fbpx

“โลกใหม่ งานใหม่ ทักษะใหม่” กับ เสาวรัจ รัตนคำฟู

ในยุคเทคโนโลยีดิสรัปชั่นและความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ คำถามแห่งยุคสมัยคือ งานในอนาคตจะเป็นอย่างไร อะไรคือทักษะที่จำเป็น คนไทยและสังคมเศรษฐกิจไทยต้องเตรียมรับมืออย่างไร

101 สนทนากับ ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ว่าด้วยคำถามแห่งยุคสมัยและคำตอบใหม่ๆ ที่อยู่บนฐานงานวิจัยล่าสุด

:: ทักษะและงานในโลกยุคหลังโควิด ::

ปัจจุบันนี้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งโลกหลังโควิดจะยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน พอเกิดโควิดก็มีอุตสาหกรรมบางอย่างที่ได้รับผลกระทบทางลบ เช่น งานแสดง ช่างภาพ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมโดยทั่วไป รวมถึงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น การที่คนอยู่บ้านทำให้อุตสาหกรรมเกมและซอฟต์แวร์เติบโตอย่างก้าวกระโดด

โลกใหม่หลังโควิดประกอบด้วย 3 โลก อันดับแรกคือ โลกเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนโควิดแต่โรคระบาดทำให้คนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น อีกโลกที่เราเห็นคือ โลกเศรษฐกิจสีเขียว ผู้คนตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายคือ โลกเศรษฐกิจใส่ใจ คนใส่ใจทั้งสุขภาพกายและใจมากขึ้น

ตัวอย่างงานที่มีความต้องการสูงและรายได้ดีในเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และนักพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ ตัวอย่างสำหรับเศรษฐกิจใส่ใจ เช่น นักสุขภาพจิต ผู้ช่วยนักกายภาพบำบัด นักรังสีวิทยา และตัวอย่างสำหรับเศรษฐกิจสีเขียว เช่น นักเทคนิคด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ นักเทคนิคด้านพลังงานหมุนเวียนและนักการตลาดสีเขียว

พอเทรนด์ของโลกเปลี่ยนไปเช่นนี้ ความต้องการต่อทักษะแรงงานก็เปลี่ยนไป ซึ่งงานที่มีความต้องการสูงและรายได้ดี ก็ยิ่งต้องการทักษะที่หลากหลายและซับซ้อน ยกตัวอย่างอาชีพผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์ ทักษะที่จะต้องมีคือความรู้ด้านความปลอดภัยไอที ความรู้เกี่ยวกับไอทีขั้นสูง และความรู้ด้านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ทักษะและงานในโลกใหม่เปลี่ยนแปลงไป มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ถ้าเราไม่ปรับตัวก็จะอยู่ไม่ได้

ใน 3 โลก มีโลกที่เราปรับตัวไม่ยากคือ โลกเศรษฐกิจใส่ใจ เพราะเป็นทักษะที่เรามีอยู่แล้ว แต่โลกสีเขียวและโลกเศรษฐกิจดิจิทัลนั้นเรายังต้องปรับตัวอีกมาก 

:: ความต้องการแรงงานที่เข้าใกล้ ‘ความเป็นเทพ’ มากขึ้น ::

แรงงานในโลกยุคใหม่ต้องมีทักษะที่หลากหลาย รู้ลึกอย่างเดียวไม่พอแล้ว ต้องรู้ลึกและรู้กว้างด้วย หรือต้องรู้ลึกหลายอย่างและสามารถเชื่อมโยงกันได้ หรือต้องมีความสามารถในการบูรณาการและสังเคราะห์ หรือจะต้องเก่งทั้งการวิเคราะห์และสังเคราะห์

ก่อนหน้านี้ที่งาน World Economic Forum ได้พูดถึงสิบอันดับแรกของทักษะที่เป็นที่ต้องการภายในปี 2025 จากการสัมภาษณ์ CEO จากทั่วโลกสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มทักษะ

