fbpx

“ผมใช้ค้อนตอกภาพวาดที่หน้าต่างไว้กันระเบิด”: เสียงและเลือดเนื้อประชาชนกลางไฟสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ณ วินาทีที่ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูตินประกาศส่งกองทัพรัสเซีย ‘บุกรุก’ ยูเครน สงครามไม่ใช่เพียงแค่เกมกระดานการเมืองระหว่างมหาอำนาจโลกเท่านั้น แต่ที่สำคัญ – และสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด นั่นคือวินาทีเริ่มต้นของโศกนาฎกรรมแห่งมนุษยชาติ

หลายภาพที่ปรากฏต่อสายตาประชาคมโลกคือซากปรักหักพังของเมืองและอาคารบ้านเรือนจากระดมโจมตีทางอากาศ รวมทั้งชีวิตประชาชนชาวยูเครนที่อยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างความเป็นและความตาย ระหว่างความกล้าหาญและความหวาดผวา ราวกว่าล้านคนจำต้องตัดสินหนีตายลี้ภัยสงครามไปยังต่างถิ่น หลายคนที่พร้อมสู้ตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อเผชิญหน้ากับผู้รุกรานแผ่นดินเกิด และไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตเพราะความกระหายอำนาจของผู้นำรัสเซีย

ท่ามกลางไฟสงครามรัสเซีย-ยูเครน ด้วยความช่วยเหลือจาก อาเท็ม โพโนมาเรสฟกี สื่อชาวยูเครน 101 ชวนฟัง ‘เสียง’ และ ‘เรื่องราว’ ของประชาชนชาวยูเครนจาก Chernihiv และ Sumy สองแคว้นทางภาคเหนือของยูเครน และกรุงคีฟ – สามแนวรบสำคัญที่ตกอยู่ภายใต้วงล้อมและการโจมตีของกองทัพรัสเซีย

“ผมใช้ค้อนตอกภาพวาดที่หน้าต่างไว้กันระเบิด” – Oleksandr, นักข่าวและนักเคลื่อนไหวจาก Chernihiv*

“ผมไม่ได้นอนในคืนก่อนประกาศบุกยูเครน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดดูถ้อยแถลงของปูติน [เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ก่อนประธานาธิบดีปูตินประกาศบุกยูเครน] แล้วก็ตระหนักได้ว่ามันคือการประกาศสงคราม หลังจากนั้น คนก็เริ่มเขียนและโพสต์วิดีโอว่ามีการระเบิดโจมตีในหลายเมือง”

“เพื่อนๆ ผมไม่เชื่อว่าสงครามเริ่มขึ้นแล้ว แต่พวกเขาตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นด้วยเสียงยิงมิสไซล์และเพลิงจากการทิ้งระเบิด ทุกคนตกอยู่ในอาการช็อก ผู้คนเริ่มอพยพออกจากเมือง ระหว่างทางไปทำงาน ผมได้ยินเสียงไซเรน และตอนนี้ก็ได้ยินเสียงไซเรนดังตลอดเวลา มันติดอยู่ในหัว คนอื่นๆ ก็มีปัญหานี้เหมือนกัน”

“บรรณาธิการบริหารสำนักข่าวเราเพิ่งออกจากเมืองไปกับลูกๆ พวกเรานักข่าวก็ถูกขอให้ออกจากสำนักงาน เพราะมีการทิ้งระเบิดในพื้นที่ใกล้ๆ มีแค่ผมกับเพื่อนร่วมงานบางคนที่ยังอยู่คอยติดตามสถานการณ์ รวบรวมข้อมูล และรายงานข่าวให้ประชาชนในเมืองได้ทราบ”

“ผมทานอะไรไม่ลงเลยในช่วง 2 วันแรกเพราะเครียดมาก แต่อีกอย่างคือ มันยากมากที่จะซื้อของในร้านค้า ในขณะที่มีคนราวร้อยกว่าคนต่อแถวรอซื้อของอยู่”

