การที่ประเทศสมาชิกหรือพันธมิตรขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) จะเข้าร่วมปฏิบัติการทางการทหารในอัฟกานิสถานในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา คงจะเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้อยู่
แต่การที่ประเทศสมาชิกหรือพันธมิตรเล็กๆ ที่ประกาศตนเองว่าเป็น ‘ชาติแห่งสันติภาพ’ เป็นชาติแห่ง ‘คนทำดี’ และในขณะเดียวกันก็ส่งกองกำลังของตนเข้าไปในอัฟกานิสถานด้วย ทำให้เกิดคำถามที่ว่า พวกเขาทำความเข้าใจตนเองอย่างไร ความเข้าใจของชาติที่ว่า ตนเป็นผู้รักษาสันติภาพของโลกและเป็นกลางในความขัดแย้งทั้งหลายในช่วงสงครามเย็นนั้น ประสานเข้ากับความเป็นจริงที่ว่าชาติของตนส่งกองกำลังของตนเองเข้าไปในจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งได้อย่างไร? หรือ ทำไมรัฐเล็กเข้าร่วมสงครามใหญ่? – คำถามเหล่านี้ถูกถามโดยนักวิชาการด้านความมั่นคงศึกษาในสวีเดนและนอร์เวย์
เข้าร่วม
หนึ่งปีหลังจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรยกกองกำลังบุกอัฟกานิสถานในปลายปี 2001 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้จัดตั้งกองกำลังช่วยเหลือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ (International Security Assistance Force – ISAF) ขึ้น กองกำลัง ISAF นี้ประกอบไปด้วยชาติที่ส่งกองกำลังเข้าร่วม 51 ชาติ ถือเป็นปฏิบัติการพหุภาคีทางทหารที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง และตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา นักสังเกตการณ์ด้านความมั่นคงเห็นว่า NATO เริ่มกลายร่างมาเป็นองค์การทำสงครามกับกลุ่มตาลีบันไปเสียแล้ว
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ประเทศหนึ่งที่เข้าร่วมปฏิบัติการทางการทหารในอัฟกานิสถานอย่างแข็งขันคือสวีเดน ซึ่งถือเป็นประเทศขนาดเล็กทั้งจำนวนประชากร ทั้งกองกำลังและยุทโธปกรณ์ และทั้งอิทธิพลในเวทีระหว่างประเทศ ในช่วงเวลาดังกล่าว กองกำลังจากสวีเดนเข้าร่วมปฏิบัติการรบระดับปกติ หากกล่าวในหมู่ประเทศสมาชิก NATO ขนาดเล็ก เช่น นอร์เวย์และเดนมาร์ก หรือประเทศขนาดเล็กที่ประกาศตนไม่ร่วมฝ่ายใด อย่าง ออสเตรีย ไอร์แลนด์ และฟินแลนด์ การเข้าร่วมสงครามในอัฟกานิสถานของสวีเดนนั้นเด่นชัดมาก
เป็นกลาง
สวีเดนเข้าร่วม ISAF ตั้งแต่ในปีแรกที่มีการก่อตั้งกองกำลังนี้ รวมทั้งยังเสนอรับผิดชอบทีมฟื้นฟูจังหวัด (Provincial Reconstruction Team – PRT) ในอัฟกานิสถาน รวมทั้งยกระดับการเข้าร่วมทั้งทางการทหารและทางพลเรือนด้วย การที่ประเทศที่ประกาศตนไม่ร่วมฝ่ายใดอย่างสวีเดน จะระดมทรัพยากรในสงครามอัฟกานิสถานในระดับนี้ ย่อมเป็นที่ประหลาดใจแก่ผู้สังเกตการณ์ทางความมั่นคงอย่างมาก
วันที่ 12 ธันวาคม 2001 กองกำลังพหุภาคีนานาชาติที่นำโดยอังกฤษชักชวนสวีเดนเข้าร่วมการบุกเข้าไปในอัฟกานิสถาน รัฐบาลสวีเดนของพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย นำโดยเยอรัน แพร์สัน (Göran Persson) สั่งการให้กองทัพเตรียมตัวทันที และในสภาก็มีการประกาศอย่างแข็งขัน ทั้งการทำโพลก็มีผลปรากฏออกมาว่าคนสวีเดนจำนวนถึงร้อยละ 70 มีความเห็นสนับสนุนให้เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ภายใต้ UN เมื่อสงครามดำเนินไป รัฐบาลพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยประเมินผลงานของตนในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2005 และสรุปว่าเป็นผลงานที่ดีมาก และจะทำให้สวีเดนเป็นผู้เล่นในเวทีนานาชาติที่สำคัญ
