fbpx
สินสอดมีไว้ทำไม? มองสินสอดด้วยเศรษฐศาสตร์

สินสอดมีไว้ทำไม? มองสินสอดด้วยเศรษฐศาสตร์

พลอย ธรรมาภิรานนท์ เรื่อง

 

“กว่าจะโตมาขนาดนี้ แม่ต้องเสียเงินไปเท่าไหร่ ทั้งค่าเทอม ค่าไปซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ ค่าเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ถือซะว่าเป็นค่าน้ำนมแล้วกันนะ”

หากถามว่าประโยคดังกล่าวพูดถึงอะไร คนไทยเกือบทุกคนคงจะตอบได้ทันทีว่า “สินสอด” สินสอดเป็นธรรมเนียมที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในสังคมไทย คู่รักจำนวนไม่น้อยต้องเลิกกันเพราะสินสอด เจ้าบ่าวบางรายถึงกับต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาเป็นค่าสินสอด

สินสอดมีไว้เพื่ออะไร? ทำไมสินสอดจึงสำคัญขนาดนั้น?

บทความนี้จะสำรวจที่มาและวัตถุประสงค์ของค่าตอบแทนการสมรส ผ่านแว่นตาทางเศรษฐศาสตร์ และหันกลับมาตอบคำถามภายใต้บริบทของสังคมไทยว่า เพราะเหตุใดสินสอดจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งเมื่อมีการแต่งงาน

 

ทำความรู้จักกับค่าตอบแทนการสมรส :

ราคาเจ้าสาว vs. ดาวรี

 

ค่าตอบแทนการสมรส (marriage payment/transaction) คือการให้ทรัพย์สินเพื่อตอบแทนการยินยอมสมรส ค่าตอบแทนการสมรสปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของเกือบทุกสังคม ย้อนหลังไปตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล

อารยธรรมยิ่งใหญ่ของโลกอย่างอียิปต์โบราณ เมโสโปเตเมีย ฮิบรู แอซเท็ก อินคา และกรีกโบราณ ล้วนมีธรรมเนียมให้ค่าตอบแทนสำหรับการสมรสทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ธรรมเนียมดังกล่าวไม่ได้มีรูปแบบเหมือนกันหมดในทุกสังคม

ค่าตอบแทนการสมรสแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบหลัก ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดเป็นผู้จ่ายและฝ่ายใดเป็นผู้รับ ในกรณีที่ฝ่ายชายเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ฝ่ายหญิง จะเรียกทรัพย์สินส่วนที่มอบให้ ‘ครอบครัวเจ้าสาว’ ว่า “ราคาเจ้าสาว” (bride price) ซึ่งก็คือ “สินสอด” ที่คนไทยรู้จักกันดี ส่วนทรัพย์สินที่มอบให้ ‘เจ้าสาว’ โดยตรงนั้น เรียกว่า “ดาวเวอร์” (dower) หรือ “ทองหมั้น” ตามธรรมเนียมไทยนั่นเอง ทั้งนี้ เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้รับจะเป็น ‘ครอบครัวเจ้าสาว’ มากกว่าที่จะเป็นตัวเจ้าสาวโดยตรง จึงเรียกค่าตอบแทนที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิงอย่างกว้างๆ ว่า “ราคาเจ้าสาว”

อีกรูปแบบหนึ่งของค่าตอบแทนการสมรส คือกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายให้ค่าตอบแทน และมีฝ่ายชายเป็นผู้รับ โดยเรียกทรัพย์สินส่วนที่มอบให้ ‘ครอบครัวเจ้าบ่าว’ ว่า “ราคาเจ้าบ่าว” (groom price) และเรียกทรัพย์สินส่วนที่ให้แก่ ‘เจ้าบ่าว’ โดยตรงว่า “ดาวรี” (dowry)

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นผู้ให้ค่าตอบแทนนั้น ผู้รับส่วนใหญ่คือตัวเจ้าบ่าวเอง ไม่ใช่ครอบครัว โดยทั่วไป จึงเรียกค่าตอบแทนที่ฝ่ายหญิงมอบให้ฝ่ายชายรวมกันเป็น “ดาวรี”