“แถวบ้านพ่อแม่ผม ไฮเปอร์มาร์เก็ต ‘Epitsentr’ พร้อมทั้งเขตที่อยู่อาศัยถูกระเบิดทั้งหมดเลย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เขตที่มีกองกำลังทหารอยู่ ตอนแรก มีมิสไซล์ยิงมาที่บ้านของเพื่อนบ้าน จากนั้น มิสไซล์อีกลูกก็ยิงมาที่บ้านของพ่อแม่ผม ทำลายกำแพงบ้านไปกว่าครึ่ง หลังจากรัสเซียหยุดทิ้งระเบิดไปสักระยะก็เริ่มทิ้งต่ออีกรอบ ผมเกือบจะรับพ่อแม่จากบ้านมาอยู่ที่อพาร์ตเมนต์กลางเมืองด้วยไม่สำเร็จ”

“ที่เขตนั้นแทบไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนเหนือของภูมิภาค Chernihiv ถูกโจมตีทั้งหมดจากระบบยิงจรวด ‘กราด’ ของรัสเซีย (‘BM-21 Grad’)”

“ช่วงก่อนหน้านี้ผมเริ่มสนใจวาดภาพ และเคยวาดบางภาพไว้บนไฟเบอร์บอร์ด ผมเลยใช้ค้อนตอกภาพวาดทั้งหมดที่หน้าต่างไว้กันระเบิด เพราะกลัวว่าจะหนีไปที่หลุมหลบภัยไม่ทัน”

“ภูมิภาค Chernihiv มีพรมแดนติดกับเบลารุส มีขีปนาวุธจากเบลารุสยิงมาเพื่อโจมตีกลางเมือง ในเวลาเดียวกัน ระบบขีปนาวุธ ‘อิสคานเดอร์’ ของรัสเซีย (‘9K720 Iskander’) ก็ปฏิบัติการอยู่ในเขตแดนของเบลารุส ผลก็คือ โรงภาพยนตร์ โรงพยาบาลจิตเวช คลินิกทันตกรรม โรงพยาบาล โรงทำความร้อน ห้องสมุด โรงเรียน โรงเรียนอนุบาล รวมทั้งบางส่วนของย่านพักอาศัยเสียหายหรือถูกโจมตีเกือบแทบทั้งหมด หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดจากเมืองที่เราอยู่ไม่เหลืออะไรแล้ว จุดมุ่งหมายของศัตรูคือต้องการทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความหวาดผวา”

“รัสเซียพยายามใช้รถถังจำนวนมาก ปืนใหญ่ และระบบขีปนาวุธเพื่อโจมตียืดเมือง เวลา ‘อิสคานเดอร์’ ยิงมา มันทำให้ผมนึกถึงแผ่นดินไหว อาคารตึกรามบ้านช่องสั่นไหวไปหมด”

“เราเรียกเหตุการณ์ต่อต้านกองกำลังทหารรัสเซียช่วงที่ผ่านมากันว่า ‘ยุทธการ Chernihiv 2022’ ชาวเมืองออกมาหยุดกองกำลังเองเลย ชาวเมืองในเมือง Koriukivka เพิ่งเอาตัวเองออกมากั้นถนนจนรถถังต้องเลี้ยวกลับออกไป แต่ในเมือง Bakhmach ชาวเมืองหยุดกองกำลังได้ไม่สำเร็จ เราได้ข้อมูลมาว่า ทหารรัสเซียที่เข้ามาบุกรุกยิงพลเรือนที่ออกมาขัดขวางการเคลื่อนพลในเมือง Ichnia หรือมีกรณีที่ทหารรัสเซียขับไล่คนออกจากบ้านตลอดช่วงกลางคืนจนต้องทรมานกับอากาศหนาวจัดในช่วงฤดูหนาว นี่คือเหตุผลว่าทำไมพลเรือนหลายคนถึงตัดสินใจเข้าร่วมกองกำลังป้องกันหรือพร้อมที่จะสู้กับทหารรัสเซียผู้รุกรานด้วยมือเปล่า”

“ผมอยากขอบคุณทั่วโลกสำหรับความช่วยเหลือ เราสัมผัสมันได้จริงๆ ไม่ว่าจะการประท้วงต่อต้านสงคราม สิ่งของ เงินบริจาค หรืออาวุธ เราต้องการมันจริงๆ ถ้าคุณช่วยเราได้อีกจะเยี่ยมมาก!”