กลุ่มทักษะแรกคือทักษะการแก้ปัญหา เราต้องสามารถคิดวิเคราะห์ สร้างนวัตกรรมได้ มีการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน มีความคิดเชิงวิพากษ์ มีความคิดสร้างสรรค์ และมีการใช้เหตุผล โดยทักษะที่มาแรงมากคือทักษะการคิดวิเคราะห์และการสร้างนวัตกรรม กลุ่มทักษะที่สองคือความสามารถในการจัดการตัวเอง เราต้องรู้จักเรียนรู้ด้วยตัวเอง พอล้มแล้วสามารถลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว สามารถรับมือกับความกดดันและมีความยืดหยุ่น ทักษะกลุ่มที่สามคือความเป็นผู้นำ โดยสามารถที่จะสร้างอิทธิพลทางสังคมได้ และทักษะกลุ่มสุดท้ายคือการใช้เทคโนโลยี เราต้องสามารถใช้เทคโนโลยี ติดตามความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและมีความรู้ด้านการออกแบบและโปรแกรมมิ่ง 

สำหรับประเทศไทย ทักษะที่นายจ้างต้องการ จากการเก็บข้อมูลเวลามีการประกาศรับสมัครงานในบิ๊กดาต้า (big data) ได้แก่ ทักษะภาษาอังกฤษ ทักษะดิจิทัล และทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) นอกเหนือจากทักษะเหล่านี้แล้วก็จะมีซอฟต์สกิล (soft skill) ต่างๆ ที่นายจ้างพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามารถในการสื่อสาร การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การทำงานเป็นทีม การมีความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นมืออาชีพ และความสามารถในการปรับตัว

จะเห็นได้ว่า นายจ้างต้องการความเป๊ะของแรงงานมากขึ้น ทั้งที่จ่ายเงินเท่าเดิม และพอช่วงโควิด ธุรกิจจำนวนมากต้องการลดจำนวนแรงงานลง ในขณะที่ต้องการให้แรงงานมีทักษะที่หลากหลายมากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าโลกเปลี่ยนไป

:: การเรียนรู้ตลอดชีวิต : กุญแจสู่การพัฒนาทักษะให้เท่าทันโลกอันผันผวน ::

ถ้าถามว่าแรงงานไทยมีทักษะเพียงพอสำหรับโลกใหม่แล้วหรือยัง ถ้าเป็นคำว่า ‘พอ’ ก็คงยังไม่พอ ไม่ว่าชาติไหนก็ไม่พอ เพราะความรู้เปลี่ยนแปลงเร็ว สิ่งที่เราต้องมีคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต

จากการสำรวจข้อสอบ PISA ของ OECD ที่มีการตั้งคำถามต่อเยาวชนว่า สติปัญญาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ถ้าหากเขามองว่า สติปัญญาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงการมี growth mindset ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่า ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา แต่มีเด็กไทยเพียง 40% เท่านั้นที่ตอบว่าสติปัญญาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ต่างจากเด็กชาวญี่ปุ่นที่เกือบ 70% ตอบว่าสติปัญญาสามารถเปลี่ยนแปลงได้

ขณะเดียวกัน จากผลการศึกษาของ Sea Group ที่ได้ร่วมมือกับ World Economic Forum (WEF) แสดงให้เห็นว่า 30% ของคนหนุ่มสาวชาวไทยเชื่อว่า ทักษะที่ตัวเองมีอยู่แล้วสามารถใช้ได้ตลอดชีวิต ถ้าเราไปดูสิงคโปร์และเวียดนามจะมีเพียง 10% เท่านั้นที่ตอบแบบนี้ อันนี้น่ากังวลเป็นอย่างมาก เพราะถ้ามีคนจำนวนมากเชื่อว่าทักษะของเราสามารถใช้ได้ตลอดชีวิต เขาจะไม่ปรับตัวรับทักษะใหม่ แล้วสุดท้ายจะทำให้พวกเขาอยู่ยากขึ้น หางานยากขึ้น และหางานที่รายได้ดีได้ยากยิ่งขึ้น

