fbpx

รังสิมันต์ โรม: โรมรันสมรภูมิการเมืองไทยกับศึกใหญ่ของก้าวไกลในสนามเลือกตั้ง’66

แม้ว่าเขาเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในฐานะนักการเมืองหน้าใหม่ แต่ 4 ปีที่ผ่านมาชื่อของ ‘รังสิมันต์ โรม’ โดดเด่นขึ้นมาในบทบาทฝ่ายค้านที่อภิปรายจัดหนักในเรื่องแหลมคม

บทพิสูจน์ต่อไปคือการต่อสู้ในศึกเลือกตั้ง 2566 ในฐานะผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 8 ของพรรคก้าวไกล ประเด็นใดที่พรรคก้าวไกลจะชูธงนำเพื่อชนะเลือกตั้ง โจทย์แบบไหนที่รังสิมันต์คาดหวังจะทำให้สำเร็จ และประชาชนจะเห็นบทบาทของพรรคก้าวไกลแบบใดต่อไปบนพื้นที่การเมือง

101 ชวน รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล พูดคุยถึงยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคก้าวไกล การแก้เกมจุดอ่อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และอนาคตของพรรคในรัฐบาลถัดไป ในรายการ 101 One-on-One Ep.297 ‘โรม’ รัน ศึกเลือกตั้ง กับ รังสิมันต์ โรม

YouTube video

จากการลงพื้นที่หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ อะไรคือสิ่งที่ทำให้มั่นใจว่า ‘ก้าวไกลมาแน่’ และประชาชนจะเลือกพรรคก้าวไกล

ตัวชี้วัดของผมมาจากการลงพื้นที่ ยิ่งเราลงพื้นที่ต่อเนื่อง เราจะเห็นว่าประชาชนมีปฏิกิริยาต่อเราอย่างไร อย่างตอนผมไปภาคใต้ก็จะเห็นชัดเจนถึงปฏิกิริยาที่แตกต่างจากตอนไปครั้งแรก แต่ถ้าถามว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้สังคมและประชาชนรู้สึกว่าเราน่าสนใจมากขึ้น ผมคิดว่ามีสามประการ

ประการแรก จุดยืนของพรรคก้าวไกลมีความคงเส้นคงวาตั้งแต่แรกมาจนถึงวันนี้ ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าพรรคการเมืองนี้เป็นพรรคการเมืองที่ไว้ใจได้ เป็นพรรคที่มีความตรงไปตรงมา ซึ่งอาจทำให้เขามองข้ามบางนโยบายที่ตัวเองไม่ค่อยเห็นด้วยไป 

ประการที่สอง เราค่อนข้างประสบความสำเร็จในเรื่องนโยบายและการดีเบต ทำให้เรามีเวลาอธิบายนโยบายต่างๆ มากขึ้น ที่สำคัญคือทุกคำถามของประชาชนพรรคก้าวไกลมีคำตอบให้ และการที่พรรคก้าวไหลมีคำตอบชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาก็ทำให้ผู้คนมองเห็นความเป็นไปได้ ทำให้เขามีความหวังมากขึ้น 

ประการที่สาม ผลงานสี่ปีของพรรคก้าวไกลถูกพูดถึงตลอดในช่วงเวลาที่เราหาเสียงเลือกตั้ง ประชาชนมักพูดว่าชอบที่เราอภิปรายเรื่องตั๋วช้าง ส.ว.ทรงเอ ไอโอ (IO) หรือแม้กระทั่งเรื่องยกเลิกเกณฑ์ทหารก็เป็นสิ่งที่ประชาชนพูดถึงอยู่ตลอด

ดังนั้น ด้วยปัจจัยสามข้อนี้ที่ทำให้กราฟคะแนนความนิยมของพรรคก้าวไกลเพิ่งสูงขึ้นและมีแนวโน้มจะขึ้นต่อไป ผมเชื่อว่าคะแนนความนิยมของพรรคก้าวไกลยังขึ้นได้อีก ซึ่งอาจต่างกับบางพรรคการเมืองที่คะแนนความนิยมหยุดนิ่งหรืออยู่ในจุดอิ่มตัว

ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลชูประเด็นเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันมาหลายเรื่องที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อสังคม จนถึงวันนี้มีเรื่องไหนที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในระบบบ้างแล้วหรือยัง