“ในความเป็นจริง โลกมันเล็ก ถ้ารัสเซียทำลายเราได้ รัสเซียจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ จุดมุ่งหมายสูงสุดของรัฐก้าวร้าวเช่นนี้คือใช้กำลังปกครองโลกเพียงแค่เพื่อที่จะรับรู้ถึงอำนาจของตัวเองเท่านั้น นี่คือความคิดของรัสเซีย และกล่าวอ้างกันอย่างชัดเจนในแพลตฟอร์มของรัสเซียว่า พรมแดนของรัสเซียไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น ไม่มีใครในโลกปลอดภัยแล้ว นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการต่อกรต่อแนวคิดนีโอนาซีเช่นนี้ถึงสำคัญมาก”

“ชาวรัสเซียที่รักสันติควรรู้ว่า การหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนครั้งนี้จะนำไปสู่จุดจบของรัสเซีย จงหยุด ไม่เช่นนั้นพวกคุณจะต้องรับผิดชอบต่อความเพิกเฉย”

“ส่วนรัฐบาลรัสเซียควรกลับไปอ่านประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ดี แนะนำให้ดูภาพยนตร์เรื่อง ‘นูเรมเบิร์ก’ (‘Nuremberg’) ที่ออกมาในปี 2000 และผมขอให้กองทัพที่บุกรุกมาทำสงครามกลายเป็นปุ๋ยให้หมด”

ความเจ็บปวดและความเกลียดชังใน Sumy – ชาวยูเครนผู้ไม่ประสงค์ออกนามจาก Sumy*

“ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 เห็นศัตรูบุกเข้ามาในภูมิภาค Sumy และต่อสู้กับกองทัพยูเครน มีการยิงปืนฮาวอิตเซอร์ (ปืนใหญ่วิถีโค้ง) ผลที่ตามมาคือ รัสเซียสามารถปิดล้อมภูมิภาค Sumy และตั้งด่านเข้าออกเมืองได้ มีกองพันทหารรัสเซียคอยตรวจตราพลเรือนในเมือง ขบวนรถหุ้มเกราะเคลื่อนมาที่เมือง แต่ก็ยังยึดเมืองไม่ได้ วันนี้ [วันที่ 2 มีนาคม 2022] ขบวนรถบรรทุกแก๊ส แท็งก์แก๊ส และยานพาหนะของกองทัพรัสเซียถูกโจมตีและยึดโดยกองกำลังป้องกันของยูเครน ในเมือง Sumy ตอนนี้ยังคงถูกบล็อก กองกำลังฝ่ายยูเครนยังคงปฏิบัติการต่อไป”

“เมื่อไม่นานมานี้มีการโจมตีโรงเรียนอนุบาลในเมือง Okhtyrka มีกองทหารรัสเซียสองหน่วยประจำการอยู่ที่เมืองนั้น การจู่โจมเมือง Okhtyrka ไม่สำเร็จเท่าไหร่นักหลังจากรัสเซียระดิมยิงมิสไซล์ชุดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีคนหลบภัยในโรงเรียนอนุบาล คนที่ทำหน้าที่ยามรักษาการณ์ถูกฆ่า มีผู้หญิงคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ มีเด็กอายุ 10 ขวบคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล”

