อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะชอบคนพูดจาสุภาพไพเราะกับเขาด้วยเหมือนกัน
เพราะคำหนึ่งชมนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเพื่อนแท้ที่มีความจริงใจ อีกคำก็ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นคนสุภาพพูดจาไพเราะ
ถึงแม้ว่าการเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามคำเชิญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีประเทศนั้น ระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคมที่ผ่านมา จะมิได้หมายความว่า รัฐประหารโดยกองทัพก็ดี หรือระบอบปกครองเผด็จการทหารก็ดี จะเป็นที่ยอมรับของประชาคมประชาธิปไตยโลก
ด้วยเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศโดยแท้
แต่ภาพข่าวที่ออกมาก็สร้างความผะอืดผะอมให้กับหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนซึ่งจับจองอ้างตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตยอยู่ในเวลานี้ ที่หลายคนไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นถึงหัวหน้าคณะรัฐประหารและผู้นำรัฐบาลระบอบปกครองทหารจะสามารถเดินเหินออกนอกประเทศ ไปลอยหน้าลอยตา ชูคอ อยู่บนผืนแผ่นดินประชาธิปไตยตะวันตกได้อย่างไร
ไม่มีใครเชื่อว่า หัวหน้ารัฐบาลเผด็จการจะได้รับการเชื้อเชิญเข้าทำเนียบขาวไปสัมผัสมือเจรจาความเมืองกับผู้นำชาติอภิมหาอำนาจหัวขบวนประชาธิปไตยโลก
เพราะหลายปีที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างอ้างสื่อเลือกข้าง จึงเลือกที่จะเสพเฉพาะสื่อฟากฝั่งเดียวกัน
ประทานโทษเถอะ เลือกที่จะก้มหัวอยู่ในกะลาคนละใบ แล้วเย้ยหยันถากถาง “กะลาแลนด์” สาดใส่ฝ่ายตรงกันข้าม
แน่นอนว่าหลายคนตีเกราะเคาะปี๊บให้เป็นที่เอิกเกริก ทำราวกับ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นซูเปอร์แมน หรืออัศวินมากอบกู้ชาติบ้านเมือง รัฐประหารและระบอบปกครองเผด็จการทหารเป็นวิถีทางที่ชอบ นำไปสู่ประชาธิปไตยได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดแย้งในตัวเองโดยสิ้นเชิง
เป็นไปได้อย่างไรที่งาช้างจะงอกออกมาจากปากสุนัข
ขณะอีกฝ่ายหนึ่งนั้น หลายคนยังอินอยู่กับกระแส “โลกล้อมประเทศ” เคยเชื่อถึงขนาดว่า เรือรบสหรัฐ กองกำลังทหารของสหประชาชาติ กำลังยกทัพกรีฑามาช่วยคนเสื้อแดงทำสงครามกลางเมืองเมื่อหลายปีก่อน
นับประสาอะไร มาคราวนี้ก็ยังคงหลับหูหลับตา ดูหมิ่นดูแคลนตั้งแต่เริ่มมีข่าวออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ พอมีข่าวความไม่แน่นอนของกำหนดการตามมาก็เหมือนกระดี่ได้น้ำ เย้ยหยันถากถางกันสนุกสนาน ครั้นมีการยืนยันกำหนดการชัดเจนก็แถไถแดกดัน อ้างว่าไปหลังผู้นำบ้านนั้นเมืองนี้บ้าง หรือคนอื่นเขาไม่เห็นตีฆ้องร้องป่าวเหมือนกับผู้นำไทยเป็นอย่างนั้นไปเสียอีก
กับภาพข่าวที่ออกมา บางคนตั้งประเด็นดูถูกดูแคลน พล.อ.ประยุทธ์ที่ “ไม่อินเตอร์” พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง เย้ยหยันเป็น “เยสแมน” ตัวจริงเพราะพูดเป็นแต่คำว่า “เยส”
ท่องจำคำว่าเหยียด แต่กลับหยามหมิ่นเสียดสีแดกดันกันเอิ๊กอ๊าก เฮฮา ลืมเสียสิ้นถึงความเจ็บปวดรวดร้าว เจ็บช้ำ แต่เมื่อครั้งนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกระแนะกระแหนะการใช้ภาษาอังกฤษของนายกรัฐมนตรีหญิงฝ่ายตัวเอง
บางคนก็เย้ยหยันด้วยการจับประเด็นภาพถ่ายผู้นำของทั้งสองประเทศซึ่งปรากฏ พล.อ.ประยุทธ์และภริยา ยืนอยู่นอกพรมแดง ในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐและภริยายืนอยู่บนพรมแดง อย่างไรก็ตาม จะว่าไปไม่ได้ต่างไปจากภาพผู้นำเกาหลีใต้กับประธานาธิบดีทรัมป์สักกี่มากน้อย ที่ฝ่ายแรกยืนอยู่บนพรมแดงด้วยเท้าเพียงข้างเดียว หรือภาพบางมุมก็ยืนอยู่นอกพรมแดงเช่นกัน
