Supreme เป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นไม่กี่แบรนด์ที่ทำให้คนนอกวงการแฟชั่นงงกันเป็นแถว เพราะออก item อะไรมาก็มีคนแย่งกันซื้อ คอลเลกชัน Fall/Winter เมื่อปลายปีที่ผ่านมาทำให้เราอ้าปากค้างกับ ‘ก้อนอิฐ’ ปั๊มโลโก้แบรนด์ ที่ถูกปั่นราคาบนอีเบย์จาก 30 เหรียญไปได้ถึงกว่า 1,000 เหรียญ! (จะเอาก้อนอิฐไปทำไมกัน…)
มาถึง item ชิ้นใหม่ในคอลเลกชัน Spring/Summer 2017 อย่างบัตร MetroLink ลาย Supreme ที่เอาไว้ใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินและระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ทั่วนิวยอร์ก ก็สร้างปรากฎการณ์แบบเดียวกัน เพราะเหล่าแฟชั่นนิสต้าสายสตรีททั้งหลายรวมไปถึงนักเก็งกำไรจากการรีเซล ต่างแห่กันไปต่อแถวกดซื้อกันตามสถานีซับเวย์จนแถวยาวเหยียด แถมยังมีเหตุทะเลาะเพราะแย่งกันซื้อบัตรพลาสติกใบนี้อีกต่างหาก…
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคำถามว่าทำไม Supreme ถึงมีอิทธิพลกับมนุษย์สายแฟชั่น ถึงขั้นต้องแย่งกันซื้อทุกสิ่งอย่างที่ติดโลโก้สีขาวบนพื้นแดง คือวิธีจัดการกับอิทธิพลของโลกโฆษณา ที่กำลังทำมากกว่าการซื้อพื้นที่เล็กๆ บนระบบขนส่งสาธารณะ หลายเมืองทั่วโลกเผชิญกับการต่อรองสิทธิ์ในพื้นที่ของตัวเอง แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมามันคุ้มค่ากับความเป็น ‘สาธารณะ’ ที่เสียไปหรือเปล่า
นั่นคือคำถามที่เราอยากชวนคุณมาหาคำตอบกัน!
มาดริด: Vodafone Sol Station
ในปี 2013 รัฐบาลของเมืองมาดริดเซ็นสัญญากับ Vodafone ผู้ให้บริการโทรศัพท์จากอังกฤษ ในการเปลี่ยนชื่อสถานี Sol สถานีรถไฟใต้ดินใจกลางเมืองหลวงของสเปนให้มีชื่อแบรนด์ติดเข้าไปด้วย นอกจากชื่อสถานีจะถูกเปลี่ยน สัญลักษณ์ทั้งสายรถไฟยังเปลี่ยนให้ถูกเรียกว่า ‘Line 2 Vodafone’ ด้วย ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้คน แต่ดีลนี้ก็สร้างรายได้ให้กับหน่วยงานถึง 3.8 ล้านเหรียญสหรัฐตลอดระยะเวลาสามปี (เพียงแต่ตอนนี้หมดสัญญาไปแล้ว)
นอกจากเปลี่ยนชื่อสถานี (ที่ก่อนหน้านี้เคยนำร่องด้วยการให้ Samsung ซื้อไปด้วยในชื่อ Sol Galaxy Note ในระยะเวลาสั้นๆ) ห้างสรรพสินค้า Carrefour ยังซื้อพื้นที่ในแอปมือถือไว้บอกที่ตั้งของห้างโดยรอบสถานีรถไฟ รวมทั้งดีลกับบริษัทเช่ารถให้แปะที่ตั้งของบริษัทบนแผนที่กระดาษที่แจกให้ผู้โดยสารตามสถานีอีกด้วย ทำให้ตลอดปีนั้น หน่วยงานขนส่งได้เงินจากการโฆษณาทั้งหมดไปถึง 14.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถึงจะโดนคัดค้าน แต่ผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัดจากการ ‘ขายวิญญาณ’ ครั้งนี้ของขนส่งสาธารณะมาดริดก็คือปริมาณหนี้ที่ลดลง ได้เงินมาพัฒนาคุณภาพบริการ ที่สำคัญที่สุดคือค่าโดยสารที่ไม่ปรับขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้นจากการบำรุงรักษา ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการหารายได้ด้วยวิธีนี้
ลอนดอน: Sponsored Tube
ในปีเดียวกันกับที่มาดริดขายวิญญาณให้โลกทุนนิยม ที่ลอนดอนก็ถกเถียงกันว่าระบบรถไฟใต้ดินสุดเก่าแก่อย่าง Tube ควรจะเปลี่ยนชื่อสถานีตามข้อเสนอของแบรนด์ดังๆ หรือเปล่า
ข้อเสนอของฝ่ายที่สนับสนุนให้ Transportation for London (TfL) ให้สิทธิ์กับบริษัทเอกชนในการเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนในแต่ละสถานี นอกจากเรื่องของการได้เงินมาพัฒนาและบำรุงรักษาระบบรถไฟ รวมไปถึงเป็นงบประมาณที่จะมา subsidize ราคาค่าโดยสาร (ที่เพิ่มขึ้นกว่า 4.2% ในปีนั้น) คือผลพลอยได้ที่บริษัทผู้สนับสนุนจะเข้ามาพัฒนาให้อุปกรณ์และบริการในสถานีดูดีขึ้น
ไล่ไปตั้งแต่ลิฟต์ ราวบันได ห้องน้ำ ความสะอาดของสถานี ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการอย่างสัญญาณ wifi และโทรศัพท์ เพราะขึ้นชื่อว่ามีชื่อแบรนด์ของตัวเองติดอยู่ในสถานี แบรนด์ก็อยากจะทำให้สถานีตัวเองดูดีตามไปด้วย