“หลังจากมีการระดมยิงมิสไซล์อีกระลอก ทุกที่ถูกโจมตี บ้านเรือนกลายเป็นซากปรักหักพัง มีคนบาดเจ็บร่วมกว่า 70 คน และมีคนเสียชีวิตร่วมกว่า 10 คนตามที่นายกเทศมนตรีเมือง Okhtyrka ออกมาชี้แจ้ง”

“ในเมือง Konotop อาคารที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหาย และยังคงมีการต่อสู้กันอยู่ในเมือง อีกอย่างหนึ่งคือมีข้อมูลว่ากองทัพรัสเซียคุมทางยกระดับระหว่างคีฟ-มอสโกได้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งค่อนข้างแย่พอสมควรจากการที่ไม่สามารถลำเลียงกำลังหรือเสบียงได้”

“รู้สึกหวาดกลัว เจ็บปวด และเกลียดชัง ไม่เคยคิดฝันหรือจินตนาการว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ ถ้าโศกนาฏกรรมยังไม่หยุดลง ประชากรยูเครน 40 ล้านคนจะต้องทุกข์ทรมานจากหายนะทางมนุษยธรรม ผู้คนแทบไม่มีอาหารจะประทังชีวิตหรือยารักษาโรค ความหิวโหยอาจกกำลังจะเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ โรงพยาบาลก็ไม่เปิดแล้วเหมือนกัน สถานการณ์อาจจะดำเนินไปสู่จุดที่น่าเศร้าสลดและรุนแรงกว่าสงครามซีเรีย นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเราถึงเรียกร้องให้มีการการปิดน่านฟ้าและการสนับสนุนกำลังอาวุธให้แก่กองทัพยูเครน”

“ศัตรูในอีกฟากฝั่ง [รัสเซีย] เริ่มบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!”

คีฟยังคงยืนหยัด – Alisa, นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมและหญิงกล้าผู้ปกป้องประชาชนจากกรุงคีฟ*

“เราได้ยิงเสียงระเบิดดังตลอดเวลา ในวันที่สามของการบุกรุก เราเรียนรู้แล้วว่าจะแยกทหารรัสเซียอย่างไร ตอนที่เรากำลังหลบอยู่ที่หลุมหลบภัย เราตกใจมากที่เห็นข้อความว่าศัตรูยึดบางพื้นที่ในเมืองได้แล้ว แต่พออินเทอร์เน็ตต่อได้อีกครั้ง ปรากฏว่ากองกำลังยูเครนยังรักษาและควบคุมสถานการณ์ในเมืองได้อยู่ อย่างไรก็ตาม เสียงระเบิดหลายระลอกดังมากจากเมืองรอบๆ คีฟ ซึ่งอยู่มาห่างจากเรามากนัก อาคารหลายแห่งในคีฟได้รับความเสียหายจากการโจมตี รวมไปถึงตึกรามบ้านช่องในเขตที่พักอาศัยด้วย”

“ซูเปอร์มาร์เก็ตกับร้านขายยาบางแห่งยังเปิดอยู่ได้บ้าง แต่ก็แค่ในบางพื้นที่เท่านั้น ฉันไม่ได้ออกไปข้างนอกไกลมากนัก ทั้งขนส่งมวลชนและรถไฟใต้ดินหยุดเดินรถแล้ว แต่ในวันแรกยังเปิดอยู่ เราถูกระเบิดถล่มตอนกลางคืน แต่รถบัสและแทรมยังคงให้บริการระหว่างวันอยู่”

“สถานการณ์ช่วงแรกเรามีหลุมหลบภัยไม่พอ เพราะไม่มีใครคาดไว้ว่าจะเกิดสงครามเช่นนี้ หลายบาร์กลางเมืองเปิดหลุมหลบภัยให้ แม้ว่าจะไม่มีอุโมงค์ทางออกฉุกเฉิน หลายแห่งไม่มีช่องระบายอากาศ หรือไม่ห้องน้ำก็ใช้ไม่ได้ ค่อนข้างมีปัญหาพอหลุบหลมภัยมีขนาดใหญ่และออกแบบมาสำหรับคน 200 คน ส่วนทหารอาวุธครบมือก็คอยลาดตระเวนตามท้องถนนในช่วงกลางคืน”