ควรกล่าวด้วยว่า แต่เดิม ดาวรีคือการให้ทรัพย์สินติดตัวแก่ ‘เจ้าสาว’ โดยครอบครัวฝ่ายหญิง ซึ่งปรากฏทั้งในอาณาจักรโรมัน ไบแซนไทน์ ยุโรปยุคกลาง รวมไปถึงบราซิลในช่วงทศวรรษที่ 17-18 อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ฝ่ายชายจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ส่งผลให้ในระยะยาว ความหมายและลักษณะการให้ดาวรีจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป จากที่เคยเป็นทรัพย์สินซึ่งให้แก่ฝ่ายหญิง กลายมาเป็นทรัพย์สินซึ่งให้แก่ฝ่ายชายในที่สุด

 

ในปัจจุบัน เรายังคงพบเห็นการให้ค่าตอบแทนการสมรส ทั้งการให้ราคาเจ้าสาวและดาวรีได้ทั่วไป โดยประเทศที่มีการให้ราคาเจ้าสาวโดยฝ่ายชาย ได้แก่ ประเทศที่เคยอยู่ใต้อิทธิพลของอาณาจักรออตโตมัน เช่น อิรัก ตุรกี อียิปต์, ประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากจีน เช่น ไต้หวัน ไทย รวมถึงจีนเอง และประเทศในแอฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกาใต้สะฮารา (Sub-Saharan Africa) ส่วนธรรมเนียมการให้ดาวรีแก่ฝ่ายชายนั้น แพร่หลายในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ และปากีสถาน

เป็นที่น่าสังเกตว่า ธรรมเนียมการให้ค่าตอบแทนการสมรสในบางพื้นที่ เช่น ยุโรปตะวันตก และยุโรปตะวันออก ได้เลือนหายไปจากสังคมแล้ว ในขณะที่ปัจจุบัน การให้ค่าตอบแทนการสมรสยังคงแพร่หลายอยู่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ถ้าเช่นนั้น วัตถุประสงค์ของค่าตอบแทนการสมรสคืออะไร? ค่าตอบแทนเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อสมรสหรือไม่? เมื่อประเทศยกระดับการพัฒนาแล้ว ค่าตอบแทนการสมรสจะหายไปจากสังคมหรือไม่?

 

หน้าที่ของค่าตอบแทนการสมรสจากมุมมองเศรษฐศาสตร์

 

งานศึกษาเรื่องค่าตอบแทนการสมรสที่ใช้กรอบคิดทางเศรษฐศาสตร์ยังมีจำนวนไม่มากนัก ปัจจุบันจึงยังไม่มีงานศึกษาที่สามารถตอบได้ว่า เพราะเหตุใดค่าตอบแทนการสมรสจึงยังมีอยู่ในบางประเทศ และรูปแบบของค่าตอบแทนการสมรสนั้น เกี่ยวข้องกับระดับการพัฒนาประเทศหรือไม่ ทั้งนี้ งานศึกษาส่วนใหญ่เป็นการทำความเข้าใจถึงที่มาและหน้าที่ของค่าตอบแทนการสมรส ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 แนวคิดหลัก ดังนี้

 

เพื่อเป็นแรงจูงใจในตลาดคู่สมรส

แนวคิดแรกมองว่า ค่าตอบแทนการสมรสมีที่มาจากความไม่สมดุลของประชากร ในสังคมที่ประชากรชายมีสัดส่วนสูงกว่าประชากรหญิงมาก ประชากรชายที่มีจำนวนมากต้องแข่งขันกันแย่งคู่สมรส ซึ่งก็คือประชากรหญิงที่มีจำนวนน้อย ดังนั้น ฝ่ายชายจึงต้องเป็นผู้ให้ค่าตอบแทนการสมรสแก่ฝ่ายหญิง เพื่อจูงใจให้ฝ่ายหญิงยินยอมสมรสกับตน จนนำไปสู่ธรรมเนียมการให้ราคาเจ้าสาว

ในทางตรงกันข้าม ในสังคมที่ประชากรหญิงมีสัดส่วนสูงกว่าประชากรชายมาก จะเกิดธรรมเนียมการให้ดาวรีขึ้น เพราะประชากรหญิงที่มีจำนวนมาก ต้องแข่งขันกันโน้มน้าวให้ฝ่ายชายเลือกตนเองเป็นคู่สมรส ฝ่ายหญิงจึงต้องเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนการสมรสแก่ฝ่ายชาย