เวลาที่เราพูดถึงการทุจริตคอร์รัปชัน ผมจะมองในสองมุม คือปัญหาเชิงระบบและปัญหาในระบบ กล่าวคือจะมีคนที่เกี่ยวข้องเข้าไปทำให้ระบบนั้นฟังก์ชันต่อไปได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนเดิมๆ ที่ทำผิดซ้ำๆ ดังนั้นเครือข่ายของการทุจริตคอร์รัปชันจึงต้องอาศัยคนเดิมที่รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำอะไรในระบบบ้าง และนอกจากตัวระบบแล้วก็ยังมีตัวบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายเหล่านี้ด้วย

ตอนเป็นฝ่ายค้านเราอาจจะเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบลำบากเพราะยังเป็นเสียงข้างน้อย แต่อย่างน้อยสิ่งที่เราพยายามทำได้ คือการแก้ไขในเชิงตัวบุคคล ผมคิดว่าถ้าเราสามารถทำลายบรรดาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชันหรือธุรกิจผิดกฎหมายได้ก็อาจจะช่วยลดการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมที่กำลังเกิดขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อจัดการคนเหล่านี้

เรื่องต่อมาที่ผมคิดว่าเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนคือ ความคิด ทั้งเรื่องตั๋วช้าง ส.ว.ทรงเอ การค้ามนุษย์ ที่ผ่านมาเหมือนเรากำลังทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ในมุมดำมืดถูกเปิดออกมาในที่โล่งแจ้งให้ประชาชนเห็น ซึ่ง ณ ตอนนี้เราเห็นปัญหาแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้อำนาจรัฐในการดำเนินการ

จึงเป็นเหตุผลที่พรรคก้าวไกลต้องตั้งเป้าการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่าหากเราเข้าไปเป็นรัฐบาลได้ เราจะสามารถเปลี่ยนปัญหาที่เราพูดในฐานะฝ่ายค้านทั้งหมดได้ และเรามั่นใจว่าเราทำได้ด้วยการร่วมมือกับข้าราชการน้ำดีที่อยู่ในระบบ

ประชาชนมองว่าก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านที่กล้าหาญอย่างมากในรัฐสภา หลายคนจึงคาดหวังให้พรรคก้าวไกลทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป แต่ทำไมครั้งนี้ทางพรรคจึงตัดสินใจลงเลือกตั้งเป็นรัฐบาล

การทำงานของเราในช่วงเวลาสี่ปีผ่านมาคือการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ทำให้พรรคก้าวไกลได้รับการชื่นชมในฐานะฝ่ายค้านที่ดี แต่สิ่งที่ประเทศเราไม่มีมานานแล้วคือรัฐบาลที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมาและพร้อมแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น ผมคิดว่าเรายืนยันความพร้อมของพรรคก้าวไกลได้จากการพิสูจน์ตัวเองมาตลอดสี่ปี ถ้าก้าวไกลมีโอกาสเป็นรัฐบาล เราจะสามารถใช้อำนาจและทรัพยากรในฐานะรัฐบาลได้อย่างตรงไปตรงมาเพื่อแก้ปัญหาที่รากฐานซึ่งจะนำไปสู่การทำให้ประเทศมีอนาคตใหม่เกิดขึ้น

เรามีลิสต์รายการไว้แล้วว่าอยากจะแก้ปัญหาอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานในต่างจังหวัด การกระจายอำนาจ การแก้ปัญหาไม่ให้มีทุนผูกขาดเพื่อให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ ลดต้นทุนค่าไฟ สร้างการศึกษาที่ดี รวมถึงนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารเพื่อคืนแรงงานกลับสู่ระบบ แทนที่จะมาอยู่ในค่ายทหารแล้วไม่ได้สร้างการผลิตอะไร เรื่องเหล่านี้มีแต่อำนาจรัฐบาลที่สามารถทำได้ แต่ที่ผ่านมาหลายๆ รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาพวกนี้เลย จึงเป็นเหตุผลที่ครั้งนี้พรรคก้าวไกลขอโอกาสเข้าไปเป็นรัฐบาล

ในกรณีที่ได้จัดตั้งรัฐบาล หากพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ มีอะไรที่ก้าวไกลยอมไม่ได้และอะไรที่ประนีประนอมได้ เพื่อให้รัฐบาลยังคงอยู่ภายใต้หมุดหมายของพรรคก้าวไกล

เรื่องหนึ่งที่ยอมไม่ได้เด็ดขาดคือการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะถ้าดูประวัติศาสตร์การเมืองจะเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันทำลายศรัทธาที่ประชาชนมีต่อระบบการเมืองมากขนาดไหน สุดท้ายแทนที่จะมีคนมาแก้เรื่องทุจริตคอร์รัปชัน แต่กลายเป็นมีการรัฐประหาร และพยายามใส่ร้ายป้ายสีว่านักการเมืองเลวเหมือนกันหมด บางช่วงเวลาสังคมของเราก็ไปติดอยู่กับประเด็นนี้ ทำให้ประเทศไปต่อไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือสร้างศรัทธาให้กับประชาชน โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่เราต้องจัดการแก้ไขให้ได้

