อ่าน โลกในมือนักอ่าน A History of Reading ตอนที่ 1 ได้ที่นี่
“ฉันคิดว่าเราควรอ่านแต่หนังสือที่กัดและต่อยเรา หากหนังสือเล่มที่อ่านไม่ได้ปลุกให้เราตื่นเหมือนฟาดเข้าที่กะโหลกแรงๆ ทำไมจะต้องไปเสียเวลาอ่านตั้งแต่แรกด้วย” ฟรันซ์ คาฟคาเขียนไว้ “สิ่งที่เราต้องการคือหนังสือที่ทุบตีเราดั่งเคราะห์ร้ายที่เจ็บปวดที่สุด เหมือนความตายของใครบางคนที่เรารักเสียยิ่งกว่าตัวเราเอง ทำให้เรารู้สึกราวกับถูกขับไสไล่ส่งให้ไปอยู่ในป่าห่างไกลมนุษย์หน้าไหน เหมือนการฆ่าตัวตาย หนังสือต้องเป็นเหมือนขวานที่ใช้จามทะเลน้ำแข็งในตัวเรา นั่นคือสิ่งที่ฉันเชื่อ”
อัลเบร์โต มังเกล ผู้เขียนหนังสือ ‘โลกในมือนักอ่าน’ ได้ยกข้อความของคาฟคามาวางไว้ในย่อหน้าสุดท้ายของบท ‘หน้าแรกที่หายไป’ นอกเหนือจากที่กล่าวถึงหนังสือเล่มสำคัญของคาฟคาคือ Metamorphosis ซึ่งเล่าเรื่องชายที่ตื่นเช้ามาเป็นแมลงสาบว่าเป็นหนังสือที่ได้รับการตีความทั้งทางจิตวิทยา การเมือง สังคม ด้วยความหมายเชิงอุปมาอย่างมากมาย

บทถัดมา ‘เมื่ออ่านภาพ’ ว่าด้วยการอ่านภาพ มังเกลเขียนว่า “ผมพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นที่สนามบินนาริตะ และลองแต่งคำบรรยายให้ตัวละครในเรื่องซึ่งพูดกันด้วยตัวอักษรที่ผมไม่เคยเรียนมาก่อน” แล้วตามว่า “ถึงผมจะอ่านคำบรรยายภาพไม่ออก ผมก็มักหาความหมายให้มันได้ แม้อาจจะไม่ตรงกับที่อธิบายไว้ในตัวบทเสมอไป”
จากนั้นเขาพาเราไปรู้จักคัมภีร์ไบเบิลที่เขียนขึ้นด้วยรูปภาพเท่านั้น “สิ่งใดที่คนธรรมดาไม่อาจจะเข้าใจได้จากการอ่านคัมภีร์ เขาอาจศึกษาได้ด้วยการพิจารณารูปภาพ” เป็นสมัชชานักบวชแห่งอาร์รัสประกาศไว้เมื่อ ค.ศ. 1025
แกะแทนพระคริสต์ มงกุฎหนามแทนพระทรมาน พิราบแทนพระจิต ท่านที่เคยไปเกนต์จะต้องไม่พลาดรูปแกะที่ชำระล้างบาปให้แก่โลก ปรากฏในฉากประดับแท่นบูชาที่เกนต์ (ผมเคยไปครั้งหนึ่ง ไม่ควรพลาดหากได้ผ่านไปเบลเยียม) ความเป็นสากลของรูปภาพและสัญลักษณ์ต่างๆ เหล่านี้นำไปสู่การศึกษาที่พบว่า “มีการยกข้อความจากพันธสัญญาเดิมมาไว้ในพันธสัญญาใหม่ถึง 275 ครั้ง รวมทั้งการอ้างอิงที่เฉพาะเจาะจงอีก 235 ครั้ง” เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าการอ่านเป็นสากลและสิ่งที่อ่านเป็นสากลเสมอไม่ว่าเราจะอ่านอะไรก็ตาม
คัมภีร์ไบเบิลที่เขียนขึ้นด้วยรูปภาพเท่านั้นที่มีชื่อเสียงมีชื่อว่า พระคัมภีร์คนยากแห่งไฮเดลแบร์กจากศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นหนังสือเล่มหนาใหญ่โตถูกล่ามโซ่เอาไว้กับแท่นอ่านพระคัมภีร์และเปิดค้างไว้ที่หน้าสำหรับวันนั้นๆ หนังสือลักษณะนี้มีรูปภาพเป็นส่วนใหญ่และคำบรรยายน้อยมาก เหมาะแก่ผู้ไม่รู้หนังสือจึงเรียกว่าพระคัมภีร์คนยากแม้ว่าหลายเล่มจะจัดพิมพ์อย่างหรูหรางามวิจิตรก็ตาม