“สถานการณ์ยากลำบากก็จริง แต่ต้องบอกว่าผู้คนค่อยๆ เริ่มพร้อมรับมือและจัดการอะไรต่างๆ ร่วมกันได้ดีมาก มีคนนำน้ำมาที่หลุมหลบภัย ซ่อมห้องน้ำ จัดการให้น้ำอุ่นกลับมาใช้ได้อีกครั้ง หรือช่วยจัดเตรียมหลุมหลบภัยให้สะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่แค่สำหรับตัวเอง แต่สำหรับคนอื่นๆ ด้วย”

“หลายคนออกไปช่วยกันแกะป้ายระบุตำแหน่งที่ฝ่ายรัสเซียเอามาแปะไว้ออก ทั้งป้ายที่เคลือบด้วยฟลูออเรสเซนซ์ ป้ายพวกนี้มองแทบไม่เห็นในช่วงกลางวัน รวมถึงป้ายเคลือบนีออนที่เห็นได้ในแสงอัลตราไวโอเล็ตเท่านั้น หลายครั้งที่ป้ายระบุอยู่บนหลังคา คาดว่าน่าจะไว้ใช้สำหรับระบุตำแหน่งลงจอด พวกเราประชาชนจัดตั้งหน่วยลาดตระเวนกันเอง เสี่ยงชีวิตออกไปสังเกตการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างรอบๆ รวมทั้งเตรียมระเบิดขวดโมโลตอฟ ฉันภูมิใจในพลังของพวกเราชาวยูเครนมาก!”

“มีหญิงชราอายุราว 80 ปี คนหนึ่งมาหลบอยู่ที่หลุมหลบภัย เธอบอกว่าเธอกำลังหาขนมเล็กๆ น้อยๆ จากบ้านมาแบ่งเด็กๆ แต่ที่ฉันเจอที่บ้านเธอกลับไม่ใช่ขนม แต่เป็นปืน กระสุน พร้อมใบอนุญาตถือครองปืน! เซอร์ไพรส์มาก ที่หลุมหลบภัยเรามีโอกาสได้รู้จักชายคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ที่จีนมาหลายปี แล้วตอนนี้ก็ตัดสินใจกลับยูเครนมาเพื่อปกป้องประเทศ แน่นอนแต่ละคนย่อมเผชิญสถานการณ์ที่ต่างกัน บางคนเลือกที่จะลี้ภัยเพื่อรักษาชีวิต บางคนก็ตัดสินใจกลับมาเพื่อสู้”

“ที่เราร่วมแรงร่วมใจกันต่อกรกับรัสเซียได้ในหลายๆ แนวรบ เครดิตที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้อยู่ที่ภาวะผู้นำของประธานาธิบดี แต่ต้องยกให้แก่ประชาชนชาวยูเครน มันไม่ได้สำคัญว่าในการเลือกตั้งครั้งก่อนพวกเขาลงคะแนนให้แก่พรรคการเมืองไหน หรือว่าผิดหวังในตัวผู้นำทางการเมืองหรือไม่ ตอนนี้พวกเราทุกคนลุกขึ้นต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ นี่คือตัวชี้วัดสำคัญว่ายูเครนเป็นประชาธิปไตย เราไม่ได้สู้เพื่ออำนาจ แต่เราสู้เพื่อตัวเราเอง เพื่อประเทศ อัตลักษณ์ ภาษา และวัฒนธรรมของเราเอง ปูตินช่วยให้เรารวมพลังเป็นหนึ่งได้โดยที่ไม่รู้ตัว คนที่ก่อนหน้านี้ไม่เชื่อว่ารัสเซียก้าวร้าวหรือจะรุกรานยูเครนก็เชื่อแล้ว ไม่ต่างจากตอนที่เราแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต หลายคนเริ่มตื่นตัวทางการเมืองมาก จากนั้นกระแสก็ค่อยๆ ซาลงจนกระทั่งในปี 2014 [หลังการปฏิวัติไมดาน] และสุดท้าย ณ เวลานี้คนเริ่มกลับมาคิดวิเคราะห์ ติดตามข่าวสาร หยุดเพิกเฉย และสนใจความเป็นไปแล้วว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นบ้าง”

