fbpx
แก้ปัญหาระบบยุติธรรมไทย ด้วยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์

แก้ปัญหาระบบยุติธรรมไทย ด้วยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์

กานต์ธีรา ภูริวิกรัย เรื่อง

กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ

Thailand Institute of Justice (TIJ) ภาพ

 

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา แนวคิด ‘ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative justice)’ เป็นแนวคิดที่กำลังถูกพูดถึงในระดับโลก เนื่องด้วยเป็นแนวคิดที่เน้นหลักความสมานฉันท์ มุ่งบรรเทาทั้งผู้กระทำผิดและผู้เสียหาย ผ่านทางการเจรจาไกล่เกลี่ยกันระหว่างทั้งสองฝ่ายและครอบครัว ในกรณีที่เหมาะสม และยังสามารถใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหานักโทษล้นเรือนจำที่หลายประเทศกำลังประสบอยู่ด้วย

ในกรณีของประเทศไทย แม้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จะสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยอยู่แล้ว แต่เรื่องดังกล่าวอาจเป็นเรื่องที่ยังใหม่สำหรับระบบยุติธรรมไทย เพราะที่ผ่านมา เราจะพบการปรับใช้หลักการดังกล่าวในคดีของศาลเยาวชนและครอบครัวเป็นหลัก การจะนำความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไปปรับใช้จึงจำเป็นจะต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการและแนวคิด รวมถึงเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เพื่อจะนำกระบวนการทางเลือกนี้ไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้บรรลุเป้าหมาย ‘สังคมปลอดภัย’ ดังที่ตั้งไว้ได้

จากการจัดการประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ โดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เป็นเจ้าภาพร่วมกับ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ รวมถึงผู้ที่ปฏิบัติงานและเกี่ยวข้องกับแวดวงกฎหมายมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิด และร่วมอภิปราย เพื่อหาแนวทางการนำความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาปรับใช้กับสังคม ทั้งในระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศ ได้นำมาสู่แนวทางการนำหลักความสมานฉันท์มาใช้ในหลากหลายด้าน ดังสรุปต่อไปนี้

 

 

จากกระแสหลักสู่ทางเลือก: ผู้เสียหายได้รับการเยียวยา ผู้ทำผิดได้รับการแก้ไข

 

หลายคนมองว่า ถ้าพูดถึงศาล มักติดภาพว่าเป็นเสมือนป่าช้า หรือเป็นสุสานที่มีไว้ฝังคนทำผิด แต่ สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ไม่คิดเช่นนั้น

ในความคิดของเขา ศาล โดยเฉพาะศาลเยาวชนและครอบครัว เป็นเหมือนโรงพยาบาลสังคมที่มีหน้าที่แก้ไข รักษาเด็กและเยาวชนที่เจ็บป่วยด้วยการให้อภัยและให้โอกาส เพื่อให้ผู้ที่เคยหลงผิดได้กลับไปมีอนาคตที่สดใสอีกครั้ง ซึ่งนี่ถือเป็นการคุ้มครองสังคมควบคู่กันไปด้วย

สิทธิศักดิ์เริ่มเท้าความไปถึงสมัยตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2494 ในตอนนั้น หากเยาวชนทำผิด จะถูกอัยการฟ้องเป็นจำเลยเพื่อให้ศาลตัดสินลงโทษ ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า มาตรการดังกล่าวเป็นทางเดียวที่จะเป็นประโยชน์กับเด็กหรือไม่

ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 เริ่มมีการเห็นถึงความสำคัญของการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ จึงมีการริเริ่มให้แยกศาลเยาวชนและครอบครัวออกจากกระทรวงยุติธรรม รวมถึงออกพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ที่ให้มีมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา

“มาตรการพิเศษจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก ตำรวจกับสถานพินิจจะหันเหคดีออกจากกระบวนการยุติธรรมไปสู่การทำแผนบำบัดฟื้นฟู หากเด็กทำได้ตามแผน ก็ยุติคดีไปในอัตราโทษไม่เกิน 5 ปี แต่ต้องเข้าหลักเกณฑ์คือ เด็กต้องสำนึกผิด โทษไม่ร้ายแรง และผู้เสียหายได้รับการชดใช้ตามสมควร ถ้าเป็นตามนี้ ศาลไม่ต้องสืบพยาน แต่ใช้การบำบัดฟื้นฟูแทนได้”

 

 

สิทธิศักดิ์อธิบายเสริมว่า กฎหมายดังกล่าวบังคับใช้จริงในปี พ.ศ. 2554 โดยกรมพินิจพร้อมทั้งศาลเยาวชนและครอบครัว ได้นำมาตรการนี้มาใช้กับคดีอาญาที่เข้าองค์ประกอบความผิดจากมากไปน้อย และยังมีข้อบังคับเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ที่กำหนดให้นำหลักการเรื่องการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชน (Family and Community Group Conferencing) มาปรับใช้ด้วย

“จากสถิติ 5 ปีย้อนหลังพบว่า ในปี พ.ศ. 2557 มีคดีที่ใช้หลักการนี้ 406 คดี จาก 458 คดี สูงถึงร้อยละ 88 ขณะที่ในปี พ.ศ. 2562 คิดเป็นร้อยละ 80.68 มีเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดจำนวน 2,463 คน ที่ได้รับการบำบัด เท่ากับว่ามีครอบครัวผู้เสียหายจำนวนเท่ากันที่ได้รับการชดใช้เยียวยา และได้รับการขอขมา นอกจากนี้ ชุมชนยังเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้วย”

ถึงแม้การใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จะมีการพัฒนาไปในทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีอุปสรรคบางประการ เช่น การที่ผู้พิพากษาบางท่านไม่ได้นำหลักการดังกล่าวมาปรับใช้อย่างเต็มที่ หรือมาตรการที่ไม่เท่ากันของศาลแต่ละแห่ง ซึ่งจะต้องมีการประชุมและออกเป็นแนวนโยบาย รวมถึงมีการถอดบทเรียนเพื่อนำมาจัดทำคู่มือนำร่อง และมีการติดตามรายงาน เพื่อจะเป็นต้นแบบให้ศาลอื่นต่อไป

“กระบวนการยุติธรรมกระแสหลักเคยละเลยผู้เสียหาย และใช้การพิพากษาคดีเป็นผลลัพธ์สุดท้าย กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์อาจเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมและบุคลากร แม้เด็กจะมีมลทินไปแล้ว แต่กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มุ่งคุ้มครองผู้เสียหาย แก้ไขผู้กระทำผิดตามแผนบำบัดฟื้นฟู และทุกฝ่ายมาร่วมมือกัน เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ผลลัพธ์สุดท้ายคือคดีอาญาระงับสิ้น และเด็กก็จะไม่มีมลทิน” สิทธิศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

 

บริบทของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ในความร่วมมือระหว่างประเทศ

 

กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไม่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญแค่ในระดับประเทศ แต่ในระดับระหว่างประเทศก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดย Dr. Eduardo Vetere รองประธานและเลขาธิการ สมาคมหน่วยงานต่อต้านการทุจริตระหว่างประเทศ (International Association of Anti-Corruption Authorities: IAACA) ได้กล่าวถึงการประชุมรัฐสภาคองเกรสแห่งสหประชาชาติ ว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ในปี พ.ศ. 2548 ว่า มีแนวคิดสำคัญหลักๆ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ การให้ประเทศสมาชิกนำกฎหมาย soft law มาใช้ และเรื่องที่สองคือ การเยียวยาทั้งผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดในคดีอาญา

“จากการประชุมในครั้งนั้น ได้มีการจัดทำวิธีแก้ไขราว 190 วิธี และตรวจสอบดูว่าจะนำไปใช้ได้ไหม ในทุกๆ 2 ปี เราจะมาตรวจกันว่า มาตรการที่ถูกนำไปใช้มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง นี่ไม่ใช่การประชุมเพื่อที่จะทำงานร่วมกันเท่านั้น แต่เป็นการประชุมเพื่อจะนำมาซึ่งนโยบายที่มีประสิทธิภาพสำหรับกระบวนการยุติธรรมด้านอาชญากรรม”

 

 

Dr.Vetere กล่าวว่า คณะทำงานได้ปรับปรุงมาตรการไปเรื่อยๆ และอยากสนับสนุนให้ทุกประเทศนำไปใช้ เพราะกระบวนการยุติธรรมกำลังเจอกับปัญหานักโทษล้นคุก และในคุกก็ไม่มีสภาพแวดล้อมที่จะช่วยบำบัดเยียวยานักโทษได้ ซึ่งตัวเขามองว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีกว่าการนำกระบวนการยุติธรรมเข้ามาใช้ เพราะจะช่วยทั้งลดจำนวนนักโทษ และทำให้บรรลุวัตถุประสงค์สำคัญในการเยียวยาได้

ขณะที่ในประเทศไทย Dr.Vetere มองว่า การนำหลักความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้กับเด็กและเยาวชนเป็นวิธีที่น่าสนใจ และสามารถขยายผลไปสู่ภาคส่วนอื่นได้ แต่ก็ยังต้องพิจารณาตัวแสดงที่หลากหลายในกระบวนการยุติธรรมไทยด้วย ซึ่งถ้าเราสามารถนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ให้เป็นหลักการได้ ก็จะนำมาซึ่งความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันของทุกฝ่าย

“การจะนำหลักการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ จะต้องอาศัยความร่วมมือกันจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ เจ้าหน้าที่ตุลาการ และทั้งสังคมก็ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราต้องมีการพัฒนาและประยุกต์ระบบให้ยั่งยืน เพื่อจะนำไปสู่สังคมที่อิสระ มีสันติสุข และมีอัตราอาชญากรรมลดลง”

 

กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ กับความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน

 

 

“ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional justice) คือ วิธีที่ประเทศจะใช้รับมือกับข้อพิพาทหรือความขัดแย้งในวงกว้าง มีอาชญากรรมร้ายแรงเยอะ ระบบยุติธรรมแบบดั้งเดิมไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ จึงต้องมองหาทางเลือกอื่นมาใช้แก้ปัญหาแทน”

Mr. Howard Varney ที่ปรึกษาอิสระ นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน และผู้เชี่ยวชาญด้านความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน อธิบายถึงความหมายของความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน พร้อมทั้งกล่าวเสริมว่า เมื่อระบบยุติธรรมอาจไม่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาทั้งหมดได้อย่างครบวงจร จึงมีการนำแนวคิดอื่นเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งก็คือการนำความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เข้ามาใช้

“ขั้นตอนการทำงานหลักๆ ที่เราทำในกระบวนการมีหลายวิธี เช่น การทำประชาพิจารณ์ (Public hearing) ที่เป็นการสัมภาษณ์ผู้เสียหาย ให้เขาได้พูดออกมา บอกว่าตนเจ็บปวดอย่างไร สร้างพื้นที่ที่จะทำให้ผู้เสียหายรู้สึกปลอดภัยพอที่จะเล่าเรื่องของตนออกมา”

Varney ได้ยกตัวอย่างของประเทศที่นำเอาความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ โดยประเทศแรกคือโคลัมเบีย ที่นำเอากระบวนการดังกล่าวมาใช้อย่างครอบคลุม มีการตั้งคณะกรรมการสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเพื่อหาข้อเท็จจริง และดูเรื่องความสำคัญของผู้เสียหาย ขณะที่อีกฝ่ายดูเรื่องทางฝั่งตุลาการ หากผู้กระทำความผิดออกมาสารภาพความจริง ก็จะได้รับการผ่อนผันโทษ ไม่ต้องเข้าคุก แต่อาจจะต้องทำงานบริการสังคมแทน