ไม่รู้ว่าสื่อมวลชน นักวิชาการเกาหลีใต้จับเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันหรือเปล่า
สำหรับนักการเมืองนะหรือ ส่วนใหญ่นอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แต่พอได้ยิน พล.อ.ประยุทธ์ ไปให้คำมั่นสัญญาว่าจะประกาศวันเลือกตั้งในปี 2561 อย่างแน่นอน
เท่านั้นเอง ราวกับได้ยินเสียงเคาะกะลา
ออกมาเรียกร้องต้องการเลือกตั้งกันเอิกเกริกครึกโครม กระเหี้ยนกระหือที่จะลงสนามการเมือง ไม่แยแสสนใจเลยว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ก็ดี กฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ไปแล้วก็ดี หรือที่กำลังตั้งท่ายกร่างกันอย่างขะมักเขม้นอยู่ในเวลานี้ มิได้มีเนื้อหาสาระ อุดมการณ์ เป้าหมาย สอดรับกับระบอบการปกครองประชาธิปไตยแท้จริงแต่อย่างใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากได้พิจารณาถึงเถยจิตของผู้คนซึ่งอยากเสวยสุขเสพอำนาจทางการเมือง ด้วยวิถีทางนอกระบอบประชาธิปไตย ทั้งหัวหงอกหัวดำแต่ละคนต่างพยายามผลักดันที่จะสืบสานอำนาจคณะรัฐประหาร 2557 ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน
ไม่มีรัฐประหาร มีหรือที่คนเหล่านี้จะเสวยสุขเสพอำนาจเช่นปัจจุบันได้
แต่ก็หาได้มีนักการเมืองคนใดสำนึกสำเหนียกเลยไม่ ต่างเรียกร้องต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วทั้งสิ้น ไม่มีใครแยแสสนใจว่าเนื้อหาสาระ กติกาการเลือกตั้งจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อย่างไร
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ไม่นานมานี้เอง บางพรรคการเมืองเคยอ้างหลักการประชาธิปไตยบอยคอตการเลือกตั้งมาแล้วเลย แต่คราวนี้กลับดูเหมือนจะแบะท่าพร้อมสมานฉันท์กับระบอบการปกครองอะไรก็ได้ ใครจะสืบสานอำนาจ เหาะเหินเดินอากาศลงมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ช่าง ขอให้ได้เลือกตั้งเท่านั้นเป็นพอ
มิพักพูดถึงพรรคการเมืองของคนบางตระกูล ซึ่งสองพี่น้องกำลังระหกระเหเร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศ ปล่อยให้ลูกพรรคติดคุกติดตะรางด้วยข้อหาทุจริตคอร์รัปชันคนแล้วคนเล่า แม้จะเพิ่งถูกคณะรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลตัวเองมาไม่นาน แต่ก็อย่าได้หวังเลยว่า นักการเมืองในพรรค ดังกล่าวนี้ จะมีความกล้าหาญชาญชัยเพียงพอที่จะปฏิเสธร่วมสังฆกรรมกับระบอบการปกครองวิปริตพิสดาร ไม่เข้าไปข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับการหาบหามนักรัฐประหารสืบทอดอำนาจ คสช. ไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อม
ในเมื่อนักการเมืองยังคำนึงถึงแต่เพียงการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น โดยไม่แยแสสนใจกับเนื้อหาสาระ หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยอมรับได้กับประชาธิปไตยครึ่งใบหรือเสี้ยวใบเสียแล้ว ก็ต้องถือเป็นเคราะห์หามยามร้ายของประเทศชาติ ประชาชนที่ได้แต่แหงนถ่อรอคอยประชาธิปไตยกันไป
ขณะเดียวกัน ตราบเท่าที่ประชาชนมิได้ตระหนักว่า ตัวเองเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง เที่ยวยกไปประเคนให้นักการเมืองบ้าง นักรัฐประหารบ้าง
หรือมัวแต่คิดหวังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยดาฟ้าดิน แทนที่จะเชื่อมั่นในพลังประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแล้วละก็
จะเรียกร้องประชาธิปไตยไปทำไมให้ถูกจับกุมคุมขังสูญสิ้นอิสรภาพ สูญเสียอนาคต บาดเจ็บล้มตายกัน ตามประสายถากรรม
และรัฐประหารที่ผ่านมา ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน….