fbpx
เรื่องของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า กับนายปรีดี พนมยงค์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

เรื่องของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า กับนายปรีดี พนมยงค์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

กษิดิศ อนันทนาธร เรื่อง

 

เกริ่นนำ

 

สงครามโลกครั้งที่ 2 แผ่เข้ามาถึงประเทศไทยในปลายปี 2484 หลังจากญี่ปุ่นขอยกทัพผ่านดินแดนไทยไปโจมตีดินแดนที่ฝ่ายอังกฤษยึดครอง และให้หลังเพียงเดือนเศษ 25 มกราคม 2485 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ทำให้แต่นั้นมา กองทัพอากาศสัมพันธมิตรก็มาโจมตี ทิ้งระเบิดในไทยทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ราษฎรต้องอพยพไปต่างจังหวัดบ้าง ต้องขุดหลุมหลบภัยบ้าง คอยฟังเสียงหวอเตือนภัยบ้าง โดยที่ยังไม่ต้องกล่าวถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากในช่วงสงคราม สินค้าต่างๆ หายาก ทั้งยังมีราคาแพง

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า นับเป็นสมเด็จพระนางเจ้าพระองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระชนมายุยืนยาวจนได้ทอดพระเนตรสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ทรงเป็นพระชนนีของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ซึ่งต่อมาได้เฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 สมเด็จพระพันวัสสาฯ จึงมีศักดิ์เป็น “พระอัยยิกา” ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

เวลานั้น นายปรีดี พนมยงค์ นอกจากจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ แล้ว ยังเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยด้วย คนจำนวนไม่น้อยคลางแคลงสงสัยในความจงรักภักดีของนายปรีดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากเขาเป็นแกนนำคนสำคัญของคณะราษฎร เป็นผู้เขียนประกาศคณะราษฎร และร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ประกาศว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” แต่การที่นายปรีดีถวายความปลอดภัยแด่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้านี้ เป็นพยานหลักฐานสำคัญที่แสดงให้ปรากฏถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของเขา

 

สมเด็จพระมาตุฉาเจ้าสว่างวัฒนาฯ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ฉายเมื่อ พ.ศ. 2455 | ภาพจากเว็บไซต์ PBase

 

ชีวิตในยามสงคราม

 

เมื่อสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทราบเรื่องว่าไทยยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านไปตีมลายูของอังกฤษนั้น ตรัสว่า “สู้อังกฤษไม่ได้หรอก เรื่องจะไปตีสิงคโปร์ พระพุทธเจ้าหลวงท่านเคยรับสั่ง อังกฤษไม่ยอมดอก

ครั้นการทิ้งระเบิดมีมากขึ้น จึงมีการจัดที่หลบภัยถวายภายในวังสระปทุม โดยทางวังสระปทุมนั้นใช้ใต้ถุนตำหนักจัดเป็นที่หลบภัยถวาย แต่สมเด็จฯ เข้าไปเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ยอมอีกเลย ด้วยตรัสว่า “อึดอัด หายใจไม่ออก” ทางวังจึงจัดที่ประทับให้หลบภัยไว้ที่ชั้นล่าง ทรงรำคาญพระราชหฤทัยมากทุกคราวที่ทรงได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศ ที่ทรงรำคาญมากที่สุดก็คือการต้องดับไฟมืดสนิท อนึ่ง บนหลังคาพระตำหนักได้ทาสีขาวแดงเป็นกากบาทไว้ เพื่อเป็นเครื่องหมายให้เครื่องบินทิ้งระเบิดทราบว่า ไม่ควรทิ้งระเบิดบริเวณนี้ด้วย

เหตุ 3 ประการ คือ ความฉุกเฉินวุ่นวาย ความว้าเหว่ ความน้อยพระราชหฤทัยในเหตุการณ์บ้านเมือง ทำให้ทรงทอดอาลัยในพระชนม์ชีพ ไม่ทรงกลัวลูกระเบิด ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า “เมื่อไหร่ฉันจะตายเสียที”

 

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า กับพระราชนัดดา และพระสุณิสา | ภาพจากเว็บไซต์สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

ระหว่างสงคราม คราวหนึ่งตรัสถามผู้ที่เชิญเสด็จให้มาหลบภัยยังชั้นล่างของที่ประทับว่า “หลานๆ อยู่ที่ไหนล่ะ” ซึ่งหมายถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เมื่อทราบว่าประทับอยู่เมืองนอกก็ตรัสทันทีว่า “เออ สิ้นเคราะห์ไปที

เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้น คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ขอให้สมเด็จฯ ทรงอพยพไปประทับ ณ ที่อื่นแทน สมเด็จฯ ปฏิเสธไม่ยอมไปที่ใดทั้งสิ้น พระราชทรัพย์ทั้งปวงก็ทรงทิ้งไว้ที่พระตำหนักในพระบรมมหาราชวัง ตรัสว่า “ให้หินหักอยู่กับใบโพธิ์” ครั้นทางรัฐบาลจะจัดที่ถวายให้พอสำหรับ 10 คน สมเด็จฯ ก็ไม่ตกลง ดังตรัสว่า “แล้วจะไปยังไงกัน 10 คน ฉันเป็นกุลเชษฐ์ ฉันยังมีลูกเลี้ยง มีน้อง ต้องหลบไปให้หมด ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน

 

ที่ศรีราชา

 

ต่อมาสมเด็จฯ ทรงยอมย้ายไปประทับที่โรงพยาบาลสมเด็จฯ ณ ศรีราชา โดยประทับที่พระตำหนักซึ่งยื่นออกไปในทะเล แต่เมื่อผ่านไป 3 เดือน ราวเดือนมีนาคม 2487 เครื่องบินสัมพันธมิตรก็มาทิ้งระเบิดที่เกาะสีชังและรอบๆ ไม่ห่างจากที่ประทับเท่าใดนัก ทำให้ดูน่าพรั่นพรึง จึงได้มีการกราบทูลให้ประธานคณะผู้สำเร็จฯทราบ เพราะพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เคยตรัสสั่งไว้ว่า “ดีแล้ว ที่ประทับที่โรงพยาบาลสมเด็จต่อไป เพราะที่วังสระปทุมก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ถ้ามีเหตุอะไรให้เข้ามาบอก จะจัดการถวายใหม่” ดังนั้นเมื่อทรงทราบแล้ว ประธานคณะผู้สำเร็จฯ จึงตรัสว่า “ท่านปรีดีได้บอกไว้ว่า ถ้าถึงคราวจะอพยพสมเด็จพระพันวัสสา ท่านปรีดีจะจัดถวายเอง

ท่านปรีดีที่ว่า ก็คือ นายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนหนึ่งด้วย

ที่โรงพยาบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 

เมื่อถึงกำหนด นายปรีดีมารับเสด็จ และเชิญเสด็จลงประทับในเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์ นำเรือไปจอดที่นนทบุรีตรงข้ามกับเรือนจำบางขวาง 15 วัน เพื่อรอการจัดที่ประทับที่โรงพยาบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างอพยพอยู่นี้ สมเด็จฯ ทรงมีพระราชหฤทัยนึกถึงสมเด็จพระราชนัดดาอยู่เสมอ ดังได้ตรัสว่า “ดีใจ๊ ดีใจ หลานอยู่เมืองนอก ไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ไม่อย่างนั้น ฉันคงเอาตัวไม่รอด ห่วงหลาน

ที่อยุธยา นายปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยา ได้เข้าเฝ้าแหน กราบบังคมทูลซักถามถึงความสะดวกสบายอยู่เป็นเนืองนิตย์ มีกิริยาพาทีในเวลาเข้าเฝ้าเรียบร้อย นุ่มนวลนัก นัยน์ตาก็ไม่มีวี่แววอันควรระแวงสงสัยถึงความไม่จงรักภักดีจากชายผู้เขียนประกาศคณะราษฎรผู้นี้ ส่วนท่านผู้หญิงพูนศุขนั้น ทางบ้าน ณ ป้อมเพชร์ คุ้นเคยกับสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร[1] มาก่อน จึงไม่มีปัญหาในการเข้าเฝ้าเจ้านาย

 

สมเด็จฯ กับ ม.จ.อัปภัศราภา เทวกุล | ภาพจากเว็บไซต์โอเคเนชั่น

 

