวจเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่มากกว่า ทหารนี่ไม่รู้ไปรบเมื่อไหร่ แต่ตำรวจ เอาแค่จราจร ปฏิบัติหน้าที่อยู่ดีๆ บางทีก็ถูกรถชนตายแล้ว หรือไล่จับโจร โจรยิงสวนมา ตาย เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง

มีบางคนบอกว่าควรไปตั้งหน่วยงานใหม่ด้านการสอบสวนต่างหาก แยกออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปเลย ไม่ให้ตำรวจมีหน้าที่สอบสวนแล้ว ให้มีหน้าที่แค่สืบสวนและจับกุม แต่สำหรับผม ผมยังไม่เห็นแบบนั้น เพราะการจะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ว่าจะทำง่ายๆ หน่วยงานตำรวจนี่เขาเดินมายาวนาน เป็นร้อยๆ ปี จะไปตั้งหน่วยงานใหม่ อาจไม่ได้ผลเท่าไหร่

อย่าง DSI ก็โอนไปจากตำรวจเยอะแยะ ลองไม่มีตำรวจไปช่วยสิ ไม่มีทางหรอก หรือลองไปดูคดีป.ป.ช. เรื่องทุจริต อย่างน้อยต้องมี 4-5 ปี บางที 10 ปีถึงจะจบ ถึงตอนนี้ GT200 เป็นไง อุทยานราชภักดิ์ บอลลูนลอยฟ้า นาฬิกา 25 เรือน ไม่มีความคืบหน้า หรือคืบหน้าออกมา ก็รับไม่ได้

 

แล้วสมัยก่อนมันเป็นยังไง

สมัยก่อนที่ยังไม่มี ป.ป.ช. การดำเนินคดีกับนักการเมืองเหล่านี้อยู่ที่ตำรวจ เสร็จเร็ว ได้ผล มีประสิทธิภาพ อย่างผมนี่จับมาหมด ตั้งแต่ ส.จ. ส.ท. ส.ส. เทศมนตรี นายกเทศมนตรี รัฐมนตรี เยอะแยะไปหมด แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมี ผมไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรอก อย่างคดีกำนันเป๊าะ เห็นไหม แป๊บเดียวเสร็จ แต่ถ้าไปอยู่ป.ป.ช. นี่เผลอๆ ไม่ผิดด้วย

สมัยผมเป็นร้อยตำรวจเอก ถ้าสงสัยว่าบ้านนี้อาจมีสิ่งผิดกฎหมาย หัวหน้าสถานีออกหมายได้เอง ร้อยตำรวจเอกออกหมายให้ร้อยตำรวจโทไปค้นได้ หรือถ้าผมจะไปเอง ก็ไปได้เลยไม่ต้องมีหมายค้น แล้วถ้าผมผิด ก็มีมาตรา 157 อยู่ แต่ปัจจุบัน จะจับใครก็ยาก จะค้นใครก็ไม่ได้ ต้องมารวบรวมหลักฐาน ต้องขอศาล อธิบายให้ศาลเข้าใจ เสียเวล่ำเวลา กว่าจะกลับมารวบรวมอีก กว่าจะค้นได้จับได้ แม่งหนีแล้ว ทำลายหลักฐานแล้ว ลำบากยากเย็น

ถามว่าทำไมสมัยก่อนเขาทำได้ เพราะมันมีมาตรา 157 อยู่ ถ้าเจ้าหน้าที่ทำผิดก็ฟ้องไป แต่ก็ไม่เห็นมีใครฟ้องผมสักที เพราะเราดำเนินการในสิ่งที่ถูกต้อง ประเด็นคืออย่าเอางานฝ่ายนี้ไปปนฝ่ายโน้น

ทหารก็เหมือนกัน มีหน้าที่ป้องกันประเทศ ถามว่าได้ทำบ้างไหม มัวแต่มายุ่งเรื่องตรวจค้น จับกุม คุมบ่อน อย่างที่เขาพูดกันว่าเดี๋ยวนี้ทหารแทบจะไปคุมบ่อนแทนตำรวจแล้ว ผมไม่ได้บอกว่าตำรวจดีกว่าทหาร เพราะสมัยก่อนตำรวจบางพวกมันก็หากินอย่างนี้แหละ แต่เดี๋ยวนี้พอทหารเข้ามา มันก็ทำแบบเดียวกัน ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกคนควรรู้จักหน้าที่ใครหน้าที่มัน ถ้ามีโอกาสต้องแก้ไขกฎหมายอีกเยอะ แล้วตราบใดที่คนไม่รู้จักหน้าที่ก็ลำบาก