ในส่วนของนโยบายอื่นๆ พรรคก้าวไกลมามีฐานคิดที่อยากเปลี่ยนแปลงประเทศ ดังนั้นจำนวนที่นั่งในสภาจึงมีผลอย่างมากในการกำหนดนโยบาย เพราะถ้าเรามีที่นั่งที่เยอะจะทำให้พรรคการเมืองไหนก็ไม่สามารถปฏิเสธเราได้ และพรรคก้าวไกลจะเป็นคนเลือกเองว่าจะจับมือกับใคร

ณ วันนี้ถ้าเราดูกระแสความคิดของสังคมในเรื่องจุดยืนทางการเมือง พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ถูกตั้งคำถามน้อยที่สุดว่าเราจะหักหลังประชาชนไหม ดังนั้นถ้าคุณกังวลว่าจะมีการจับมือข้ามขั้ว คุณยิ่งต้องเลือกก้าวไกล เพราะถ้าก้าวไกลมีที่นั่งมากพอ อาจจะไม่ถึงกับเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่ง แต่อย่างน้อยที่สุดเราจะมีกำลังเพียงพอที่จะทำให้พรรคอื่นไม่กล้าปฏิเสธเรา

อยากให้ลองประเมินคะแนนเสียงของก้าวไกลในภาคใต้ที่เป็นสมรภูมิที่ดุเดือดมากถึงมากที่สุด

จากการลงพื้นที่ ผมมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เรามีโอกาสสูงมากในพื้นที่ภาคใต้ เพราะประชาชนตอบรับก้าวไกลค่อนข้างดี แต่ต้องยอมรับว่าตอนลงภาคใต้ใหม่ๆ เราค่อนข้างกังวล เนื่องจากเมื่อก่อนภาคใต้ถูกครองด้วยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตอนนี้เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงหลังจากมีการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 จนถึงรอบนี้ผมรู้สึกว่าประชาชนในภาคใต้เปิดใจให้พรรคก้าวไกลมากขึ้น เราจะเห็นว่าคะแนนในภาคใต้ของพรรคก้าวไกลไม่ได้ห่างจากพรรคอื่นมากเท่าไหร่

ในทางตรงกันข้าม ภาคใต้เป็นสมรภูมิในการแข่งขันที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ยกตัวอย่างการเลือกตั้งเมื่อปี 2562  ส.ส.เก่าอาจจำแนกเป็น 3 พรรค คือพรรคประชาธิปัตย์เป็นเจ้าเก่า มีพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐแทรกเข้ามาได้ในหลายพื้นที่

ถ้าเป็นพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นพรรคประชาชาติ แต่ในรอบนี้มีพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคชาติพัฒนากล้าที่พยายามเจาะฐานภาคใต้เช่นกัน ดังนั้นในหลายพื้นที่พรรคเหล่านี้จึงมีการแข่งขันสูงและกินกันไม่ลง ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้กับหลายพรรคการเมืองฝั่งตรงกันข้าม กลายเป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย แต่ต้องบอกว่าในรอบปี 2562 คะแนนเสียงเราก็ค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ ส.ส. สักที่หนึ่งก็ตาม

ด้วยเหตุผลนี้ ผมคิดว่าโอกาสเป็นไปได้มีทั้งหมด คือก้าวไหลอาจจะชนะ เพื่อไทยอาจจะชนะ ประชาธิปัตย์เจ้าเก่าอาจจะชนะ หรือแม้กระทั่งรวมไทยสร้างชาติก็อาจชนะ โอกาสเหล่านี้ถ้าเราเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนให้เขาเทคะแนนให้กับพรรคก้าวไกลได้ ผมว่ามันเป็นไปได้ที่เราจะปักธงพื้นที่ภาคใต้ได้  

แล้วในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ดุเดือดไม่แพ้กันล่ะ?