ในช่วง 2001-2006 รัฐบาลสวีเดนก็หาเสียงสนับสนุนในสภาเพื่อเพิ่มการเข้าไปมีส่วนร่วมในปฏิบัติการทั้งทางการทหารและพลเรือนในอัฟกานิสถาน และเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลไปสู่ขั้วพรรคอนุรักษนิยม-เสรีนิยมในปี 2006 สวีเดนก็ขยับเพดานการเข้าร่วมทางการทหารของตนขึ้นไปอีกถึงจำนวน 600 นาย
สันติภาพ
ส่วนทางนอร์เวย์เองในฐานะสมาชิก NATO เมื่อสหรัฐฯ ส่งคำขออย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2001 รัฐบาลปีกอนุรักษนิยมที่เพิ่งชนะเลือกตั้งนำโดย เคล แมกเน บุนเดวิก (Kjell Magne Bondevik) ก็สนับสนุนสหรัฐฯ ในปฏิบัติการผสม Operation Enduring Freedom (OEF) ด้วยการส่งเครื่องบินรบ เครื่องบินขนส่ง และกองกำลังทหาร ในรัฐสภาของนอร์เวย์ มีเสียงสนับสนุนให้นอร์เวย์ร่วมรบกับสหรัฐฯ จากทุกพรรค (ยกเว้นพรรคซ้ายสังคมนิยม)
จากนั้นมารัฐบาลของนอร์เวย์จะต้องใช้เหตุผลเรื่องการแทรกแซงทางมนุษยธรรม (humanitarian intervention) เสมอในการหาความชอบธรรมจากประชาชนในการที่นอร์เวย์เข้าร่วมสงครามในอัฟกานิสถาน
แต่ในปี 2005 เมื่อรัฐบาลผสมใหม่ซึ่งเป็นปีกฝ่ายพรรคแรงงาน พรรคสายกลาง และพรรคซ้ายสังคมนิยมจัดตั้งรัฐบาลได้หลังการเลือกตั้ง ประเด็นเรื่องกองกำลังนอร์เวย์ในอัฟกานิสถานเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันอย่างมากทั้งในและนอกรัฐสภา และในปี 2007 นอร์เวย์ก็ตัดสินใจไม่ยินยอมส่งทหารเข้าไปทางใต้ของอัฟกานิสถานตามคำขอของ NATO แต่ยังส่งกองกำลังพิเศษเพิ่ม 150 นายไปสู่บริเวณเมืองหลวงคาบูลแทน
สองเรื่องเดียวกัน: เรื่องเล่าว่าด้วยความเป็นชาติเป็นกลางและสันติ
นักวิชาการด้านความมั่นคงศึกษากลุ่มหนึ่งพยายามเสนอแนวทางในการทำความเข้าใจรัฐเล็กสองรัฐนี้ว่าด้วยสงครามในอัฟกานิสถานตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา แทนที่จะไปดูว่าประเทศเล็กๆ ย่อมมีนโยบายในการเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะตอบคำถามเรื่องนโยบายการเข้าร่วมสงครามในอัฟกานิสถานของสวีเดนและนอร์เวย์ไม่ได้ดีที่สุด จึงเห็นกันว่าอาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนการเข้าถึงปัญหา ย้ายไปดูที่เรื่องการเข้าใจตนเองของประเทศที่ศึกษาเป็นการเฉพาะ ดูวาทกรรมที่เป็นสิ่งกำหนดความเข้าใจของตนเองเหล่านั้น (ดู แรงงานเศรปาบนเทือกเขาของนอร์เวย์) และเสนอว่ามีเรื่องเล่าสองเรื่องเดียวกันที่ดำเนินไป ในด้านหนึ่งคือเรื่องเล่าว่าด้วยความเป็นชาติเป็นกลางและสันติ และอีกด้านหนึ่งคือเรื่องเล่ายุทธาภิวัฒน์
ในกรณีนอร์เวย์ ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา มีบทบาทในการเป็นตัวกลางให้แก่การเจรจาสันติภาพต่างๆ รัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่าต่างเห็นว่า UN ถือเป็นผู้รักษาสันติภาพนานาชาติ และนอร์เวย์ย่อมจะต้องเป็นผู้เล่นสำคัญในกระบวนการนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลของการส่งกองกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน และเน้นย้ำอยู่เสมอเรื่องการปฏิบัติการใดๆ ก็ตามซึ่งอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นหลักการพื้นฐานของการเข้าสู่สงครามจึงมาจากอาณัติ (mandate) ของ UN ในขณะที่เรื่องความสัมพันธ์กับ NATO ย่อมจะต้องถูกทำให้เป็นเรื่องรองลงไปในพื้นที่สาธารณะ