โดยครั้งแรกที่นายปรีดีเข้าเฝ้าสมเด็จฯ นั้น ม.จ.อัปภัศราภา เทวกุล ผู้ควบคุมกระบวนเสด็จ กราบบังคมทูลว่า หลวงประดิษฐ์ฯ มาเฝ้า (เดิมนายปรีดีเคยเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม) สมเด็จฯ ไม่ทรงรู้จักคุณหลวงมาก่อนเลย จึงทรงเข้าพระทัยว่าหมายถึงหลวงประดิษฐ์บาทุกา (เซ่งชง) เจ้าของห้างทำรองเท้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในพระนคร ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงพระกรุณาในเรื่องเงินทองอยู่เสมอ สมเด็จฯ จึงตรัสว่า “อ๋อ เขาเอาเงินมาใช้ฉันน่ะ

โดยที่ต้องไม่ลืมว่าช่วงนั้นทรงเริ่มหลงๆ ลืมๆ ไปแล้วตามชราภาพที่ครอบงำ ม.จ.อัปภัศราภา จึงกราบบังคมทูลว่า “ไม่ใช่เพคะ … คนนี้เขาเป็นผู้แทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัว” เมื่อสมเด็จฯ ยังคงสงสัยอยู่ ก็กราบบังคมทูลต่อไปว่า “สมเด็จเจ้าพระยายังไงล่ะเพคะ”  สมเด็จฯ จึงทรงเข้าพระทัยทันที มีพระราชปฏิสันถารด้วยอย่างดี “มาซิ พ่อคุณ อุตส่าห์มาเยี่ยม” แล้วตรัสซักถามถึงที่พัก ครั้นเมื่อทราบว่าพักที่คุ้มขุนแผน ก็ทรงหันไปทางข้าหลวง ตรัสสั่งว่า “ดูข้าวปลาอาหารให้เขากินนะ

 

นายปรีดีตามเสด็จ

 

เวลาเย็นๆ นายปรีดีจะเชิญเสด็จประทับรถยนต์ประพาสรอบๆ เกาะ  วันหนึ่งมีกระแสพระราชดำรัสว่า หลานฉันยังเด็กนะ ฝากด้วย ผู้สำเร็จฯ ก็กราบบังคมทูลสนองพระราชประสงค์เป็นอย่างดีด้วยความเคารพ ทำให้ผู้ที่ชื่นชมก็ทวีความชื่นชมยิ่งขึ้น ผู้ที่เคยคลางแคลงสงสัยถึงความบริสุทธิ์ใจของนายปรีดี แกนนำคณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงปกครอง ก็เริ่มไม่แน่ใจตนเอง

วันหนึ่งที่วัดมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมเด็จฯ ตรัสว่า “ฉันจะไปปิดทอง” แล้วเสด็จไปทรงซื้อทองที่วางขายอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อเสด็จไปถึงองค์พระ ปรากฏว่าทรงปิดไม่ถึง นายปรีดีจึงกราบบังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะไปปิดถวาย” สมเด็จฯ จึงพระราชทานไปพร้อมตรัสว่า “เอาไปปิดเถอะ คนที่ทำบุญด้วยกัน ชาติหน้าก็เป็นญาติกัน

เล่าลือกันว่า กระแสพระราชดำรัสนั้นทำให้ผู้สำเร็จฯ ซาบซึ้งมาก พวกที่ชื่นชมก็สรรเสริญพระปรีชาสามารถในสมเด็จฯ ว่าทรงเปลี่ยนใจคนที่เคยเขียนประกาศประณามพระราชวงศ์ได้อย่างตรงไปตรงมา พวกที่เคลือบแคลงอยู่ก็ยังคงเฝ้าดูต่อไป

 

วิหารพระมงคลบพิตรก่อนการบูรณปฏิสังขรณ์ | ภาพจากหนังสือ พระราชวัง และวัดโบราณ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งรูปถ่ายและแผนผัง จัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายจำรัส เกียรติก้อง ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 31 ธันวาคม 2511

 

ที่พระบรมมหาราชวัง

 

หลังจากประทับอยู่อยุธยาได้ 3 เดือน ก็ต้องอพยพมาประทับที่พระตำหนักในพระบรมมหาราชวัง เพราะเกิดพายุใหญ่พัดเอาหลังคาที่ประทับพัง  แต่เมื่อประทับได้ 6 เดือน ก็ต้องตกพระทัยอย่างยิ่ง เพราะวันหนึ่งมีระเบิดลงที่พระที่นั่งบรมพิมานและพระที่นั่งพิมานรัถยา อันอยู่ขวาซ้ายของพระตำหนักไม่กี่เส้น นายปรีดี ซึ่งเวลานั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพียงคนเดียว จึงเชิญเสด็จหลบภัยไปประทับที่พระราชวังบางปะอิน ซึ่งมีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จด้วยหลายพระองค์