บทถัดมา ‘เมื่อฟังคนอื่นอ่าน’ น่าสนใจมาก มีธรรมเนียมการอ่านให้คนอื่นฟังมานานมากแล้ว ปี 1865 ที่คิวบา ผู้ผลิตซิการ์และกวีนาม ซาตูร์นิโน มาร์ตีเนซ ทำหนังสือพิมพ์ La Aurora สำหรับคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดยได้รับการสนับสนุนจากปัญญาชนคิวบาหลายคน แต่เนื่องจากคนงานไม่รู้หนังสือ เขาจึงริเริ่มการอ่านหนังสือพิมพ์ในที่ทำงานเมื่อวันที่ 7 มกราคม ปี 1866 รวมทั้งจัดให้มีนักอ่าน เรียกว่า ‘เลกตอร์’ ในโรงงานของเขาเองด้วย หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ภาพเลกตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏในนิตยสาร Practical Magazine นิวยอร์ก ปี 1873 เอาไว้ในหน้า 194 ด้วย

ถัดจากการอ่านในโรงงานและโรงเรียน ก็มาถึงธรรมเนียมปฏิบัติการอ่านให้สตรีฟังในยุคสมัยที่สตรีมิได้รับการศึกษาและอ่านหนังสือไม่ได้ ไปจนถึงห้ามอ่านหนังสือ อย่างไรก็ตามการฟังคนอื่นอ่านถูกวิจารณ์ว่าเป็นการยินยอมให้คนอื่นมากำหนดจังหวะจะโคนของข่าวสารหรือสาระที่ได้รับ นับเป็นการสูญเสียเสรีภาพแบบหนึ่ง
จากนั้นมังเกลเล่าเรื่องการผลิตหนังสือในบท ‘รูปร่างของหนังสือ’ จากแผ่นดินเหนียวมาจนถึงม้วนกระดาษปาปิรัส ทั้งสองอย่างมีปัญหาเรื่องการจัดเก็บและการทำดัชนีค้นเอกสาร นำไปสู่การทำหนังสือจากแผ่นหนังแต่ก็ลงทุนสูงและมีขนาดใหญ่โต ปี 1588 วิศวกรชาวอิตาลี อากอสตีโน ราเมลลี ได้บรรยายถึง ‘โต๊ะอ่านหนังสือหมุนได้’ เป็นประดิษฐกรรมอันชาญฉลาดที่ช่วยให้คนเราอ่านหนังสือได้สะดวกขึ้น ดังรูปที่แสดงให้เห็นในหน้า 223

แล้วมาถึงอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราวันนี้คงนึกไม่ถึง หนังสือเคยเป็นของสูง แพงและหาซื้อยาก จนกระทั่งวันหนึ่ง อัลเลน เลน ไปพักกับ อกาธา คริสตี ที่เดวอน (ผมเคยไปนอนค้างที่ Torquay เมืองบ้านเกิดของอกาธาที่เดวอนเช่นกัน สวยมาก) เขาระลึกได้ว่าที่ขาดหายไปคือหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กคุณภาพดีราคาถูกสำหรับที่ผู้คนทั่วไปสามารถซื้อหามาได้ง่ายๆ แนวคิดนี้ได้รับการต่อต้านจากพ่อค้าหนังสือจำนวนมาก แต่เลนได้ลิขสิทธิ์หนังสือมาบ้างแล้ว หนึ่งในนั้นคือ The Mysterious Affair at Styles (คือพฤติกรรมตอนแรกของนักสืบเบลเยียม แอร์กูล ปัวโรต์ เมื่อปี 1920) เขาตั้งชื่อชุดหนังสือราคาถูกที่จะทำขายนี้ว่า เพนกวิน
เพนกวินปล่อยขายหนังสือ 10 เล่มแรกในราคาเล่มละหกเพนนีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ปี 1935 ซึ่งจุดคุ้มทุนจะอยู่ที่การขายให้ได้ 17,000 เล่ม แต่เพนกวินขายได้เพียง 7,000 เล่มเท่านั้น นั่นนำไปสู่แผนสองที่คาดไม่ถึงคือการวางหนังสือของเพนกวินในร้านชำซึ่งได้รับการต่อต้านอีกเช่นกัน จนกระทั่งนางเพรสคอตต์ ภรรยาของนายคลิฟฟอร์ด เพรสคอร์ตเจ้าของธุรกิจร้านชำขนาดใหญ่ในอังกฤษเสนอต่อสามีที่คัดค้านในตอนแรกว่า “ทำไมเราจะซื้อหนังสือในร้านชำเหมือนซื้อถุงเท้าหรือชาไม่ได้”
