นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เรื่อง
เอ เจ โครนินมิใช่นักเขียนที่มีฝีมืออะไรมากมายนัก เป็นที่วิพากษ์ในภายหลังว่าหนังสือเดอะซิตาเดลนี้ขายดีเพราะ 1.ออกมาถูกเวลา 2.โครนินเล่าเรื่องความผิดพลาดในการรักษาผู้ป่วยและระบบการแพทย์ให้เข้าใจง่าย 3.ฝีมือการโหมโรงของผู้พิมพ์และจำหน่ายคือ Victor Gollancz ซึ่งนิยมซ้าย เขาได้ส่งหนังสือตัวอย่างไปให้สมาคมแพทย์ในอังกฤษมากกว่า 200 แห่งโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งแน่นอนว่าสร้างความเคลื่อนไหวได้สำเร็จแน่ๆ
โครนินนำเรื่องของตัวเองมาเขียนหลายจุด นอกจากการทำงานที่เหมืองถ่านหินช่วงหนึ่งแล้วยังมีเรื่องที่เขายุติอาชีพแพทย์ก่อนเวลานานมาก เหตุหนึ่งเป็นเพราะเขามีฐานะการเงินดีแล้วจากการเขียนหนังสือขายดีและมีการนำไปสร้างเป็นหนังประสบความสำเร็จติดๆ กัน อีกเหตุหนึ่งคือเพราะตัวเขาเองมิได้รักอาชีพแพทย์นี้เท่าไรนัก บ้างว่าเขาไม่รักอาชีพนี้เพราะเขาไม่เก่งพอแต่บ้างก็ว่าเพราะความฉ้อฉลในระบบที่ทำให้เขาอยู่ได้ไม่นาน
บทพูดของหมอแอนดรูว์ แมนสันในตอนจบของเดอะซิตาเดลต่อไปนี้นำมาจากหนังสือ ปราการอุดมคติ แปลจากฉบับสมบูรณ์โดย เจริญเกียรติ ธนสุขถาวร พ.ศ. 2558 มูลนิธิหนังสือเพื่อสังคม
“ไปที่จุดเริ่มต้น นึกถึงการฝึกฝนอบรมที่หมอได้รับแบบขาดตกบกพร่องอย่างน่าผิดหวัง เมื่อผมจบการศึกษา ผมเป็นภัยต่อสังคมมากกว่าอย่างอื่น ทั้งหมดที่ผมรู้คือชื่อโรคไม่กี่โรคและยาที่ผมควรให้เพื่อรักษาโรคนั้น” คำพูดนี้เท่ากับตีแสกหน้าสมาคมการแพทย์และประจานแพทยศาสตร์ศึกษาที่พวกเขารับผิดชอบอยู่ เป็นประโยคที่ยังคงมีมูลความจริงในหลายประเทศทุกวันนี้
“…ผมเรียนรู้สิ่งต่างๆ เองตั้งแต่นั้น แต่มีหมอสักกี่คนที่จะเรียนรู้อะไรนอกเหนือจากเรื่องพื้นฐานธรรมดาที่ได้จากการปฏิบัติงาน พวกเขาไม่มีเวลา คนที่น่าสงสารเหล่านี้ พวกเขาต้องวิ่งวุ่นขาแทบขวิด นั่นคือจุดที่ทำให้องค์กรของเราทั้งหมดเสื่อมโทรม…” คำพูดนี้ยังคงมีมูลความจริงในอีกหลายประเทศเช่นกัน
“…ควรมีชั้นเรียนระดับหลังปริญญาภาคบังคับ เพื่อขจัดความคิดสั่งจ่ายยาขวดแบบเก่า ให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีโอกาสศึกษา และร่วมมือกันในงานวิจัย แล้วความคิดแบบพาณิชย์นิยมนั้นเล่า การรักษาเพื่อมุ่งหาเงินแบบไร้ประโยชน์ การผ่าตัดโดยไม่จำเป็น ยาปลอมไร้คุณภาพที่ไม่บอกส่วนผสมจำนวนมากที่เราใช้ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปบ้างแล้วหรือ”
คำพูดนี้ยังส่งเสียงก้องมาถึงเวชปฏิบัติไม่จำเป็นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่
การสั่งจ่ายยาที่ไม่จำเป็น
การสั่งจ่ายยาภายใต้อิทธิพลหรือการโน้มน้าวของบริษัทยา
การส่งตรวจพิเศษหรือการผ่าตัดที่ได้รับส่วนแบ่งจากบริษัทขายเครื่องมือ
รวมทั้งการไม่ควบคุมเพดานการเบิกจ่ายของสวัสดิการข้าราชการซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ได้รับยาที่ไม่จำเป็นไปจำนวนมากกว่ามากตลอดมา
“ผู้คนในวงการวิชาชีพนี้มีความคิดคับแคบและหลงตัวเองมากเกินไป เราหยุดนิ่งในแง่ของโครงสร้าง เราไม่เคยคิดพัฒนาและเปลี่ยนแปลงระบบ เราบอกว่าจะทำโน่นทำนี่แต่เราไม่ทำ หลายปีมาแล้วที่เราพร่ำบ่นถึงสภาพการทำงานที่เหนื่อยยากของพยาบาลของเรา เงินเดือนอันน้อยนิดอย่างน่าเวทนาที่จ่ายให้พวกเธอ ใช่ไหมครับ พวกเธอยังคงทำงานหนัก” หากจะมีพยาบาลสักคนอ่านอยู่ เธอคงเป็นพยานได้ว่าที่โครนินเขียนเกี่ยวกับพยาบาลเมื่อ 90 ปีก่อนยังคงเป็นจริงวันนี้
จะเห็นได้ว่าโครนินมิได้พูดถึงหลักประกันสุขภาพเท่าไรนักนอกเหนือจากเรื่องการจ่ายล่วงหน้าเพื่อประกันสุขภาพที่เหมืองถ่านหินตอนกลางเรื่อง ที่เขาพูดมากกว่าเป็นเรื่องจริยธรรมและความล้าหลังของวงการแพทย์ ซึ่งจะว่าไปก็มีผลกระทบโดยตรงต่องบประมาณสุขภาพหากไม่จัดการให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ที่โครนินเน้นย้ำมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการแพทย์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ควรมีหลักฐานเชิงประจักษ์ และควรมีการศึกษาแพทย์ศาสตร์ต่อเนื่อง แพทย์ควรทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ลดช่องว่างระหว่างแพทย์ทั่วไปและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ และการแพทย์ไม่ควรเป็นไปเพื่อการค้า จะเห็นว่าทั้งหมดนี้คือรากฐานของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั่นเอง
โครนินเขียนหนังสือได้น่าอ่าน มีตัวละคร มีพัฒนาการของตัวละคร มีความขัดแย้ง และมีส่วนที่เป็นเมโลดราม่า แต่ทุกอย่างนั้นดำเนินไปตามแบบฉบับอย่างง่ายๆ เสมือนนักเขียนหน้าใหม่ หนังสือเดอะซิตาเดล รวมทั้งเล่มอื่นๆ ของเขาจึงอ่านง่ายแต่มิได้รับคำชื่นชมในแง่คุณค่าของงานวรรณกรรมเท่าไรนัก เป็นนวนิยายที่เรียบง่ายและธรรมดามากเสียจนเป็นที่กังขาว่ามีผลกระทบต่อระบบสุขภาพอังกฤษได้อย่างไร
เวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่คนอังกฤษได้ผ่านความทุกข์ถ้วนหน้าร่วมกัน รวมทั้งความทุกข์ทางการแพทย์ เมื่อพรรคแรงงานชนะการเลือกตั้งจึงไม่รีรอที่จะเริ่มต้นสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขึ้น คนสำคัญคือ Aneurin Bevan เป็นนักการเมืองที่มีบุคลิกน่านิยม เขาสามารถโน้มน้าวให้คลินิกแพทย์และทันตแพทย์ทั่วประเทศทำงานร่วมกับ NHS และก้าวข้ามการต่อต้านของสมาคมแพทย์อังกฤษได้สำเร็จ