การพิจารณาสถิติด้านประชากรพบว่า แนวคิดเกี่ยวกับความไม่สมดุลของประชากรอาจมีน้ำหนักไม่มากนัก เพราะในบางประเทศที่มีธรรมเนียมการให้ดาวรี เช่น อินเดียและบังคลาเทศ กลับมีจำนวนประชากรชายในวัย 20-50 ปี มากกว่าประชากรหญิงมาตั้งแต่ปี 1950 เป็นอย่างน้อย หรืออย่างในกรณีของไทย ตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา ก็มีทั้งช่วงที่ประชากรชายในวัย 20-50 ปี มีจำนวนน้อยกว่า และช่วงที่มีจำนวนมากกว่าประชากรหญิง โดยจำนวนประชากรทั้งสองเพศไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

 

เพื่อชดเชยปัจจัยการผลิต

แนวคิดนี้เสนอว่า ค่าตอบแทนการสมรสคือการชดเชยกำลังของปัจจัยการผลิตที่เสียไปจากการสมรส หากผู้หญิงมีบทบาทในกระบวนการผลิตของครัวเรือนมาก เช่น ในสังคมที่ใช้เครื่องมือน้ำหนักเบาในการทำเกษตรกรรม ฝ่ายชายต้องจ่ายค่าตอบแทนการสมรสให้ครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อชดเชยให้กับกำลังการผลิต และความสามารถในการสืบสกุลของครอบครัวที่สูญเสียไป เห็นได้จากธรรมเนียมการให้ราคาเจ้าสาวในจีน และในกลุ่มประเทศแอฟริกาใต้สะฮะรา ซึ่งเป็นสังคมที่ผู้หญิงมีส่วนร่วมมากในเกษตรกรรม

ส่วนในสังคมที่บทบาทของผู้หญิงในกระบวนการผลิตมีจำกัด ครอบครัวฝ่ายหญิงต้องให้ดาวรีแก่ฝ่ายชาย เพื่อชดเชยต้นทุนส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการรับสมาชิกซึ่งไม่มีผลิตภาพเข้าสู่ครัวเรือน

นักวิชาการหลายคนเห็นว่า การมองจากมุมค่าชดเชยทำให้สามารถอธิบายการเปลี่ยนรูปแบบของค่าตอบแทนการสมรสได้ด้วย ในสังคมยุโรปยุคกลาง และกลุ่มสังคมเกษตรกร Vokkaliga ในอินเดีย ธรรมเนียมการให้ราคาเจ้าสาวได้เปลี่ยนไปเป็นการให้ดาวรี พร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

จากแนวคิดนี้ เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าและเศรษฐกิจขยายตัว ผลิตภาพแรงงานและฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น ทำให้ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการทำเกษตรกรรม จึงถูกเปลี่ยนสถานะจาก ‘กำลังการผลิต’ ไปเป็น ‘ภาระต่อครอบครัว’ และนำไปสู่การเปลี่ยนไปให้ค่าชดเชยแก่ฝ่ายชายในที่สุด

อย่างไรก็ตาม การมองว่าค่าตอบแทนการสมรสเป็นค่าชดเชย ไม่สามารถอธิบายธรรมเนียมของบางสังคม เช่น ในกลุ่มชนชั้นสูงของอินเดีย ซึ่งใช้ค่าตอบแทนการสมรสเป็นสัญลักษณ์ในการแสดงความร่ำรวยได้ นอกจากนี้ ข้อสันนิษฐานนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่า เหตุใดในบางประเทศ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ และปากีสถาน จึงยังมีธรรมเนียมการให้ดาวรีอยู่ โดยมูลค่าของดาวรีก็ไม่ได้ลดลง ทั้งที่ผู้หญิงในสังคมเหล่านั้นได้เข้าร่วมในกิจกรรมที่ก่อให้เกิดประสิทธิผลทางเศรษฐกิจแล้ว

 

เพื่อให้ฝ่ายหญิงมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน

แนวคิดนี้แบ่งได้เป็นสองแนวคิดย่อย คือแนวคิดเกี่ยวกับราคาเจ้าสาว และแนวคิดเกี่ยวกับดาวรี โดยแนวคิดแรกมองว่า ราคาเจ้าสาวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันชีวิตหลังสมรสของฝ่ายหญิง หากหย่าร้างหรือฝ่ายชายเสียชีวิต ฝ่ายหญิงจะได้นำทรัพย์สินของตนมาใช้ดำเนินชีวิตต่อได้ หลักฐานสนับสนุนแนวคิดนี้ ได้แก่ ธรรมเนียมการให้ราคาเจ้าสาวในสังคมจีนดั้งเดิม ซึ่งบิดามารดาฝ่ายหญิงจะเป็นผู้รับทรัพย์สินจากฝ่ายชาย หลังจากนั้นจึงมอบส่วนหนึ่งของราคาเจ้าสาวให้บุตรสาวของตน เพื่อเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลในช่วงการดำเนินชีวิตคู่