“ฉันภูมิใจในความแข็งแกร่งของยูเครนมาก ฉันนึงถึง ‘คอสแซกส์’ (‘Cossacks’) กลุ่มนักรบยูเครนเมื่อหลายศตวรรษที่แล้วที่ไม่มีอะไรเลย พยายามลุกขึ้นมาปกป้องดินแดน และจัดตั้งกองกำลังปกป้องผู้คน ตอนนี้ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง เหล่าประชาชนที่กล้าหาญ ทั้งชาย หญิง หรือแม้กระทั่งเด็กอายุ 15-16 ต่างพร้อมที่จะต่อต้าน เราแสดงให้โลกเห็นเสมอว่าเราสามารถจัดการได้”

“เราอยากเข้าร่วมนาโตมาตลอด แต่คำถามอยู่ที่ว่านาโตอยากร่วมสู้กับเราหรือเปล่า เพราะเราแสดงให้เห็นแล้วยูเครนมีกองทัพที่เข้มแข็งไม่แพ้ที่ไหนในโลก”

“แน่นอน เรารู้สึกขอบคุณโลกที่สนับสนุนยูเครนและอีกหลายๆ ประเทศที่ส่งความช่วยเหลือมาให้เรา นี่คือช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายสำหรับเรามาก เพราะนี่ไม่ใช่แค่สงครามระหว่างสองประเทศอย่างเดียว แต่เป็นสงครามระหว่างสองระบบการเมือง ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย และประชาธิปไตยจะต้องชนะ!”

“ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เราประกาศต่อโลกว่ายังไม่แพ้ และจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น” – คีรา รูดิก ส.ส. หญิงยูเครนที่ตัดสินใจจับปืนเพื่อประเทศ**

“ช่วงนี้คีฟตกอยู่ในการโจมตีทางอากาศทุกวัน ประมาณ 2-5 ครั้ง ปกติรัสเซียจะโจมตีช่วงกลางคืน แต่บางครั้งก็โจมตีช่วงกลางวันเหมือนกัน ทุกครั้งที่เราได้ยินสัญญาณไซเรน เราจะต้องไปที่หลุมหลบภัยเพื่อลดโอกาสเสียชีวิต”

“ล่าสุดกองทัพอากาศรัสเซียโจมตีอพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ บริเวณที่ฉันอาศัยอยู่ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีใครเสียชีวิต” (ต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม 2022 คีราเปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดียของเธอว่า มีการทิ้งระเบิดบริเวณหอกระจายสัญญาณโทรทัศน์ในกรุงคีฟ และในวันที่ 6 มีนาคม 2022 เธอเผยว่ามีการทิ้งระเบิดบริเวณฟิตเนสที่เธอใช้บริการเป็นประจำ)

“กองทัพรัสเซียกำลังมุ่งหน้ามาที่คีฟ บุกมาจากสองทาง ทั้งทิศเหนือและใต้ แต่เราจะต้านกองทัพรัสเซีย หน่วยปฏิบัติการพิเศษได้รับหน้าที่ให้ดูแลจุดยุทธศาสตร์สำคัญในเมือง ส่วนกลุ่มต่อต้าน (resistance groups) จะคอยลาดตระเวนตามถนน คอยเฝ้าระวังหน่วยย่อยที่กำลังเคลื่อนพลมายังคีฟและพยายามรุกรานโจมตีเรา”

