บทความประจำเดือนที่แล้วผมชี้ให้เห็นปัญหาความเชื่อมั่นทั้งต่อตัวผู้นำและระบอบว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่กำลังพาประเทศไปสู่ความเป็น ‘รัฐล้มเหลว’
เหตุแผ่นดินไหวที่พม่า แต่ส่งผลกระทบตึก สตง. ถล่มในไทย เป็นสถิติโลกที่ไม่น่าจดจำสองข้อคือ การเป็นตึกสูงที่สุดที่ถล่มเพราะแผ่นดินไหวและการเป็นตึกสูงที่อยู่ห่างไกลจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุดที่ถล่ม
บวกกับเหตุแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศทั่วโลก โดยไทยถูกเรียกเก็บในอัตราสูงถึง 37%
ทั้งท่าทีการแสดงออก การแสดงความเห็น และการบัญชาการสถานการณ์ในสองวิกฤตใหญ่ล่าสุดดังกล่าวของนายกฯ แพทองธาร ตลอดจนความสับสนอลหม่านของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและระบบบริหารจัดการในช่วงแรกๆ ยิ่งตอกย้ำภาพ ‘ผู้นำกำมะลอ’ และ ‘ระบอบอุปโลกน์’
อีกกว่าสองปีจะครบวาระเลือกตั้งใหม่ ภาพรวมเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทยมีแววว่าจะอยู่ในอาการโคม่า ระหว่างทางถ้าโชคดีอาการอาจจะกระเตื้องให้พอมีความหวังว่าสักวันจะออกจากห้องไอซียูมาพักฟื้นในห้องปกติ
ถ้าโชคร้ายเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดฝันขึ้นหรือรัฐบาลแพทองธารยังขยันโชว์ความด้อยประสิทธิภาพในการจัดการปัญหา เราคงได้แต่สวดมนต์ภาวนาให้หมดวาระพ้นไปเร็วๆ เพื่อรอหัวหน้าทีมและคณะแพทย์ชุดใหม่มารักษาแทน
แต่แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นรัฐบาลชุดใหม่และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตราบใดที่ปัญหาโครงสร้างอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไม่ถูกผ่าตัดยกเครื่องใหม่ อาการป่วยไข้ของ ‘นายไทย’ จะยังคงทรงๆ ทรุดๆ ขึ้นอยู่กับความกรุณาปรานีของผู้ที่ทำตัวเป็นเจ้าของโรงพยาบาลว่าจะอนุมัติให้รักษาด้วยยาเกรดใดและหมอคนไหน แม้หมอบางคนจะเชี่ยวชาญและคนไข้ต้องการให้รักษา แต่ถ้าผู้ทำตัวเป็นเจ้าของโรงพยาบาลไม่ชอบหน้าก็ใช้อำนาจที่มีอยู่ขวางทางได้
สร้าง new S-curve ทางรอดจากห้องไอซียู
แล้วเราจะพา ‘นายไทย’ ออกจากห้องไอซียูสู่ห้องปกติ พักฟื้นจนแข็งแรงและวิ่งฉิวได้อย่างไร
ผมไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์หรือนักรัฐศาสตร์ เป็นเพียงสื่อมวลชนที่เคยผ่านวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจร่วมสมัยมาหลายระลอกบวกกับความสนใจส่วนตัวที่ชอบอ่านประวัติศาสตร์ทางการเมืองในช่วงที่เราเกิดไม่ทันหรือโตไม่ทัน จึงขอแลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นกับทุกท่านที่อ่านบทความนี้
ในทางธุรกิจและอุตสาหกรรมมีคำหนึ่งที่สำคัญสำหรับการพาธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ ก้าวกระโดดต่อไป หลังจากที่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ เริ่มมีแววหยุดนิ่งหรือถึงทางตัน หากไม่สามารถสร้าง new S-curve ได้ ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ อาจเริ่มนับถอยหลังเป็นพระอาทิตย์ตกดิน
ในทางการเมืองพูดกันหนาหูว่าสิบปีที่ผ่านมา (นับจากหลังรัฐประหาร 2557) ประเทศเราอยู่ใน ‘ทศวรรษที่สูญหาย’ ความเจริญก้าวหน้าทุกด้านไม่สอดคล้องกับศักยภาพประเทศจนทำให้ตกอยู่ในสถานะ ‘คนป่วยแห่งเอเชีย’
