นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เรื่อง
ช่วงใกล้เปิดเมือง ที่คนพูดกันน้อยคือขนาดของโรงเรียน
โรงเรียนระดับ 3,000 คนไม่น่าจะเหมาะสำหรับความปกติใหม่คือ new normal เราจะจัดชั้นเรียนให้เด็ก 3,000 คนนั่งห่างกัน 2 เมตรได้อย่างไร
ใครช่วยลองคำนวณดูว่าจะกินพื้นที่กี่ไร่
นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะยุบโรงเรียนขนาดใหญ่แล้วกระจายนักเรียนและครูออกไปตามโรงเรียนต่างๆ หรือสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดใดๆ
ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าเรามีอาคารราชการว่างๆ และพื้นที่สีเขียวในค่ายทหารต่างๆ มากมายทุกจังหวัด เคยมีการสำรวจอย่างจริงจังหรือไม่ว่ามีเท่าใด
จะเห็นว่าเพียงเริ่มต้นเราก็จะติดประโยค “ทำไม่ได้และไม่มีเงิน”
พัฒนาการของประเทศของเราติดอยู่ที่สองประโยคนี้มานานมาก นานจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานแล้วเรียบร้อย ทำไม่ได้และไม่มีเงิน ทั้งๆ ที่เราพินาศด้วยสงครามโลกครั้งที่สองมาพร้อมกันกับหลายๆ ประเทศ โดยที่เมื่อวันนั้นเรามีทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าหลายๆ ประเทศพัฒนาทุกวันนี้
เงินมี แต่ไม่รู้อยู่ไหน
หากเราให้นักเรียนนั่งติดกัน ห้องละ 40 คนเหมือนเดิม เราก็เตรียมตัวพบโรคระบาดระลอกใหม่ ไม่โคโรนาก็ไฮเนเก้น
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ขัดขวางพัฒนาการ กล่าวคือหลายคนจินตนาการว่าโรคระบาดจะสงบ ในขณะที่แพทย์กลุ่มหนึ่งเขียนเสมอว่าจะไม่มีวันสงบจนกว่าจะเกิดภูมิต้านทานหมู่คือ herd immunity หรือมีวัคซีน
หลายคนฝันหวานว่าจะมีวัคซีนในเร็ววัน ในขณะที่แพทย์กลุ่มหนึ่งพยายามบอกว่าอย่าคาดหวัง เพราะไม่น่าจะมีในเร็ววัน ถึงจะมีก็ยังมีปัญหาว่าเราผลิตเองมิได้ ต้องรอการจัดสรรปันส่วนจากประเทศผู้ผลิต คิดว่าเราจะอยู่ที่อันดับเท่าใด และเรามีความสามารถในการเจรจามากเพียงใด
อย่าลืมเรื่องการสร้างโรงงานวัคซีนยังคาราคาซังอยู่ที่กระทรวงฯ เป็นสิบปี
จินตนาการและฝันหวานเป็นอุปสรรคอีกสองชิ้นที่ทำให้เราพร้อมจะไม่ทำอะไร และรอ รอไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญหาใหม่จะเกิด
ใช้คำว่า ‘จินตนาการ’ ที่ตรงนี้ไม่ถูก จินตนาการหรือ imagination เป็นคำที่ดี ควรเก็บไว้ใช้กับเรื่องดีๆ คำที่ถูกต้องมากกว่าคือ ‘แฟนตาซี’ (fantasy) เป็นกลไกทางจิตที่ช่วยให้คนเราสบายใจ ซึ่งก็ดีถ้าใช้ชั่วคราว แต่พอใช้ไปนานๆ ก็จะติดไม่ทำอะไรอีกเช่นกัน ส่วนคำว่าฝันหวานหรือฝันกลางวันมาจากคำว่า day-dreaming เป็นกลไกทางจิตอีกเช่นเดียวกัน
กลไกเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเรารู้ว่าไวรัสนั้นอันตราย เราพยายามป้องกันตัวด้วยกลไกเหล่านี้ให้รู้สึกว่ามันไม่อันตราย ทั้งที่ในความเป็นจริงมันอันตราย
ระยะห่างทางร่างกายหรือ physical distance ถูกพิสูจน์ว่าได้ผล และอาจจะได้ผลเท่ากับหรือมากกว่าหน้ากากอนามัย แต่เชื่อได้ว่าล้างมือบ่อยๆ ได้ผลที่สุด เพียงสามประการนี้เราได้เตรียมความพร้อมโรงเรียนรับเปิดเทอมอย่างไร นั่นคือ ล้างมือ หน้ากากอนามัย และนั่งห่างกัน
หากซื่อสัตย์ต่อตนเองจะพบว่าเราทำไม่ได้ในการศึกษาที่เป็นอยู่ นั่นคือ ห้องละ 40 คน วันละ 8 ชั่วโมง ฟัง เขียน ท่อง ติว สอบ แล้วจบ
แต่ทำได้เมื่อใช้โอกาสนี้ปฏิรูปการศึกษา ห้องละ 20 คน ผลัดกันมาเรียน แบ่งกลุ่มทำงาน เรียนรู้กลางแจ้ง เขียนรายงานและประชุมไอที กลับมาพบกันเป็นครั้งๆ ลดหลักสูตรพื้นฐานลง ใช้โจทย์ปัญหาของชุมชนเป็นฐาน
หากทำได้ จะได้ทั้งการศึกษาใหม่และการเตรียมพร้อมรับมือการติดเชื้อระลอกใหม่
ทำไม่ได้และไม่มีเงิน เรื่องจะวนไปวนมา
เราไม่สามารถทำได้หากอำนาจการจัดการศึกษารวมศูนย์ แต่ทำได้เมื่อโอนอำนาจการศึกษาให้ส่วนท้องถิ่นดูแล เพราะส่วนท้องถิ่นเท่านั้นที่รู้จักนักเรียนของตนเอง รู้จักนิสัยพ่อแม่ของบ้านเรา และรู้จักสถานที่ ความช่วยเหลือ รวมทั้งทรัพยากรของแต่ละชุมชน
บนเกาะและบนดอย ย่อมไม่เหมือนกัน ส่วนกลางไม่มีวันรู้เรื่อง เป็นความจริงที่ว่าท่านสั่งเรียนทางไกลหรือเรียนออนไลน์จากห้องแอร์ในกรุงเทพฯ
ในขณะที่ลูกท่านเรียนเมืองนอก ก็จริงอีก
แต่ว่าส่วนท้องถิ่นไม่มีปัญญา “ทำเป็นแค่สร้างถนนและสำนักงาน อบต. สวยๆ ก่อกำแพง ทำป้ายหินหน้าสำนักงาน โรงเรียน และโรงพยาบาล”
ซึ่งจริง
พอคิดเช่นนี้เราก็จะไม่กระจายอำนาจแล้วดึงทุกอย่างรวมทั้งเงินกลับไปที่ส่วนกลางอีก
เด็กไม่มีวันเก่งแต่เกิด เขาต้องล้มลุกคลุกคลาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้าราชการส่วนท้องถิ่น และมาเฟียส่วนท้องถิ่นก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องเริ่มต้นดูแลตนเอง แล้วล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน โดยมีประชาชนในท้องถิ่นซึ่งอยู่ใกล้เฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด จะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ หรือเจ้าพ่อก็ต้องเอาใจประชาชนส่วนท้องถิ่นทั้งนั้น ที่สำคัญคือ ใกล้ตา ใกล้ใจ และใกล้ตีน
เราลดขนาดโรงเรียน 3,000 คนไม่ได้แน่นอน หากไม่มีการแก้ไขกฎระเบียบ ประเด็นคือระเบียบมีไว้ให้แก้
สมมติติดขัดที่รัฐธรรมนูญ แก้รัฐธรรมนูญ
ไม่รื้อถอนตอนนี้ แล้วจะรื้อถอนเมื่อไร