อีกตัวอย่างที่เป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกับไทยคือ ประเทศติมอร์ตะวันออก ที่ใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยเพื่อการสร้างความสมานฉันท์ในชุมชน มีคณะกรรมการซึ่งเปิดให้ทางหมู่บ้านมามีส่วนร่วม หากผู้กระทำผิดยอมรับผิด ชุมชนจะให้ทั้งเหยื่อและผู้กระทำผิดมาตกลงกัน ซึ่งผู้กระทำผิดอาจต้องทำงานบริการชุมชน เพื่อที่จะกลับสู่สังคมได้

“โปรแกรมที่เกิดขึ้นจะเปิดโอกาสให้ผู้ทำผิดเข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยพิจารณาดูว่าที่ตนเองทำไปก่อให้เกิดผลอย่างไร และจะปกป้องสิทธิผู้เสียหายที่ต้องทุกข์ทนอย่างไร เรื่องนี้ต้องใช้ความกล้าหาญ มุ่งมั่น และปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงต้องให้เกียรติและเคารพสิทธิมนุษยชนของทุกคนด้วย ซึ่งไทยก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้” Varney กล่าวสรุป

 

การนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไปปรับใช้ในทางปฏิบัติ

 

 

“สิ่งสำคัญคือเรื่องของภาษา หลายครั้งที่นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ หรือบุคลากรในระบบ ใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือใช้คำที่คนส่วนมากไม่ได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน อันที่จริง เราควรจะต้องรับฟังภาษาที่คนทั่วไปใช้ ยึดหลักคนเป็นศูนย์กลาง ดูว่าเขาเข้าใจภาษาที่เราสื่อออกไปหรือไม่”

Sandro Calvani ที่ปรึกษาอาวุโสด้านแผนยุทธศาสตร์ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ เริ่มต้นด้วยเรื่องการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไปปรับใช้ เขาเสริมว่า กระบวนการนี้เป็นกระบวนการของชุมชน เพราะบางทีเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ปัญหานั้นก็เป็นปัญหาของชุมชนด้วย เพราะฉะนั้น หากจะยึดแต่หลักสมานฉันท์อย่างเดียวคงไม่พอ แต่ต้องพิจารณาหลักการที่เคยใช้ปฏิบัติกันมาของแต่ละประเทศ รวมถึงพิจารณาตัวแสดงต่างๆ ในระบบด้วย

“กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จะไม่มีทางมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่มีการทบทวนว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่ และเราจำเป็นจะต้องรับฟังว่าชุมชนต้องการอะไร และทำตามที่พวกเขาต้องการ ถ้าชุมชนบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ก็อย่าเพิ่งปฏิเสธความจริงนั้น ความยุติธรรมกับสันติภาพไม่อาจแยกออกจากกันได้ เพราะถ้าแยก ก็เท่ากับว่าคุณมองเหรียญแค่ด้านเดียว ถ้าไม่มีการยอมรับสันติภาพ ก็ไม่มีทางเกิดความยุติธรรม และถ้าเราละทิ้งความยุติธรรม ก็จะไม่เกิดความสันติภาพ”

Calvani เสนอว่า กระบวนการยุติธรรมต้องมีคนที่มาจากองค์การอื่นๆ ภายนอกด้วย เพื่อจะเป็นการปรับความเข้าใจให้ตรงกัน และต้องมีการพูดคุย รวมถึงสร้างความเชื่อใจกัน เขาย้ำว่า ความสันติจะเกิดขึ้นไม่ได้หากคนไม่ไว้ใจกัน และการจะทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้ จะต้องมาจากการพูดความจริง และความจริงจะช่วยเยียวยาทุกคนที่เกี่ยวข้องเอง

 


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save