 

ตัวคุณเองมีภาพของการเป็นมือปราบ กล้าชนกล้าลุย พอเข้าสภามา ภาพและบุคลิกแบบนั้นก็ยังคงอยู่ ถือเป็นความตั้งใจไหม

ถึงแม้ผมจะเป็น ส.ส. สมัยแรก แต่พูดตรงๆ นะ นี่ไม่ได้โม้นะ ส.ส.เกือบทั้งหมดในสภา ไหว้ผมหมด เพราะเขารู้จักผม แล้วผมก็อายุมากแล้ว ด้วยวัยวุฒิ เราก็อาวุโสพอสมควร ทุกคนรู้จักนับถือเราหมด ฉะนั้นจะทำตัววางตัวยังไง ต้องระมัดระวัง ต้องเป็นตัวอย่างให้เขา ในการวางเนื้อวางตัว ในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ

 

ในพรรคฝ่ายค้าน เขาให้เกียรติหรือจัดวางบทบาทให้คุณยังไง

ก็ให้มากพอสมควร ในฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยจะมีจำนวนส.ส.มากที่สุด รองมาก็อนาคตใหม่ และก็พรรคของผม ทีนี้พอเขาได้กำหนดเวลาของฝ่ายค้านมาทั้งหมด เขาก็จะมาแบ่งให้เรา บางทีเขาเห็นว่าเวลานี้ ออกอากาศแล้วคนจะชมมากที่สุด เขาก็ให้เกียรติเรา ให้เราได้พูดในช่วงนั้น

 

พอเข้าสภามาสักพักแล้ว มองอนาคตของตัวเอง รวมถึงพรรค ถัดจากนี้ยังไง

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เราเป็นพรรคใหม่ การจะคัดหาคนดีๆ ให้มาอยู่กับเราตั้งแต่แรก เขาก็ไม่เอากับเรา นี่พูดตรงๆ

แต่เอาเข้าจริง ผมว่าไม่เกี่ยวกับพรรคใหม่พรรคเก่าหรอก แต่อยู่ที่จุดยืนของพรรคและหัวหน้าพรรคมากกว่า อย่างคุณอภิสิทธิ์บอกว่า ยังไงผมก็ไม่เอาประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พอเลือกตั้งเสร็จ พรรคก็แถลงว่าเป็นเรื่องของคุณอภิสิทธิ์ พรรคไม่เกี่ยว ฉะนั้นประชาธิปัตย์จึงเข้าร่วมกับคุณประยุทธ์ได้ ดูซิ ถามว่ากะล่อนไหมแบบนี้

อย่างผมนี่ไม่ได้หรอก ทำไม่ได้ ฉะนั้นการเป็นพรรคที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเก่าหรือความใหม่ มันอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติมากกว่า แล้วการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ผมประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับเผด็จการมาโดยตลอด ให้มานั่งโกหกหลอกลวง พินอบพิเทา ผมทำไม่ได้หรอก ไม่เอาก็คือไม่เอา เราจะเดินแนวทางประชาธิปไตย จะปฏิรูปทหารยังไง เราก็มีเป้าชัดเจน จึงไม่แปลกที่จะถูกต่อต้าน ถูกจับตา โดนทั้งตำรวจ ทั้งทหาร ทั้งฝ่ายปกครอง ติดตามผม ติดตามผู้สมัครในพรรค อันไหนที่เราเห็นเราก็อัดไป แต่อันไหนที่เขาไปทำกับลูกน้องเรา บางทีเราไม่รู้หรอก

แล้วระหว่างการจัดเลือกตั้งก็โกง แค่การตั้งหน่วยก็โกงแล้ว ที่ที่ควรจะตั้งไม่ตั้ง ไปตั้งซะห่างเลย จะได้โกงง่ายๆ ไฟแทนที่จะสว่าง ก็ทำให้สลัวๆ ตอนนับคะแนน ก็ขยับไปซะไกล ต้องเอากล้องส่อง แล้วพออันไหนที่เป็นพรรคเสรีรวมไทย ก็บอกว่าบัตรเสีย โดนแบบนี้ทั่วประเทศ