รากเหง้าของปัญหานี้คือรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ปีศาจ คสช. และองคาพยพเขียนไว้เพื่อลดทอนอำนาจประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกันกลับเพิ่มอำนาจให้กับกลไกและหรือองค์กรที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน เพราะชนชั้นนำฝ่ายขวาไม่เคยเชื่อและศรัทธาในอำนาจของประชาชน หลักฐานล่าสุดที่ยืนยันความคิดนี้คือปฏิบัติการไอโอของกองทัพที่ถูกตีแผ่ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดย สส.ชยพล สท้อนดี พรรคประชาชน
ข้อมูลจากปฏิบัติการไอโอของกองทัพแสดงให้เห็นเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดเจน โดยเชื่อว่ากองทัพยังจำเป็นต้องแทรกแซงการเมือง ทำตัวเป็นรัฐพันลึกในนามของผู้รักชาติมากกว่าใคร
นอกจากรัฐพันลึกในรูปแบบปฏิบัติการไอโอ รัฐธรรมนูญ 2560 ยังสร้างเครือข่ายรัฐพันลึกเพื่อกำกับ ถ่วงดุล ลดทอนอำนาจ และจัดการกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หากชนชั้นนำฝ่ายขวาเห็นว่าเป็นภัยคุกคามในทางใดทางหนึ่ง
การรื้อทิ้งรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งไม่ต่างอะไรกับรัฐธรรมนูญปีศาจจึงเป็นทางออกทางเดียวที่จะพา ‘นายไทย’ ออกจากห้องไอซียู พักฟื้นในห้องปกติจนแข็งแรงพอเพื่อสร้าง new S-curve ให้ประเทศ
หากไม่ผ่าตัดโครงสร้างอำนาจด้วยการรื้อทิ้งรัฐธรรมนูญปีศาจ เพื่อพากองทัพออกจากการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปการศึกษา ขจัดคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ต่อให้มีวิสัยทัศน์ค้นหาอุตสาหกรรมใหม่ ไม่ว่าจะเทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ อาหาร หรือการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ ที่มั่นใจว่าไทยเชี่ยวชาญและมีจุดแข็งที่แตกต่าง วิสัยทัศน์เหล่านี้ก็เป็นได้เพียงแค่ยาบำรุงกระตุ้นให้อาการป่วยทุเลาชั่วคราว รากเหง้าต้นเหตุอาการป่วยจะยังคงอยู่เพื่อรอวันสำแดงฤทธิ์อีกเป็นระยะ
ย้อนรอย new S-curve 1-3
สำหรับผม การรื้อทิ้งรัฐธรรมนูญปีศาจ สร้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพื่อจัดวางโครงสร้างอำนาจในการกำกับดูแลประเทศเสียใหม่ให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริงคือ new S-curve ที่ 4 ของประเทศนี้
การสร้าง new S-curve ในทางการเมืองเป็นเรื่องยากเสมอ เพราะต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้าน แต่ด้านที่สำคัญสุดคือ ‘เจตจำนงทางการเมือง’ ที่มุ่งมั่นเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ละเลยคนส่วนน้อย
ในอดีตที่ผ่านมา (หลังปี 2475) ไม่มีงานวิชาการใดๆ อ้างอิง เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ผมมองว่าประเทศเราเคยสร้าง new S-curve มาแล้วสามครั้ง
ครั้งที่ 1 ก็คือยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ช่วงพีกของ new S-curve เส้นนี้คือช่วงจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเกิดการวางรากฐานใหม่ให้ประเทศ ภายใต้ระบอบใหม่หลายประการ โดยเฉพาะคุณค่าความหมายของคำว่า ‘ชาติ’
เส้น S ครั้งที่หนึ่งองศาอาจไม่ตั้งชันนัก แต่ลากนิ่งๆ เนิบๆ ยาวนานมาปักหัวลงในช่วงเหตุการณ์ตุลาคม 2519