โดยที่ต้องไม่ลืมว่า หลังแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงแล้ว พระมหากษัตริย์รัชกาลถัดๆ มาประทับนอกพระบรมมหาราชวังทั้งสิ้น อาคารต่างๆ ก็ทรุดโทรมลงไปมา ดัง ม.จ.อัปภัศราภา บรรยายว่า พระที่นั่งอมรพิมานมณี อันเป็นวิมานที่บรรทมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรุดโทรมหักพังมืดสนิท เป็นที่อยู่อาศัยของงูเหลือม ค้างคาว และพระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทรฯ ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน

 

ที่พระราชวังบางปะอิน

 

เมื่อย้ายมาที่พระราชวังบางปะอินนั้น ได้จัดให้ทอดเรือพระที่นั่งประพาสแสงจันทร์ให้เป็นประทับของสมเด็จฯ อยู่หน้าพระที่นั่งวโรภาษพิมาน  พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ประทับที่พระตำหนักของสมเด็จฯ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารีประทับที่ตำหนักพระราชเทวี สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทับที่ตำหนักเก้าห้อง พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภาประทับที่ตำหนักพระราชชายา ส่วนข้าราชบริพารก็พักตามเรือนเล็กตำหนักน้อยกันทั่วไป

ขณะที่ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล และ ม.จ.พัฒนายุ ดิศกุล ประทับที่วัดนิเวศธรรมประวัติตรงข้ามพระราชวัง เนื่องจากได้เชิญเสด็จพระอังคารสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ หนังสือ และของต่างๆ มาไว้ที่นั่น

นับได้ว่าพระราชวังบางปะอินเป็นเขตพระราชฐานโดยแท้จริง  ส่วนผู้สำเร็จฯ จอดเรือตะวันส่องแสงอยู่หน้าสภาคารราชประยูร อันเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร

 

พระที่นั่งวโรภาษพิมาน | ภาพจากเว็บไซต์ห้องสมุดมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

 

ความเป็นไปในพระราชวังบางปะอิน

 

ฝ่ายชาวบ้านละแวกนั้นได้ชวนกันมาเฝ้า หาอะไรมาถวายให้ทอดพระเนตร เพื่อทรงพระสำราญ บางวันก็มาแข่งเรือถวาย บางวันก็มาเล่นเพลงเรือถวาย บางคืนก็มารำวงถวาย สมเด็จฯ ก็พระราชทานผ้าห่ม เสื้อผ้าแก่เขาเหล่านั้น เพราะของเหล่านี้ราคาแพงมากที่สุดในระหว่างสงคราม แต่นายปรีดีจัดหามาถวายจากองค์การจัดซื้อสินค้า คือร้านค้าของทางราชการในราคาถูก

ผู้สำเร็จฯ ก็หมั่นเฝ้ามาทูลละอองธุลีพระบาทอยู่เสมอ จนเจ้านายที่ตามเสด็จเคยไม่โปรดก็เริ่มจะโปรด พระองค์เจ้าประดิษฐาสารีเคยตรัสให้นายสมภพ จันทรประภาฟังว่า “ผู้สำเร็จฯ นี่เขาดีนะ  เมื่อวานเขาเดินผ่านมา เห็นขุดดินปลูกต้นไม้อยู่ เขาว่าดี ได้ออกกำลัง

มีครั้งหนึ่ง เครื่องบินของอังกฤษไปทิ้งระเบิดแถวบางปะอิน ในรุ่งขึ้น นายปรีดี ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย ต่อว่า นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ แกนนำเสรีไทยสายอังกฤษอย่างรุนแรง ในฐานะที่เขาเป็นผู้ส่งโทรเลขติดต่อระหว่างสัมพันธมิตรกับเสรีไทยในประเทศ ซึ่งนายปรีดีเคยให้นายป๋วยประสานงานไปก่อนแล้วว่าขออย่าให้มาทิ้งระเบิดที่พระบรมมหาราชวัง หรือวังที่ประทับของเจ้านาย ป๋วยจึงส่งโทรเลขไปประท้วงกองบัญชาการทหารอังกฤษ ทางการอังกฤษโทรเลขตอบขอโทษกลับมา และรับรองว่าจะพยายามไม่ให้เกิดความพลาดพลั้งขึ้นอีก

 