แน่นอนว่ากรุงเทพฯ ก็ดุเดือด แต่ผมมองว่าเป็นการแข่งขันที่ถ่ายน้ำหนักมาที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลเป็นหลัก รอบที่แล้วเราได้รับคะแนนความนิยมสูงที่สุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และเราได้สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 14 เขต ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ 20 เขต เรียกว่าเกินกึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เป็นของ 2 พรรคการเมืองนี้ ดังนั้นต้องยอมรับว่าการแข่งขันในกรุงเทพฯ ก็จะมี 2 พรรคการเมืองอย่างเพื่อไทยและก้าวไกลเป็นหลัก

แต่ต้องบอกว่าเรามั่นใจว่าการมีภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากชาวกรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลนี้ ผมมั่นใจว่าทุกเขตของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะแบ่งเขตในรูปแบบไหนเราก็ยังเป็นพรรคการเมืองที่มีลุ้นอยู่ดี

คุณเริ่มต้นเส้นทางการทำงานสายการเมืองจากการเป็นนักเคลื่อนไหว จนถึงวันนี้ที่ได้มาเป็นส.ส. มองการเปลี่ยนแปลงจากนักกิจกรรมสู่การเป็นนักการเมืองอย่างไร

มีทั้งสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง ความเหมือนคือการเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองมีลักษณะเป็นบุคคลสาธารณะ ผู้คนอาจจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรา สิ่งที่เราทำได้คือการน้อมรับแล้วนำมาปรับปรุง เช่นเดียวกับการเป็นนักการเมืองที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ชีวิตความเป็นส่วนตัวหลายอย่างต้องยอมรับว่าไม่มีทางเหมือนเดิม เพราะประชาชนมีสิทธิตรวจสอบคุณเสมอ

แม้กระทั่งวิธีการทำงานของนักเคลื่อนไหวทางการเมืองกับนักการเมืองในบางเรื่องก็เหมือนกัน เช่น วิธีคิดเรื่องการวางจังหวะในการเคลื่อนไหว จะทำอย่างไรให้ประเด็นที่เรานำเสนอสู่สังคมได้รับความสนใจจากสังคม เหมือนกับการเป็นนักการเมืองที่ต้องคิดในลักษณะนี้ 

แต่สิ่งที่ต่างกัน คือนักเคลื่อนไหวอาจใช้เงินส่วนตัวหรือมีเงินเดือนอาชีพประจำอยู่แล้ว แต่นักการเมืองโดยเฉพาะ ส.ส. รับเงินจากภาษีประชาชน ดังนั้นความคาดหวังของประชาชนต่อนักการเมืองจะมาจากทุกทิศทาง คุณจะบอกว่าผมสนใจแค่เรื่องประชาธิปไตย แต่ไม่สนใจเรื่อง PM 2.5 แบบนี้ไม่ได้ คุณต้องรับความคาดหวังของประชาชนในทุกๆ เรื่อง และคุณก็ไม่มีสิทธิปฏิเสธความเดือดร้อนของประชาชน ทุกเรื่องที่เป็นความเดือดร้อนของเขาถือเป็นความเดือดร้อนของคุณทั้งหมด แต่นักกิจกรรมทางการเมืองอาจมุ่งความสนใจไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ ซึ่งผมคิดว่าจุดนี้เป็นจุดที่ต่างอย่างชัดเจนระหว่างการเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองกับนักการเมือง

เป็นนักการเมืองที่เล่นประเด็นแหลมคมขนาดนี้ ทั้งยังโดนข่มขู่คุกคามมาโดยตลอด รู้สึกกลัวบ้างไหม

กลัวครับ กลัวตาย แต่มันเป็นหน้าที่ เคยมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบพยายามบุกเข้าไปที่คอนโดมิเนียมของผมเพื่อไปคุกคามภรรยาของผม แน่นอนว่าทำให้ผมเป็นกังวล แต่อย่างที่ผมบอกไปว่าถ้ากลัวก็ไม่ต้องมาทำงานการเมือง ทุกคนมีความกลัวหมด แต่ถ้าเราเอาความกลัวมาคิดมากจนไม่กล้าทำอะไร ประเทศไทยก็จะเหมือนเดิม ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำในฐานะ ส.ส.

จากกระแสการเลือกตั้งในช่วงนี้ คิดยังไงที่คนบอกว่าพรรคก้าวไกลอาจได้รับความนิยมแค่ในหมู่คนรุ่นใหม่

บางส่วนต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่มอบความไว้วางใจให้กับเราค่อนข้างมาก แต่ถามว่ามีแค่คนรุ่นใหม่ไหม ผมไม่มั่นใจนัก เพราะผมก็ได้ยินหลายคนบอกว่าเขาเลือกก้าวไกลกันทั้งบ้าน ผมจึงมีความเชื่อว่าความนิยมของก้าวไกลอาจจะไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในหมู่คนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่อาจจะรวมไปถึงพ่อแม่หรือคนในขอบครัวของคนรุ่นใหม่เหล่านั้นด้วย 