นอกจากเรื่อง growth mindset แล้ว ส่วนหนึ่งที่เป็นเหตุให้คนไทยมีโอกาสได้เรียนหรือได้รับการฝึกอบรมน้อยเป็นเพราะฐานะทางครอบครัวที่ไม่เอื้ออำนวย ปัญหานี้กำลังบอกเราว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของตัวเอง แต่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะรัฐมีหน้าที่ที่จะต้องให้โอกาสคนไทยสามารถยกระดับทักษะเพื่อให้มีงานที่มีรายได้ดีได้

บางทีการที่เราบอกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีโอกาสได้เรียน แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แม้เข้าไปเรียนแล้วก็ออกกลางคัน เราจะเห็นได้ว่าคนที่เรียนในระดับปริญญาตรีมีตัวเลขการออกจากการศึกษากลางคันถึง 16-17% แม้จะมีเหตุผลที่หลากหลาย แต่เหตุผลสำคัญคือปัญหาครอบครัว ซึ่งสะท้อนไปถึงเรื่องความไม่พร้อมในการส่งลูกเรียนหนังสือ แม้ประเทศไทยจะบอกว่าเราให้เด็กเรียนฟรี 15 ปี จนกระทั่งจบ ปวช. แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าเขาจะสามารถเรียนได้ฟรี แต่หากสถานะทางบ้านยากจน สุดท้ายเขาก็ต้องออกไปทำงาน มันสะท้อนให้เห็นว่า รัฐต้องคิดแล้วว่าการให้เรียนหนังสือฟรี 15 ปี อาจจะไม่ตอบโจทย์ ตราบใดที่ประเทศไทยยังมีคนยากจนอยู่มาก แม้ให้เขาได้เรียนฟรี เขาก็ยังไม่มีโอกาส

:: ความเกี่ยวโยงระหว่างสถานศึกษาและตลาดแรงงาน ::

สาเหตุที่บัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมีรายได้มัธยฐานค่อนข้างต่ำกว่ามหาวิทยาลัยประเภทอื่นประมาณ 1,000-2,000 บาทมีหลายสาเหตุ บางทีเป็นเรื่องความไม่พร้อมของหลักสูตร ความไม่พร้อมของผู้สอน หรือความไม่พร้อมของผู้เรียน

แต่ถ้าเราตัดปัจจัยอื่นแล้วดูเฉพาะในส่วนสถาบันการศึกษา หากเปรียบเทียบมหาวิทยาลัยราชภัฏสองแห่งที่อยู่ใกล้เคียงกันในสาขาการบริหารธุรกิจและการตลาด มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งที่หนึ่ง บัณฑิตจบมาแล้วได้เงินเดือน 15,000 บาท แต่มหาลัยวิทยาลัยราชภัฏแห่งที่สอง บัณฑิตจบออกมาแล้วได้เงินเดือน 12,000 บาท ซึ่งเราพบว่าสาเหตุของความต่างนี้เกิดจากการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งที่หนึ่งมีความเข้มข้นของการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศและมีการเปิดสอนวิชาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งที่สอง รวมถึงมีการสอนโดยอาจารย์ที่จบตรงสาย นี่คือสิ่งที่บอกว่า ถ้าเราตัดตัวแปรอื่นเพื่อมองเฉพาะหลักสูตรแล้ว สถาบันการศึกษาเองก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเหมือนกัน

หัวใจสำคัญในการปรับตัวของสถานศึกษาคือต้องมีการสอนทักษะที่ตลาดต้องการ เพื่อให้นักศึกษามีทักษะเหล่านี้แล้วสามารถได้งานที่ดี จริงๆ แล้วสถาบันการศึกษาในไทยก็พยายามปรับตัว เช่น เรามี Thailand Massive Open Online Course Platform หรือ Thai MOOC ระบบจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่สนับสนุนให้คนไทยได้ศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต แต่หลักสูตรดังกล่าวก็ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องความรับผิดรับชอบ ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ก็มีธนาคารหน่วยกิต (credit bank) ซึ่งเปิดให้นักศึกษาสามารถสะสมหน่วยกิตได้ ข้อดีคือไม่จำเป็นต้องเรียนให้จบภายใน 4 ปี แต่สามารถสะสมหน่วยกิตไปได้เรื่อยๆ แม้ว่าข้อดีคือให้ความยืดหยุ่นกับผู้เรียน แต่ปัญหาคือ ยังไม่ตอบโจทย์การมีหลักสูตรที่ตรงตามความต้องการของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากสาขาที่ความรู้เปลี่ยนเร็ว เช่น ไอที การให้สะสมหน่วยกิตไปเรื่อยๆ ยาวๆ อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีนัก

ส่วนตัวอย่างที่ตอบโจทย์เรื่องของทักษะได้ดีคือสิ่งที่เรียกว่า work-integrated learning (WIL) หรือการเรียนในสถาบันการศึกษาควบคู่ไปกับการทำงานจริงในสถานประกอบการ ตรงนี้คือสิ่งดีที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการทำงานจริงและทำให้ผู้เรียนมีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาด แต่ปัญหาคือประเทศไทยยังมีโครงการแบบนี้น้อย

:: การสนับสนุนการพัฒนาทักษะที่ไม่เพียงพอของภาครัฐ ::

หากถามว่านโยบายของภาครัฐให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของคนไทยเพียงพอหรือยัง อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่ายังไม่เพียงพอ เพราะเราต้องเรียนรู้ทักษะใหม่อยู่ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายของเรายังมีลักษณะเฉพาะหน้ามาก ไม่ได้มองในระยะยาว ยกตัวอย่างการให้เงินช่วยเหลือในสภาวะที่ผู้คนที่ทำงานไม่ได้ เช่น นักร้องศิลปิน นักดนตรีหรือคนที่ทำงานในผับ เป็นต้น ซึ่งการช่วยเหลือในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นเท่านั้น

จริงๆ แล้วรัฐควรสนับสนุนให้ประชาชนฝึกทักษะ แต่เรายังไม่ได้ทำส่วนนี้มากนัก เราทำแค่แจกเงินเฉพาะหน้า ทั้งที่โลกใหม่หลังโควิดทั้ง 3 โลก ได้แก่ โลกเศรษฐกิจดิจิทัล โลกเศรษฐกิจใส่ใจ และโลกเศรษฐกิจสีเขียว เป็นโลกที่ทักษะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลากหลาย ภาครัฐก็ต้องปรับตัวให้เร็วและหลากหลายด้วย แต่เรายังเห็นว่ารัฐยังทำได้ไม่ดีพอ

ส่วนข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย อันดับแรกที่ควรทำคือ สถาบันฝึกอบรมจะต้องสอนให้ดี เพื่อแก้ปัญหาการไม่มีความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่มีหลักสูตรไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ในขณะเดียวกันก็สามารถนำโมเดลของประเทศอื่นมาปรับใช้ได้ เช่น ในสิงคโปร์ ผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปจะได้รับคูปองมูลค่า 500 ดอลลาร์สิงคโปร์เพื่อนำไปเลือกเรียนทักษะอะไรก็ได้ที่ทำให้เขามีรายได้ดี

นอกจากนี้ ภาครัฐจะต้องแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มพูนทักษะให้คนไทยด้วย ตัวอย่างเช่น ตำแหน่งพยาบาลที่มีความต้องการสูงมาก แต่กลับมีข้อบังคับของสภาการพยาบาลว่า หากจะเปิดวิทยาลัยพยาบาลแห่งใหม่ต้องมีการจับคู่กับสถาบันพี่เลี้ยงหนึ่งแห่งเพื่อควบคุมคุณภาพ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ไม่มีใครอยากให้มีคนมาเป็นคู่แข่งเพิ่มหรอก ข้อบังคับนี้จึงเป็นการกีดกันการจัดตั้งวิทยาลัยพยาบาลแห่งใหม่ แต่จริงๆ มีวิธีอื่นที่สามารถควบคุมคุณภาพได้โดยไม่ต้องมีข้อบังคับในลักษณะนี้ เพราะฉะนั้น กฎระเบียบของภาครัฐก็จำต้องมีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save