จนถึงตอนนี้ TfL ที่มีนายกเทศมนตรีลอนดอนเป็นประธานบอร์ดยังไม่ตกลงที่จะให้มี Sponsored Station ในรถไฟใต้ดินอย่างเป็นทางการ (นำร่องเพียงครั้งเดียวด้วยการยอมใช้ชื่อยี่ห้อน้ำดื่มในสถานีเมื่อวันงาน London Marathon 2015) นอกจากเสียงคัดค้านตามปกติที่จะเกิดขึ้น ยังมีเหตุผลที่ว่าค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนชื่อสถานียังสูงมากเกินจะรับไหว แต่ก็ยังเปิดกว้างที่จะเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ต่างๆ หนึ่งในนั้นคือกระเช้าลอยฟ้าข้ามแม่น้ำเทมส์ ‘Emirates Air Line’ ที่ดำเนินการโดย TfL บริการเดียวที่สนับสนุนสายการบินเอมิเรตส์ ผู้ได้สิทธิ์แปะโลโก้ไว้ข้างสัญลักษ์วงกลมที่เป็นเอกลักษณ์ของ TfL อย่างเป็นทางการ
บนเว็บไซต์ในตอนนี้ของ TfL เองยังบอกด้วยว่าการร่วมมือกับแบรนด์คือแผนในการสร้างรายได้ (ที่ไม่ได้มาจากค่าโดยสาร รายได้หลักของหน่วยงานในตอนนี้) ในอีก10 ปีข้างหน้า เพื่อนำเงินที่ได้กลับเข้าสู่การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน และลดค่าโดยสารให้ถูกลงกว่าเดิมเพื่อลอนดอนเนอร์ทุกคน
กรุงเทพ: เน็กซ์สเตชั่น ซงจุงกิ
ต้นปี 2017 ชาวกรุงเทพมหานครพร้อมใจกันตาลายไปกับสีแดงสดบนโฆษณาข้างรถ ในรถ เพดานรถ เหนือที่ซื้อตั๋ว ประตูทางเข้า บัตรโดยสาร ชื่อสถานี ไปจนถึงเสียงประกาศชื่อแบรนด์ที่แทรกมาในบางสถานีบีทีเอส เสียงวิจารณ์ (ปนตกใจ) ของหลายคนเชื่อกันว่าการปรากฎตัวของพี่ซงจุงกิในครั้งนี้คือการ ‘ขายวิญญาณ’ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของระบบขนส่งสาธารณะของไทย
อันที่จริงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะบีทีเอสเองเป็นบริษัทเอกชนที่มีเป้าหมายในการสร้างผลกำไรเพื่อบริษัทและผู้ถือหุ้น ในเอกสารรายงานผลการดำเนินงานล่าสุด คีรี กาญจนภาสณ์ ประธานกรรมการบริษัทบอกเอาไว้ว่า
“บีทีเอส กรุ๊ป ได้รับผลประโยชน์จากการขยายตัวของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในประเทศไทย โดยธุรกิจระบบขนส่งมวลชน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ มีลักษณะธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายอื่น เข้ามาได้ยากเนื่องจากใช้เงินลงทุนสูงและต้องมีความชํานาญ ส่งผลให้ธุรกิจอีก 3 ส่วนของบริษัทฯ ได้รับอานิสงส์ด้วย
“การขยายตัวของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางยังส่งผล ประโยชน์ไปถึงธุรกิจสื่อโฆษณาของบริษัทฯ จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะสามารถเพิ่มระยะทางเครือข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ได้อีก 108.8 กิโลเมตรนั้น วีจีไอ [บริษัทลูกผู้จัดการสื่อโฆษณาของบีทีเอส] จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของ จําานวนสถานีและขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอสโดยตรง โดยคาดว่าวีจีไอ จะสามารถเพิ่มจํานวนพื้นที่สื่อโฆษณาได้มากถึง 4 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า”
คำถามคือ เป้าหมายของการเพิ่มพื้นที่โฆษณาให้มากขึ้นของบีทีเอส เมื่อเทียบกับอีกสองเมืองใหญ่ในโลกที่หาหนทางในการอยู่ร่วมกับโลกทุนนิยม ความเหมือนและต่างกันมีมากน้อยแค่ไหน
มาดริดยอมให้ชื่อสินค้าอยู่บนป้ายเพื่อพัฒนาบริการและไม่เพิ่มภาระให้ผู้โดยสาร
ลอนดอนมีแผนทำงานร่วมกับแบรนด์เพื่อหารายได้ทดแทน เพื่อลดค่าโดยสารลง
ส่วนในกรุงเทพ สิ่งที่เราเห็นคือรอยยิ้มของโอปป้ากับตู้ขายตั๋วรอบเสา
คำถามก็คือ-สิ่งเหล่านี้แลกมาด้วยอะไร?
อ่านเพิ่มเติม
-บทความ Supreme Metro Cards Cause Fights in New York City Subway ของ Alyssa Hardy จาก Teen Vogue,
-ประกาศ Commercial partnerships จาก Transport For London
-ข่าว Sponsoring Tube ‘could improve stations’, say Tories จาก BBC, October 30, 2013
-รายงานเรื่อง LIMITLESS POSSIBILITIES จาก บีทีเอส กรุ๊ป