แล้วจุดไหนที่ทำให้พรรคก้าวไกลแตกต่างจากพรรคอนาคตใหม่

จริงๆ ต้องบอกว่าวิญญาณของก้าวไกลกับวิญญาณของอนาคตใหม่คืออันเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจนคือพรรคอนาคตใหม่อาจมีเวลาพิสูจน์ตัวเองในสภาน้อยกว่าก้าวไกล อนาคตใหม่ได้ทำงานในสภาประมาณ 11 เดือนเท่านั้นเอง ในขณะที่ก้าวไกลได้พิสูจน์ตัวเองในหลายๆ ด้าน หลายคนที่เคยทำงานในอนาคตใหม่มาก่อนก็บอกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ก้าวไกลนำมาต่อยอดได้เยอะมาก

บางคนวิจารณ์ว่าการที่พรรคก้าวไกลมี ส.ส. ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่อาจจะทำให้เป็นจุดอ่อนของพรรคในแง่ของประสบการณ์การทำงานที่น้อยกว่าพรรคอื่น คุณมีความอย่างไรต่อประเด็นนี้

ผมมองว่าการที่พรรคก้าวไกลมีคนรุ่นใหม่เยอะทำให้พรรคเรามีจุดแข็งนะ คือเรามีความคิดและแนวทางใหม่ๆ เยอะ มีกรอบความคิดที่นักการเมืองรุ่นก่อนๆ อาจจะไม่มี ยิ่งถ้าพูดถึงการเข้าถึงข้อมูลในโซเชียลมีเดีย พลังของคนรุ่นใหม่มีความสำคัญมากในการนำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง

แต่แน่นอนว่าพอพูดถึงคนรุ่นใหม่หรือคนหน้าใหม่ก็จะเกิดคำถามเรื่องประสบการณ์ในอดีตซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ผมขอตอบว่าจริงๆ แล้วพรรคก้าวไกลมีกลุ่มคนที่หลากหลาย ไม่ปฏิเสธว่าถ้าดูจากอายุเฉลี่ย พรรคก้าวไกลมีอายุเฉลี่ยน้อยเมื่อเทียบกับหลายๆ พรรค แต่ในความเป็นจริงเราก็มีคนที่มีประสบการณ์ ตัวผมเองก็มีประสบการณ์มาแล้ว 4 ปีจากการทำงานในสภา หรือแม้แต่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอย่างคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็มีประสบการณ์ทำงานในสภามา 4 ปีแล้วเช่นกัน 

จากกระแสของประชาชนที่อยากให้ทุ่มโหวตพรรคใดพรรคหนึ่ีงไปเลย เพราะถ้าเสียงแตกเราอาจได้รัฐบาลแบบเดิมกลับมา อยากรู้ว่าคุณเห็นด้วยไหมกับกลยุทธ์ทุ่มโหวตของฝั่งประชาธิปไตย

เมื่อพูดถึงระบอบประชาธิปไตย สิ่งแรกที่เราควรจะมีคือความเป็นประชาธิปไตยจากภายใน เพราะฉะนั้นสมมติคุณไม่ชอบใครแต่ยังต้องเลือก ทั้งที่คุณไม่ได้รู้สึกว่าคนที่เลือกจะเป็นผู้แทนของคุณได้จริงๆ แต่คุณเลือกเขาเพราะคุณเกลียดอีกคนหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้คือวิธีคิดที่เป็นประชาธิปไตยหรือเปล่า สิ่งที่ผมอยากเห็นในระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะในสภา คือการที่เรามีผู้แทนจากเสียงต่างๆ ในสังคมจริงๆ นี่คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตยที่ผมอยากเห็น

ผมคิดว่าการเมืองที่เริ่มต้นจากความกลัว สุดท้ายมันจะพาเราไปทางไหน นี่เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกกังวลใจ ผมคิดว่าชอบใครก็เลือกคนนั้นดีกว่า ถ้าดูจากผลคะแนนวันนี้ ผมยืนยันว่าถ้าเลือกพรรคฝั่งประชาธิปไตยยังไงก็ไม่มีคะแนนตกน้ำ เพราะผลรวม ณ วันนี้เราอยู่เหนือว่าอีกขั้วการเมืองไปเยอะแล้ว ถ้าเราอยากเห็นนักการเมืองเป็นผู้แทนของเราจริงๆ ชอบใครก็เลือกคนนั้น เพราะเราต้องทำงานการเมืองด้วยความหวัง ไม่ใช่ความกลัว

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save