งานวันเกิดผู้สำเร็จฯ

 

วันคล้ายวันเกิดอายุครบ 45 ปีของนายปรีดี ศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2488 ผู้คุมกระบวนเสด็จก็จัดให้มีการแสดงละครสิ่งละอันพันละน้อยให้เป็นการตอบแทนน้ำใจ พวกที่ชื่นชมยินดีในการกลับใจได้ของนายปรีดีก็ชื่นชมไป ฝ่ายที่คลางแคลงและหัวแข็งก็ยังไม่ยอมลงใจสนิท

ระทวย จักรพันธุ์ วีระแกล้ว ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในวังสระปทุมและตามเสด็จไปพระราชวังบางปะอินด้วยนั้น เล่าว่า วันหนึ่งครูที่โรงเรียนหลังคาจาก[2] ได้เลือกเด็กนักเรียนไปรำอวยพร และแต่งกายตามแต่จะหาได้ เพื่อเล่นต้อนรับผู้สำเร็จฯ ซึ่งจะมาฉลองวันเกิดของท่านที่บางปะอิน  บทเพลงนั้นเธอยังคงจำได้ดี มีว่า

ศรี ศรี ศรี วันนี้วันที่ 11พฤษภาคม วันศุกร์วันศรีสง่า ผู้สำเร็จฯ มา เราต้องต้อนรับเอย

“ศรี ศรี ศรี วันนี้วันดีเป็นวันสำคัญ เรามาพร้อมใจกันอวยพรให้ท่านผู้สำเร็จฯเอย” * * *

อนึ่ง ระทวยยังได้เล่าด้วยว่า คราวหนึ่งเธอทอนซิลเป็นหนอง อาการทรุดลงเรื่อยๆ เพราะยาเป็นของหายากในยามสงคราม สิ่งที่ต้องรับประทานคือยาฆ่าเชื้อ สมัยนั้นที่ดีที่สุดคือยาซัลฟา แต่ในท้องตลาดขาดแคลน ในตลาดมืดขายกันถึงเม็ดละ 100 บาท ซึ่งต้องกิน 10 เม็ด  ม.จ.แววจักร จักรพันธุ์ บิดาของเธอจึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากนายปรีดีให้กรุณาหาซื้อยามาให้ หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วัน ผู้สำเร็จฯ ก็หามาให้ ม.จ.แววจักร 10 เม็ด โดยไม่ยอมรับค่ายาเลย ระทวยถึงกับเขียนในหนังสือของเธอว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกมาตลอดว่า เป็นหนี้ชีวิตของท่านผู้สำเร็จราชการ เพราะท่านได้ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้

 

นายปรีดี พนมยงค์ (ซ้าย) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 | ภาพจากเว็บไซต์ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์

 

“ทำบุญกับคนแก่นี่พ่อได้กุศล”

 

9 เดือนในพระราชวังบางปะอิน นับเป็น 9 เดือนแห่งความสุขของทุกคนอย่างดีที่สุดที่จะหาได้ในยามสงคราม ส่วนสมเด็จฯ นั้นทรงประชวรเป็นไข้หวัด เมื่อหายประชวรแล้ว พระอธิษฐานที่เคยทรงไว้เมื่อครั้งถวายพระเพลิงสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ว่า ขอให้ทรงลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด เริ่มจะเป็นผลบ้างแล้ว แต่ทุกคราวที่มีคนมาเฝ้าก็ตั้งพระสติได้ ผู้สำเร็จฯ นั้นทุกคราวที่มาเฝ้า จะทรงต้อนรับอย่างดี เคยตรัสครั้งหนึ่งว่า

พ่อคุณเถอะ ฝากหลานด้วยนะ พ่อมาทำบุญกับคนแก่นี่พ่อได้กุศล

นายปรีดี ผู้สำเร็จฯ ก็รับพระราชเสาวนีย์ด้วยกิริยามารยาทอันงดงาม เจ้านายทั้งหลายเห็นใจในการที่ผู้สำเร็จฯมาอยู่ใกล้ชิดเป็นประจำ ทำให้อุ่นพระทัยทั่วกัน แต่ไม่มีสักพระองค์หรือสักคนจะทราบว่าภายในสภาคารราชประยูร อันเป็นที่พักของผู้สำเร็จฯ นั้น คือสถานที่บัญชาการเสรีไทยในประเทศ มีเครื่องรับส่งวิทยุอันทันสมัยอยู่ชั้นล่างอย่างมิดชิด