ครั้งที่ 2 คือยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะเป็นเพียงประชาธิปไตยครึ่งใบตามบริบทการเมืองสมัยนั้น แต่นี่คือการเริ่มเปลี่ยนรากฐานทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ จากประเทศเกษตรกรรมนำ เป็นอุตสาหกรรมนำ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญหลายเรื่องถูกก่อร่างอย่างแข็งแรง
บวกกับการค้นพบก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลในอ่าวไทย กลายเป็นอีกหนึ่งสปริงบอร์ดส่งต่อในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เข้ามาต่อเส้น S ขาขึ้นให้องศาตั้งมากขึ้นด้วยนโยบายแปรสนามรบเป็นสนามการค้า เศรษฐกิจยุคนี้เฟื่องฟูสุดๆ จีดีพีโตระดับเลขสองหลัก ไทยถูกกล่าวขานคาดหมายว่าจะเป็น ‘เสือตัวที่ 5’ ของเอเชีย
ก่อนเส้น S จะปักหัวลง เพราะการรัฐประหาร 2534
ครั้งที่ 3 จุดเริ่มต้นจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 (บรรหาร ศิลปอาชาคือนายกฯ ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดัน) คนที่ได้อานิสงส์มากสุดจากรัฐธรรมนูญที่ถือกันว่ามีความเป็นประชาธิปไตยสูงสุดลำดับต้นๆ ที่ไทยเคยมีมาคือทักษิณ ชินวัตรและพรรคไทยรักไทย
รัฐบาลไทยรักไทยมีเสถียรภาพ เพราะกลไกในรัฐธรรมนูญออกแบบให้มีรัฐบาลที่เข้มแข็งและการเมืองในระบบรัฐสภาเข้มแข็ง การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลจึงมีประสิทธิภาพ เมื่อบวกเข้ากับการมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจและแม่นยำ
‘นายไทย’ ในช่วงรัฐบาลไทยรักไทยภายใต้นายกฯ ทักษิณถูกพูดถึงอีกครั้งว่าจะเป็นมากกว่า ‘เสือตัวที่ 5’ ของเอเชีย แต่คือผู้นำอาเซียนและผู้เล่นที่แม้ตัวไม่ใหญ่แต่มีบทบาทสำคัญในเวทีระดับโลก
ก่อนเส้น S จะปักหัวลงหลังประหาร 2549 และดำดิ่งสุดๆ หลังรัฐประหาร 2557 กระทั่งทุกวันนี้
โอกาสและความเป็นไปได้ครั้งที่ 4
มาถึงคำถามสำคัญ ถ้ารู้ว่าต้องสร้าง new S-curve ที่ 4 เราจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร เพราะหลังเลือกตั้ง 2566 เจตจำนงทางการเมืองของพรรคและนักการเมืองที่เคยมีประสบการณ์ร่วมสร้าง new S-curve ที่ 3 เช่น พรรคเพื่อไทย (ร่างใหม่จากไทยรักไทย) และทักษิณเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
ผมคิดว่า ‘เสียงจากประชาชน’ ส่วนใหญ่ของประเทศคือหัวใจสำคัญสุดในการแสดงเจตจำนงทางการเมือง ยิ่งเป็นส่วนใหญ่มากเท่าไหร่ยิ่งดีและถ้ายิ่งเป็นส่วนใหญ่จนเป็น ‘ฉันทมติ’ ของประเทศ แรงต้านทานจะอ่อนลงจนเกิดความยินยอมพร้อมใจจากทุกฝ่าย
หากไม่ทันในสมัยนี้ เลือกตั้งครั้งหน้า (2570) ประชาชนยิ่งต้องสำแดงพลังให้เกิดแลนด์สไลด์ เลือกพรรคที่มั่นใจว่ามีเจตจำนงมุ่งมั่นรื้อทิ้งรัฐธรรมนูญปีศาจ เพื่อสร้าง new S-curve ที่ 4
เว้นเสียแต่ว่ากลุ่มคนส่วนน้อยเหล่านั้น (แต่มีอำนาจ) จะกล้าหักดิบปิดประเทศ ไม่คบค้าสมาคมกับประชาคมโลก หรือฉีกตัวเองไปก่อตั้งกลุ่มใหม่ในนาม ‘กลุ่มประเทศอำนาจนิยม’ ขึ้นมาเป็นอีกกลุ่มหนึ่งในประชาคมโลก
ถ้าเป็นเช่นนั้นผมขอจบบทความนี้ด้วยคำกล่าวของนายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2483 ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ว่า “ผมขอยืนยันว่า ในชั่วชีวิตเรา บางทีลูกเราด้วย จะต้องรบกันไปอีก และแย่งกันในระบอบเก่ากับระบอบใหม่นี้”