แนวคิดที่สองเกี่ยวกับดาวรีเห็นว่า ดาวรีเป็นธรรมเนียมที่มีขึ้นเพื่อใช้แสดงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้หญิง โดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กับราคาเจ้าสาวแต่อย่างใด เนื่องจากแต่เดิม ดาวรีคือทรัพย์สินที่ครอบครัวฝ่ายหญิงมอบให้แก่เจ้าสาวเมื่อสมรส ดาวรีจึงมีที่มาจากความต้องการแบ่งมรดกให้กับบุตรสาว ก่อนที่บิดามารดาจะเสียชีวิต (Pre-mortem inheritance)

จากทั้งสามแนวคิดดังกล่าว ไม่มีแนวคิดใดที่สามารถอธิบายหน้าที่ของค่าตอบแทนการสมรสในทุกสังคมได้ ทั้งนี้เนื่องจากค่าตอบแทนการสมรสไม่ได้มีที่มาจากหลักเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเชื่อมโยงกับบริบทของสังคม ที่มีความซับซ้อนและมีความเฉพาะเจาะจงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ที่การพัฒนาเทคโนโลยีส่งผลให้สังคมมีพลวัตสูง ทั้งสามแนวคิดข้างต้นซึ่งไม่ได้พิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงไม่สามารถอธิบายวัตถุประสงค์ของค่าตอบแทนการสมรสในสังคมปัจจุบันได้ดีนัก

 

สินสอดในไทย : ค่าตอบแทนการเลี้ยงดู เครื่องมือจัดลำดับสถานภาพทางสังคม และทัศนคติต่อหญิง

 

ในปัจจุบัน เมื่อมีการเรียกสินสอดโดยครอบครัวฝ่ายหญิงในสังคมไทย มักหนีไม่พ้นเหตุผลว่า “เพื่อเป็นค่าน้ำนม” และ “เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายชายสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวได้” จะเห็นได้ว่า ทั้งสองเหตุผลไม่สอดคล้องกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่กล่าวไปข้างต้นนัก

การให้สินสอดในลักษณะที่เป็นค่าน้ำนม มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยน คือเป็นค่าตอบแทนสำหรับต้นทุนที่ครอบครัวใช้เลี้ยงดูฝ่ายหญิงมาจนกระทั่งสมรส ถึงแม้ว่าการให้สินสอดในลักษณะนี้จะคล้ายกับแนวคิดที่สองข้างต้น (เพื่อชดเชยปัจจัยการผลิต) แต่ก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด

กล่าวคือ การให้สินสอดเพื่อชดเชยมองว่า ฝ่ายหญิงคือกำลังแรงงานซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญในสังคมเกษตรกรรม สินสอดในลักษณะดังกล่าวจึงเป็นการชดเชยมูลค่าผลผลิตที่ครอบครัวฝ่ายหญิงจะเสียไปในอนาคต ส่วนการให้สินสอดเป็นค่าน้ำนมในปัจจุบันนั้น กลับถูกคิดจากต้นทุนค่าเลี้ยงดูฝ่ายหญิงในอดีตเป็นหลัก โดยอาจมีปัจจัยอื่นประกอบ เช่น ผลผลิตที่ฝ่ายชายจะได้จากฝ่ายหญิงในฐานะแรงงาน (โดยไม่ได้คิดจากบริบทของสังคมเกษตรกรรม) และความพึงพอใจที่ฝ่ายชายจะได้รับในอนาคต

วัตถุประสงค์อีกประการของสินสอดในสังคมไทย คือเป็นเครื่องมือที่ใช้สร้าง ประกาศ และคัดกรองสถานภาพทางสังคม ในทางหนึ่ง สินสอดมูลค่าสูงสามารถใช้ ‘สร้าง’ และ ‘ประกาศ’ สถานภาพทางสังคมของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายได้ เพราะสินสอดที่มีมูลค่าสูงแสดงให้สังคมเห็นว่า ฝ่ายหญิงมีความเพียบพร้อมมากพอ จนฝ่ายชายยินดีเสียเงินเป็นจำนวนมากเพื่อแลกกับการสมรส ส่วนฝ่ายชายเองก็ได้แสดงสถานะทางการเงินผ่านมูลค่าสินสอด ในอีกทางหนึ่ง สินสอดมูลค่าสูงก็เปรียบได้กับอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด กล่าวคือ สินสอดมูลค่าสูง สามารถกีดกันฝ่ายชายที่มีฐานะและสถานภาพทางสังคมไม่เป็นไปตามที่ฝ่ายหญิงต้องการได้

ที่สำคัญยิ่งไปกว่าวัตถุประสงค์ คือทัศนคติต่อหญิงที่เป็นพื้นฐานของสินสอดในสังคมไทย การเรียกสินสอดเพื่อเป็นค่าน้ำนมชี้ให้เห็นว่า การเลี้ยงดูบุตรสาวทำให้เกิด ‘ต้นทุน’ ที่จำเป็นต้องได้รับการชดเชย ในขณะที่ถึงแม้การเลี้ยงดูบุตรชายจะก่อให้เกิดต้นทุนเช่นกัน แต่ครอบครัวฝ่ายชายกลับไม่จำเป็นต้องได้รับค่าชดเชยจากฝ่ายหญิง ทำให้ตีความได้ว่า บุตรชายสามารถให้ผลผลิตหรือคุณค่าบางประการ ที่สามารถชดเชยกับต้นทุนเหล่านั้นได้ โดยที่ตัวบุตรสาวเองไม่สามารถชดเชยได้ในลักษณะเดียวกัน

ส่วนการเรียกสินสอดเพื่อยืนยันว่าฝ่ายชายสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวได้นั้น ก็แสดงให้เห็นว่า สังคมไทยยังคงมองว่าหญิงไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงดูตัวเองได้ หรือหากทำได้ ก็เหมาะสมที่จะทำหน้าที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า ในทางปฏิบัติ มุมมองนี้จึงมีส่วนในการปิดโอกาสหญิงจากการเข้าสู่ตลาดแรงงาน และจากการประกอบอาชีพตามที่ตนเองต้องการ

ทัศนคติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า หญิงไทยยังคงต้องถูกยึดอยู่กับระบบความเชื่อ และค่านิยมดั้งเดิมของสังคมที่มีอคติต่อหญิง ทั้งการมีคุณค่าด้อยกว่าชาย การเป็นผู้ไร้ความสามารถในการหาเลี้ยงชีพ และการเป็นแม่บ้านแม่เรือน ธรรมเนียมสินสอดจึงเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตซ้ำวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ (patriarchy) ที่มีมาอย่างยาวนาน ให้ติดแน่นในสังคมไทยยิ่งขึ้นไปอีก

 

อ่านเพิ่มเติม

  1. รักที่จ่ายมา โดยวีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ ตีพิมพ์ใน Way Magazine วันที่ 25 พฤศจิกายน 2559

 

อ้างอิง

  1. Bhatia, Lakshmi. 2006. “The Phenomenon of Dowry: An Analysis”. Studies in Humanities and Social Science, 13 (2), pp. 87-98.
  2. Anderson, Siwan. 2007. “The Economics of Dowry and Brideprice”. Journal of Economic Perspectives, 21 (4), pp. 151-174.
  3. Jones, Caroline. 2011. “Women’s Worth: A Western Misconception”. Nebraska Anthropologist, 26.

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

23 Nov 2023

ไม่มี ‘วิกฤต’ ในคัมภีร์ธุรกิจของ ‘สิงห์’ : สันติ – ภูริต ภิรมย์ภักดี

หากไม่เข้าถ้ำสิงห์ ไหนเลยจะรู้จักสิงห์ 101 คุยกับ สันติ- ภูริต ภิรมย์ภักดี ถึงภูมิปัญญาการบริหารคน องค์กร และการตลาดเบื้องหลังความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจสิงห์

กองบรรณาธิการ

23 Nov 2023

Economy

19 Mar 2018

ทางออกอยู่ที่ทุนนิยม

ในยามหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ผู้คนสิ้นหวังกับปัจจุบัน หวาดหวั่นต่ออนาคต และสั่นคลอนกับอดีตของตนเอง
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เสนอทุนนิยมให้เป็น ‘grand strategy’ ใหม่ของประเทศไทย

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร

19 Mar 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save