ส่วนในกรณีสวีเดนก็เช่นกัน แม้จะไม่ได้เป็นประเทศสมาชิก NATO โดยตรง แต่บทบาทของสวีเดนในการสนับสนุนองค์กรโลกบาลทั้งหลายก็มีมาอย่างชัดเจนตั้งแต่สมัยสันนิบาตชาติ (League of Nations) มาจนถึง UN เป็นเรื่องเล่าของความเป็นกลางที่ก่อตัวขึ้นเป็นความเข้าใจตนเองแห่งชาติ
แต่บทบาทความเป็นกลางของสวีเดนจบสิ้นไปตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลง นโยบายต่างประเทศขยับเคลื่อนไปสู่แนวทางการทหารแบบไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (military non-alignment) การที่สวีเดนเข้าไปมีบทบาทในสงครามทั้งในบอสเนีย ในโคโซโว รวมทั้งในอัฟกานิสถานนั้น เป็นการต้องการยกระดับสถานะของตนในเวทีนานาชาติ เป็นเรื่องเล่าที่เปลี่ยนมาจากสมัยสงครามเย็น
สองเรื่องเดียวกัน: เรื่องเล่ายุทธาภิวัฒน์
ในขณะเดียวกันก็มีอีกเรื่องเล่าหนึ่งซึ่งดำเนินคู่ขนานกันไปกับเรื่องเล่าข้างต้น คือเรื่องเล่าว่าด้วยยุทธาภิวัฒน์ (ดู ยุทธาภิวัฒน์ในสแกนดิเนเวีย) กล่าวคือการเข้าร่วมปฏิบัติการในอัฟกานิสถานของสวีเดนและนอร์เวย์เป็นกระบวนการสองทาง คือสงครามในอัฟกานิสถานเองก็ส่งผลกลับมาสู่การทหารของประเทศเหล่านี้ด้วย
ในนอร์เวย์ มีการตั้งคณะกรรมาธิการอิสระในการรายงานผลของการเข้าร่วมปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน และตามรายงานได้ระบุว่า การที่นอร์เวย์เข้านำทีม PRT ในจังหวัดหนึ่ง “ส่งผลให้เกิดการกลายเป็นทหารอาชีพของกองทัพนอร์เวย์ ปฏิบัติการครั้งนั้นถือเป็นเป็นประสบการณ์ฝึกภาคสนามทั้งในทางเทคโนโลยีและยุทธวิธี” และทำให้กองทัพนอร์เวย์เข็มแข็งขึ้น ประสบการณ์ในอัฟกานิสถานถือเป็นการรบเข้มข้นที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา และสิ่งเหล่านี้ส่งผลแก่ความเข้มแข็งที่ว่านั้น
ในสวีเดนก็เช่นกัน มีการรายงานประเมินว่า การเข้านำ PRT ในอีกจังหวัดหนึ่งก็ช่วยส่งผลขัดเกลาศักยภาพของกองกำลังทหาร สงครามอันยาวนานในอัฟกานิสถานได้ผลิตความคิดเห็นประการหนึ่งขึ้นมา คือการใช้กองกำลังในอัฟกานิสถานดูจะไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติมากขึ้นในสายตาของกองทัพหรือทหารผู้เข้าร่วมสงครามจากสวีเดน และการรับมือของสงครามก็เป็นไปในแนวทางต่อต้านการก่อการร้ายมากขึ้น ดังเช่นที่สหรัฐฯ กระทำ
20 ปีถัดมา ดูเหมือนว่าทั้งสองเรื่องเล่านี้คงจะต่อสู้กันในพื้นที่สาธารณะของสองประเทศเล็ก แต่เป็นสองเรื่องเล่าที่นักวิชาการทางความมั่นคงศึกษาเน้นให้เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องรับรู้และทำความเข้าใจ
อ้างอิง
– Roxanna Sjöstedt, Erik Noreen, and Jan Ångström, “Why small states join big wars: the case of Sweden in Afghanistan 2002–2014”, International Relations, 2017, 31(2): 145-168.
– Roxanna Sjöstedt and Erik Noreen, “When peace nations go to war: Examining the narrative transformation of Sweden and Norway in Afghanistan”, European Journal of International Security, 2021, 6: 318-337.