ถ้าสังเกต ช่วงที่มีเลือกตั้งซ่อม หรือนับคะแนนใหม่ ผมได้คะแนนเพิ่มขึ้นหมดนะ ทุกหน่วยเลย พรรคผมรวมคะแนนได้ 8 แสนกว่า คำนวณส.ส. ได้ 11.635 มันก็ต้องได้ 11 คน แต่ดันให้เราแค่ 10 คน ก็ต้องไปฟ้องร้องกันต่อ พอจะขอเอกสารก็ไม่ให้

 

เป้าหมายระยะยาวของเสรีพิศุทธ์ และพรรคเสรีรวมไทย คืออะไร

เราอยากทำพรรคการเมืองของเราให้เป็นพรรคตัวอย่าง ที่ผ่านมาเราเห็นตัวอย่างที่เละเทะมาเยอะ ถ้าคุณสังเกต พรรคของผมตั้งแต่ช่วงหลังเลือกตั้ง จะรู้ฝ่ายรัฐบาลนี่พยายามจะซื้อหมดเลย แต่เราไม่มีหลุด ไม่มีแตกออกไปเลย เขาเคยพยายามมาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้ผล เขาเคยเสนอมา 300 ล้าน เราไม่เอา ก็ขยับไปถึงขั้นที่ว่าจะเอาเท่าไหร่บอกมา

ถามว่าเพราะอะไร เพราะตอนนี้รัฐบาลมี 254 เสียง ฝ่ายค้าน 246 เสียง ถ้าเขาได้ของผมไปอีก 10 เสียง มันจะขาดทันที แต่เราทำไม่ได้ เพราะเราต้องการเป็นพรรคการเมืองที่ดี เป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ ถึงตั้งชื่อว่าพรรคเสรีรวมไทย

เราเห็นแล้วว่าบ้านเมืองมันแตกแยก มีปัญหากันมานาน ก็เลยคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เสรีจะมารวมไทย ในเมื่อวางความหมายไว้อย่างนี้ เราก็ต้องพยายามเดินไปให้ได้ เพียงแต่ที่มันได้น้อย ก็อย่างที่บอกไป นี่ยังเป็นสมัยแรก คนยังไม่เข้าใจเราเท่าไหร่ แล้วก็ถูกโกงไปอีกส่วนหนึ่ง แล้วถ้าพูดอย่างถึงที่สุด เราไม่ยอมทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ได้แค่ไหนแค่นั้น เอาความเชื่อถือศรัทธาของพี่น้องประชาชนเป็นหลักดีกว่า แม้มันจะช้าหน่อย นานหน่อย ที่แน่ๆ คือคราวหน้า เรารู้แล้วว่ามึงจะโกงกูยังไง กูไม่ยอมแล้วนะ (หัวเราะ)

 

เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส : จาก 'มือปราบตงฉิน' สู่ ‘แนวหน้าฝ่ายค้าน’ 

 

เรื่องภาคใต้ ไฟใต้ เป็นปัญหาเรื้อรังมาสิบกว่าปี ถ้าเป็นเสรีพิศุทธ์จะจัดการเรื่องนี้ยังไง

ปัญหาภาคใต้ ทหารรับผิดชอบในการแก้ปัญหาการก่อการร้ายมาสิบกว่าปีแล้ว สำเร็จไหม ไม่สำเร็จ เมื่อไม่สำเร็จ มันต้องคิดแล้วว่าทำไมไม่สำเร็จ

ตอนผมอยู่นาแก เป็นสารวัตร นอกจากการดูแลตำรวจนาแกแล้วเนี่ย ยังต้องมีกองร้อยยุทธวิธี เราต้องเป็นผู้บัญชาการกองร้อยยุทธวิธีด้วย ต้องมาคุมตำรวจพวกนี้เผื่อปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทีนี้พอถึงเวลา ทหารเขาก็จะจัดงบมาให้ แต่ก่อนเราก็เด็กแหละ เป็นแค่ร้อยตำรวจเอก เรื่องงบเรื่องอะไรก็ไม่ค่อยจะเป็นหรอก พูดตรงๆ พอเขาจัดงบมาให้ เราก็อ่าน แต่ถึงเวลาก็อมกูทุกที ไม่ยอมจ่าย จะจัดซื้ออะไรก็ไม่ค่อยยอมให้