พวกเราวันนี้รู้ดีว่าเพนกวินขายหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กได้จำนวนมหาศาลในเวลาต่อมา
บท ‘เมื่ออ่านตามลำพัง’ ใครจะคาดคิดว่าเรื่องการอ่านหนังสือตามลำพังบนเตียงนอนในยามค่ำคืนจะมีเรื่องราวความเป็นมาให้มังเกลเขียนหนังสือได้อีก 1 บท ห้องนอนกลายเป็นที่อ่านหนังสือที่วิเศษสุดไปตั้งแต่เมื่อไรในตอนแรกๆ และทำได้อย่างไรในเวลาต่อมา จากของสูงในตอนแรกมาถึงเตียงนอนของเจ้านาย เชื้อกษัตริย์ และนักบวชได้อย่างไร
บทความนี้อาจจะทำได้เพียงแค่อ่านเอาสนุกหากผมจะไม่พูดถึงหนังสือสี่เล่มสุดท้ายของวาดหวังหนังสือ ผมเขียนถึงสองเล่มแรก แม่หมิมไปไหน? และ ตัวไหนไม่มีหัว ไปแล้วใน WAY ตามด้วยอีกสองเล่มในคอลัมน์ เสาร์อีกแล้ว บนเพจของตัวเองคือ แค็ก! แค็ก! มังกรไฟ และ เด็กๆ มีความฝัน
สองเรื่องแรกต้องการชี้ประเด็นที่ ‘ช่องว่าง (gap)’ ของนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กซึ่งเป็นคุณค่าหลักของหนังสือ เป็นพื้นที่หรือช่องว่างที่เด็กๆ ได้เติมความคิด ความเห็น คำวิพากษ์และจินตนาการเอาเองตามใจชอบ ซึ่งดีต่อพัฒนาการเด็กมาก เล่มที่สามตั้งใจชี้ให้เห็นขนบของนิทานประกอบภาพไทยที่มักอ้างอิงการทำความดีอะไรบางอย่าง ความดีที่น่าส่งเสริมคือการช่วยเหลือคนอื่น เล่มที่สี่ตั้งใจชี้ให้เห็นกลไกของนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กที่เรียกว่าการอ่านแบบ ‘hermeneutic approach’ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการทำงานของนิทานภาพกลุ่มที่มีภาพลายตาและยุ่งเหยิง

เรามาดูสี่เล่มสุดท้าย คือ เสียงร้องของผองนก, เป็ดน้อย, จ จิตร และ 10 ราษฎร ซึ่งน่าจะเป็นหนังสือที่ก่อความไม่สบายใจให้แก่รัฐด้วยมีเนื้อเรื่องพาดพิงการเมืองเวลานี้ อย่างไรก็ตามทั้งสี่เล่มก็เป็นไปตามขนบของประวัติศาสตร์แห่งการอ่านที่เล่ามาครึ่งเล่ม นั่นคือ ตีหัวผู้อ่านดังที่คาฟคาว่า มีรูปภาพซึ่งไม่มีคำบรรยาย (nonfiction picture books) ดังที่เห็นใน 10 ราษฎร มีสัญลักษณ์สากล เช่น เป็ดน้อยและผองนก มีประเด็นเรื่องใครอ่านที่รัฐกังวล จะให้เด็กอ่านเองคิดเองหรือผู้ใหญ่อ่านให้ฟังแล้วครอบงำเด็ก ซึ่งเดาว่า จ จิตร น่าจะอ่อนไหวเป็นพิเศษ สุดท้ายคือประเด็นการผลิตนิทานสำหรับเด็กคุณภาพสูงราคาถูกแบบเพนกวิน ซึ่งมีรายงานข่าวว่าขายได้ 17,000 เล่มในการพิมพ์ครั้งที่ 1 เท่าที่เพนกวินต้องการเลยทีเดียว
แล้วก็ประเด็นสุดท้าย นอนอ่านในห้องนอนคนเดียวได้หรือไม่?
โดยส่วนตัวผมไม่รู้สึกว่าสมัยนี้จะมีผู้ใหญ่ที่ไหนอ่านหนังสือให้เด็กยุคอัลฟาฟังแล้วคาดหวังว่าจะครอบงำเด็กได้ ถ้าคิดทำเช่นนั้นคุณก็ล้มเหลวตั้งแต่ต้นมือแล้ว