 

ส่งท้าย

 

นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้เขียนไว้ว่า การที่เสรีไทย โดยเฉพาะหัวหน้าเสรีไทย ได้แสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์  ถวายความอารักขาให้พ้นภัยสงครามครั้งนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงซาบซึ้งพระทัยดี เมื่อสิ้นสงครามได้รับสั่งเรียกนายปรีดีไปที่ประทับและขอบใจ ซึ่งคณะเสรีไทยถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง

โดยที่ยังไม่จำต้องเอ่ยถึงกรณีที่นายปรีดีสามารถผสานไมตรีกับ ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน พระเชษฐาในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ก็ยังได้ ดังกรณีนั้น นายปรีดีถึงกับให้นายป๋วยโทรเลขไปบอกฝ่ายอังกฤษเลยว่า “การเมืองในประเทศนั้นเป็นอันยุติไม่มีปัญหาอีกต่อไป เสรีไทยมีความมุ่งหมายอยู่อย่างเดียวที่จะรักษาเอกราชและอิสรภาพของประชาชาติ ฉะนั้น คนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือราษฎรธรรมดา ที่มีความรักชาติอย่างเดียวกัน ต้องถือเป็นคณะเดียวกัน มีความสามัคคีกันเป็นหลักการใหญ่” ซึ่งฝ่ายอังกฤษอ่านแล้วถึงกับสงสัยว่านายปรีดีเขียนมาตามแบบพิธี หรือมาจากใจจริง นายป๋วยต้องยืนยันไปอีกทีว่า มาจากความสุจริตใจ

กล่าวได้ว่า นอกจากการรักษาเอกราช อธิปไตย และการเจรจาภายหลังสงครามแล้ว การถวายความปลอดภัยแด่เจ้านายชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงศ์นี้ ก็เป็นผลงานสำคัญที่น่าสรรเสริญของนายปรีดีและคณะของเขา ควรที่เราจะได้ศึกษากันให้เห็นความเป็นจริง ดังที่ผู้ตามเสด็จสมเด็จพระพันวัสสาฯ ได้เห็นถึงน้ำใสใจจริงของผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ที่เป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยมาแล้ว

อย่างไรก็ดี สัจจะย่อมเป็นอมตะเสมอ แม้จะมีผู้พยายามใส่ร้ายป้ายสีนายปรีดีต่างๆ นานา แต่เขาเหล่านั้นจะปฏิเสธคุณูปการงานเสรีไทยของนายปรีดีได้ละหรือ?

 

นายปรีดี พนมยงค์ (ชุดขวา) รับการสวนสนามของสมาชิกเสรีไทย วันที่ 25 กันยายน 2488 | ภาพจากเว็บไซต์ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์

 

ชมคลิป

 

บรรณานุกรม

ป๋วย อึ๊งภากรณ์, “พระบรมวงศานุวงศ์และขบวนการเสรีไทย” ใน อัตชีวประวัติ: ทหารชั่วคราว, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2559), น. 164–168.

ระทวย จักรพันธุ์ วีระแกล้ว, นิยายชีวิตในวังสระปทุม (กรุงเทพฯ: นิตยสารแพรว, 2556), น. 80 และ 119–120.

สมภพ จันทรประภา, สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ, พิมพ์ครั้งที่ 7 (กรุงเทพฯ: ศยาม, 2551), น. 466–488.

 

หมายเหตุ

ปรับปรุงจากบทความชื่อเดียวกันนี้ ที่ตีพิมพ์ใน 72 ปี วันสันติภาพไทย: สยามในยามสงคราม (กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, 2560), น. 18–37.

[1] สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้เป็นพระราชธิดาที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ แต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงขอไปเป็นลูก จึงทรงเรียกแม่แท้ๆ ว่า “ป้า” เรียกน้าว่า “แม่” เนื่องจากสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีฯ นั้นล้วนสิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ทั้งสิ้น จึงทรงขอจากสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ.

[2] โรงเรียนที่นายปรีดี ผู้สำเร็จฯ ให้สร้างขึ้นเป็นโรงเรียนชั่วคราวสำหรับเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานของข้าราชบริพาร รวมทั้งลูกๆ ของท่านเองด้วย  ด้วยความเป็นชั่วคราว จึงไม่มีฝา หลังคามุงจาก เรียกกันว่า โรงเรียนหลังคาจาก.

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save