แล้วตำรวจอย่างเรา มีแค่เบี้ยเลี้ยงกับเงินเดือน เวลาออกไปตั้งฐาน จะซื้อเลื่อยมาตัดไม้ ทำเพิง ทำที่พัก ก็ต้องซื้อเอง ตัดเอง ทำเอง กับข้าวก็ต้องออกมาหาซื้อเอง ตกกลางคืนก็ต้องไปอยู่เวรยาม ถึงเวลาต้องออกไปรบ พวกที่อยู่เวรยามก็อยู่ไป ทีเหลือก็ออกไปปราบ นี่คือชีวิตตำรวจ

แต่ทหารนี่มีเป็นกองพัน แบ่งเป็นเหล่าต่างๆ มากมาย ทหารช่างถึงเวลาเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม รถแม็คโครพร้อม ส่วนทหารลาดตระเวนที่ไปรบ ก็แทบไม่ได้ทำอะไร เราก็ได้เห็นวิธีการเหล่านี้มา เห็นการทุจริตมาเยอะ

กลับมาเรื่องภาคใต้ ทหารเขาก็บริหารมา มีงบประมาณปีละหมื่นกว่าล้าน ถามว่าทำไมไม่จบสักที พูดง่ายๆ ว่าถ้าบ้านเมืองสงบ งบก็ไม่มา มันเลยต้องเป็นอยู่อย่างนี้ งบจะได้มาทุกปี

นโยบายของเราตอนหาเสียง เราบอกว่าทหารต้องกลับกรมกองได้แล้ว กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองในการป้องกันประเทศ ส่วนการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ก็ให้เป็นหน้าที่ของพื้นที่เขา ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ตำรวจ หรือนักการเมืองท้องถิ่น ให้เขาทำกันไป

อย่างล่าสุด กรณีอับดุลเลาะ (อีซอมูซอ) เขาจะเป็นอะไรตายเราไม่รู้หรอก แต่ก่อนหน้านั้นถูกทหารจับกุมไป โผล่มาอีกทีหัวใจหยุดเต้น ต้องส่งโรงพยาบาลให้หมอปั๊มหัวใจ การที่หัวใจคุณหยุดเต้น แล้วพาส่งโรงพยาบาล แล้วมันปั๊มขึ้น แปลว่าคนที่พาส่งโรงพยาบาลมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย พอเห็นว่าสลบ หัวใจหยุดเต้น เลยรีบส่งโรงพยาบาล แต่ถ้าไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์ เขาเป็นของเขาเอง เวลาดึกดื่นขนาดนั้นมันก็ต้องนอนตายไปจนสว่าง

แต่แบบนี้แปลว่าคุณอยู่ในเหตุการณ์ แล้วคุณทำอะไรเขาล่ะ เอาถุงคลุมหัวแล้วมัดไว้ไม่ให้มีอากาศหายใจรึเปล่า มันเลยไม่มีบาดแผล แล้วสมองมันถึงบวม แต่หัวใจยังปั๊มขึ้น

แล้วคนทำก็ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย ไม่ยอมรับ ทำแบบนี้มาตลอด แล้วถามว่ามันจะสงบได้ยังไง

 

มีใครเป็นไอดอลทางการเมืองไหม เช่น บางคนก็เอาคุณไปเปรียบเทียบกับดูเตอร์เต ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์

ไม่ค่อยมีนะ อย่างคุณชวนก็เรียบร้อยไปหน่อย ยิ่งเจอใกล้ๆ ยิ่งรับไม่ค่อยได้ โอเค ท่านก็เคยเป็นนายกรัฐมนตรีที่สุภาพเรียบร้อย พูดช้า อาจจะช้าไปหน่อย ที่คนตั้งฉายาให้ว่า ชวนเชื่องช้า

เมื่อก่อนไม่เคยได้ใกล้ชิดกัน ผมก็ไม่ค่อยรู้หรอก พอได้มาทำงานร่วมกัน เอ๊ะ มันไม่ใช่นี่หว่า ฉะนั้นเราไม่ต้องเป็นใครหรอก เป็นตัวเราเองนี่แหละ

 

แล้วอย่างคุณทักษิณล่ะ คุณเองก็เคยร่วมงานด้วยในช่วงเวลาหนึ่ง มองบทบาททักษิณทุกวันนี้ยังไง ในฐานะคนที่เคยรู้จักและทำงานร่วมกันมา