“เราตัดสินใจจัดตั้งกลุ่มต่อต้านขึ้นมาหลังจากสงครามเริ่ม เราได้รับแจกอาวุธ ส่วนฉันเองก็มีปืนคาลาชนิคอฟ (ปืน AK-47) อยู่กับตัว กำลังอยู่ในช่วงการฝึกยิงอยู่ ในกลุ่มต่อต้านที่ฉันสังกัด เรามีสมาชิกประมาณ 15 คน ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม สู้ตายค่ะ! (หัวเราะ) เท่าที่รู้ ส.ส. ในฝ่ายเดียวกันก็เข้าร่วมกับกองกำลังต่อต้านกันหมด”

“มันเหมือนฝันมาก ถ้าคุณถามฉันเมื่อประมาณ 5 วันก่อน ฉันคงตอบว่า ‘โอ้ ไม่ล่ะ’ แต่พอมองไปที่ครอบครัวและบ้าน ฉันโกรธมากที่การตัดสินใจทำสงครามโจมตียูเครนของปูตินทำให้ชีวิตสามัญธรรมดาต้องเปลี่ยนไป นี่คือจุดที่ฉันตัดสินใจจะจับปืน ฉันจะไม่หนี จะปกป้องประเทศ เมือง และครอบครัวของฉัน ก่อนหน้านี้เหล่า ส.ส. ต่างก็ถกเถียงการเมืองกันในสภา แต่ตอนนี้เราต้องร่วมกันสู้ เราฝึกอาวุธและจะมุ่งหน้าไม่ถอย”

“ทุกๆ ค่ำคืน โลกและพันธมิตรจะบอกว่า นี่อาจเป็นคืนสุดท้ายของคีฟแล้ว แต่ทุกเช้าที่เราตื่นขึ้นมา เราประกาศต่อโลกว่า เรายังไม่แพ้ คีฟยังไม่ถูกยึด บอกตามตรง เราวางแผนว่าจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เราจะต่อต้านและสู้รัสเซียกลับ ไม่ใช่แค่ให้ถอยร่นจากยูเครนเท่านั้น แต่ให้ถอยกลับไปยังรัสเซียเลย”

“นี่ [การประกาศบุกยูเครน] ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย เพราะเรารู้ว่ารัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ก้าวร้าวที่สุดในโลก แต่ไม่มีทางเลยที่จะไม่มีการต้านรัสเซียกลับ และยูเครนคือหนึ่งในพลังต่อต้าน อย่างที่เรากำลังต้านอยู่ตอนนี้”

“ปูตินอาจจะคิดว่าเขาคุมคาซัคสถาน เบลารุส หรือค่อยๆ ซึมอิทธิพลต่อรัฐบาลจอร์เจียได้ แต่เขาทำแบบนี้กับยูเครนไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมปูตินถึงเลือกตัดสินใจใช้กำลังทางการทหาร ซึ่งมักจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะว่าไม่มีทางอื่นแล้วที่ปูตินจะใช้จัดการยูเครนได้ พูดได้ด้วยความยินดีเลย”

“ควรจะต้องมีการรวมกันและสร้างความเป็นเอกภาพในหมู่ประเทศประชาธิปไตยทั้งหมด เหมือนอย่างในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองที่มีการแบ่งค่ายระหว่างประเทศประชาธิปไตยและอีกค่ายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราเห็นความเป็นเอกภาพในหมู่ชาวยูเครนแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการเอาชนะปูติน ฉันมั่นใจว่าตอนนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกที่จะหยุดประเทศเพื่อนบ้านที่ก้าวร้าวได้ รวมทั้งมาตรการคว่ำบาตรและการสนับสนุนชาวยูเครนจะทำให้รัสเซียถอยกลับได้ ให้ปูตินต้องคอยกลับไปจัดการกับปัญหาภายในประเทศ และทำให้รัสเซียยอมแพ้ได้”

“ในฐานะ ส.ส. และหัวหน้าพรรคโกโลส ฉันจะอยู่ที่คีฟ จับอาวุธ และรวบรวมคนที่สามารถถืออาวุธได้เข้ากลุ่มร่วมต่อต้าน สอง พวกเราในฐานะ ส.ส. กำลังร่วมกันตราข้อกฎหมายว่าด้วยการสบคบคิดกับฝ่ายตรงข้าม การบูรณะประเทศขึ้นมาใหม่ และการขอความช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศ สภาทำงานร่วมกันจากทางไกลอย่างไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรากำลังทำให้คืบหน้าอยู่” (เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2022 รัฐสภายูเครนลงมติข้อกฎหมายว่าด้วยการเรียกร้องให้ประเทศพันธมิตรกำหนดเขตห้ามบินบริเวณน่านฟ้ายูเครน และการโอนทรัพย์สินสัญชาติรัสเซียให้อยู่ในการกำกับดูแลของยูเครน)

“ฉันกังวลมากเรื่องว่าจะบูรณะประเทศขึ้นมาใหม่หลังสงครามจบได้อย่างไร แต่เราพร้อมแล้วที่จะลงมือ”

“ที่เราต้องการมากที่สุดตอนนี้คือเขตห้ามบิน (No-Fly Zone) ฉันและพรรคเรียกร้องให้มีมาตรการปิดน่านฟ้าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ตอนแรกประเทศพันธมิตรที่เป็นสมาชิกนาโตบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้คือโอกาสที่จะทำแล้ว การปฏิบัติทางบกเป็นไปได้ด้วยดี เราสู้รัสเซียได้ แต่เป็นเรื่องยากมากที่เราจะป้องกันน่านฟ้าทุกเมืองในยูเครน เราต้องการความช่วยเหลือจากประเทศพันธมิตรนาโตในเรื่องนี้ นี่คือประเด็นหลักที่สำคัญที่สุด”


*สัมภาษณ์โดย อาเท็ม โพโนมาเรสฟกี (Artem Ponomarevskiy) นักชำนาญการด้านสื่อและการสื่อสาร, ล่ามและนักแปล, ประชาชนชาวยูเครนในลิทัวเนีย ผู้ตัดสินใจใช้พลังในการสื่อสารเพื่อช่วยเหลือประเทศบ้านเกิดจากการรุกรานของรัสเซีย

**สัมภาษณ์โดย ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2022 อ่านสัมภาษณ์ของคีรา รูดิกฉบับเต็มได้ ที่นี่

ภาพประกอบจาก Operational Command ‘North’

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Spotlights

4 Nov 2020

101 Policy Forum : ประเทศไทยในฝันของคนรุ่นใหม่

101 เปิดวงสนทนาพูดคุยกับตัวแทนวัยรุ่น 4 คน ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน , สิรินทร์ มุ่งเจริญ, ภาณุพงศ์ สุวรรณหงษ์, อัครสร โอปิลันธน์ ว่าด้วยสังคม การเมือง เศรษฐกิจไทยในฝัน ต้นตอที่รั้งประเทศไทยจากการพัฒนา ข้อเสนอเพื่อพาประเทศสู่อนาคต และแนวทางการพัฒนาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่

กองบรรณาธิการ

4 Nov 2020

World

1 Oct 2018

แหวกม่านวัฒนธรรม ส่องสถานภาพสตรีในสังคมอินเดีย

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก สำรวจที่มาที่ไปของ ‘สังคมชายเป็นใหญ่’ ในอินเดีย ที่ได้รับอิทธิพลสำคัญมาจากมหากาพย์อันเลื่องชื่อ พร้อมฉายภาพปัจจุบันที่ภาวะดังกล่าวเริ่มสั่นคลอน โดยมีหมุดหมายสำคัญจากการที่ อินทิรา คานธี ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์

ศุภวิชญ์ แก้วคูนอก

1 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save