คุณทักษิณ พูดตรงๆ ผมก็เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ ผมรุ่น 8 คุณทักษิณรุ่น 10 หรือถ้านายร้อยตำรวจผมก็รุ่น 24 คุณทักษิณรุ่น 26 แล้วผมปกครองคุณทักษิณโดยตรงด้วย หมายความว่าเขาจะมีการคัดเลือกนักเรียนนายร้อยตำรวจปี 4 ให้สามคนไปปกครองชั้นหนึ่ง อีกสามคนไปปกครองชั้นสอง อีกสามคนไปปกครองชั้นสาม ตอนนั้นคุณทักษิณอยู่ชั้นสอง ผมก็ได้รับการคัดเลือกให้มาปกครองโดยตรง ฉะนั้นเราก็สนิทกันตั้งแต่เรียนนายร้อยแล้ว แกก็เรียกพี่เสรีๆ ตลอด

หลังจากนั้นผมก็เป็นตำรวจมาเรื่อย ส่วนคุณทักษิณก็เป็นข้าราชการ เป็นนักธุรกิจ เป็นพ่อค้า แล้วก็มาลงการเมือง ก็เดินกันคนละทาง ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ช่วงที่ผมเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. เข้าปีที่ 6 ตอนนั้นคุณเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เขาก็เป็นผู้ช่วยมาหนึ่งปีครึ่ง ถ้าตามลำดับอาวุโสของตำรวจแล้ว ผมจะต้องได้ขึ้นเป็นรองผบ.ตร. ก่อน ปรากฏว่าคุณทักษิณเป็นนายกฯ สมัยนั้น ก็เอาเพรียวพันธ์ข้ามผมไปเลย ผมก็เลยฟ้อง

ปรากฏว่าคุณทักษิณก็ส่งคนมาเจรจากับผม ว่าถอนฟ้องได้มั้ย ถ้าถอนแล้วจะให้ผมขึ้นเป็นผบ.ตร.ก่อน ตอนนั้นเพรียวพันธ์ขึ้นเป็นรองผบ.ตร. ไปก่อนแล้ว แล้วผมถึงได้ขึ้นตาม พอเขาเสนอมาแบบนี้ เราก็ลูกผู้ชาย ไม่มีปัญหา ยอมถอนให้ พอถอนได้ไม่นาน แกก็โดนปฏิวัติปี 2549 จบเลย (หัวเราะ) ทีนี้พอปฏิวัติ เพรียวพันธ์โดนย้ายไป สักพักผมถึงได้เป็นผบ.ตร. ก็ไม่มีอะไร ตอนนั้นถือว่าตกลงกันแล้ว จบแล้วก็จบไป

อย่างเพื่อไทยตอนนี้ ก็เป็นอย่างที่เห็น เราก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับอะไรเขา ก็ตั้งพรรคของเราไป เพียงแต่เรายึดมั่นในประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ ในเมื่ออุดมการณ์เป็นแบบนี้ เราก็ต้องอยู่กับเพื่อไทย ต้องทำงานร่วมกัน ไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนเรื่องเก่าๆ เลิกพูดได้แล้ว หมดสมัยแล้ว

 

คิดยังไงกับการที่ชาวเน็ตเรียกว่า ‘ป๊า’

ดีนะ เป็นป๊า ไม่ใช่ป๋า (หัวเราะ) อย่าว่าแต่ชาวเน็ตเลย แม้แต่ส.ส.บางคน ยังเรียกผมว่าพ่อเลย คุณพ่ออย่างนั้น คุณพ่ออย่างนี้ ด้วยวัยวุฒิอะไรต่างๆ ถ้าเขาเคารพนับถือเราก็ดี เราก็ต้องนิ่งๆ ทำตัวให้ดี จะทำตัวเฮงซวยไม่ได้

 

คิดว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมไทยตอนนี้คืออะไร

ตอนนี้เหรอ คุณประยุทธ์ออกไปคนเดียว จบ

พูดตรงๆ การเมืองจะเปลี่ยนทันทีเลย สองพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทยเนี่ย กลัวทหาร ถ้าประยุทธ์ออกก็จบ ทุกวันนี้ที่คนออกมาเย้วๆ กันเพราะเขาไม่ยอม อย่านึกว่าจะเอาทหารมากดได้ตลอด

 

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save