วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
หลังจากที่องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำวินิจฉัยคำร้องกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 72 พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กรณีพรรคอนาคตใหม่ กู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191.2 ล้านบาท
และมีคำตัดสินให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารห้ามเล่นการเมืองเป็นเวลาสิบปี
ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตบางประการ
1. ผู้เขียนเชื่อว่าคนในประเทศส่วนใหญ่เป็นคนที่มีจิตใจเป็นธรรม ชอบอะไรแฟร์ๆ มีน้ำใจนักกีฬา แต่คำพิพากษาครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลสะเทือนให้กับคน 6 ล้านคนที่เลือกพรรคนี้เท่านั้น แต่คนจำนวนมากที่รักความยุติธรรมเริ่มรู้สึกว่า ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ได้สมคบคิดกัน เอาเปรียบคู่แข่งทางการเมืองมากเกินไปแล้ว ทำทุกอย่างเพื่อยึดอำนาจ อย่างไม่ละอายใจ
หากมองย้อนกลับไปในการเอาเปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมือง ตั้งแต่การเลือก ส.ว. 250 คน โดยผู้มีอำนาจไม่กี่คนเข้ามาเพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองของตัวเอง การมีวิธีการนับบัตรเลือกตั้งด้วยวิธีแปลกประหลาด จนทำให้ส.ส.บัญชีรายชื่อของฝ่ายตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญ โดยเฉพาะพรรคเล็กพรรคน้อยที่กลายเป็นส.ส.ได้อย่างน่าประหลาดใจ และสุดท้ายกวาดต้อนมาเป็นพรรคพวกตนเอง
2. พรรคส้มอาจทำผิดกฎหมายจริงด้วยความประมาท แต่ในความรู้สึกของคนทั่วไป หากมองด้วยใจเป็นธรรม ความผิดเพียงแค่กู้เงินหรือบริจาคเงิน ที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงตีความกันอยู่ มีความผิดร้ายแรงสูงสุดถึงขั้นยุบพรรคเลยหรือ และยังตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารถึง 10ปี ราวกับโทษประหารชีวิตในทางการเมือง
3. หลายคนที่เคยตั้งข้อสังเกต สงสัยว่าการตัดสินครั้งนี้มีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือไม่ เลยหมดความสงสัยว่า ความตั้งใจยุบพรรคส้มนี้มีมาตั้งแต่พรรคนี้ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย พลิกความคาดหมายของทุกฝ่าย กวาดเสียง ส.ส.ได้ร่วม 80 เสียงมีคะแนนเป็นอันดับสาม กลายเป็นพรรคคู่แข่งสำคัญที่นับวันจะเติบใหญ่มากขึ้น จึงจำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม
เริ่มต้นด้วยการทำให้หัวหน้าพรรคเจอข้อหาถือหุ้นสื่อ ทั้งๆ ที่บริษัทปิดกิจการไปแล้ว ทำให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ไม่สามารถเข้าสภาได้
ในขณะที่มี ส.ส. บางคนเป็นที่ทราบดีว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสื่อใหญ่ที่เป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาล แต่ไม่เป็นไร
4. ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความรู้สึกสองมาตรฐาน จากการเลือกปฏิบัติขององค์กรอิสระ หน่วยงานที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะไม่ได้ทำหน้าที่เป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายใด ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้จริงๆ
ขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลสามารถระดมทุนขายโต๊ะจีน มีบริษัทยักษ์ใหญ่บริจาคเงินมหาศาล ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย แต่พรรคอนาคตใหม่ขออนุญาตระดมทุนด้วยการขายสินค้าออนไลน์ กลับทำไม่ได้
และหากไปย้อนดูก็จะไม่แปลกใจ เมื่อพบว่า ผู้มีอำนาจในองค์กรอิสระเหล่านี้ หลายคนถูกแต่งตั้งในสมัยคสช.เรืองอำนาจ
คำพูดเล่นๆ ว่า “ฝ่ายหนึ่งหายใจยังผิด กับอีกฝ่ายทำผิดกฎหมายก็ไม่เป็นไร เพราะมีหน่วยงานมาแก้ต่างให้เสร็จ” กลายเป็นคำร่ำลือที่ชาวบ้านรู้สึกจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ
กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน นับวันจะห่างไกลจากชีวิตจริงมากขึ้น แต่กลายเป็นว่าผู้มีอำนาจใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างเด่นชัด
5. จากนี้ไป ไม่ใช่เพียงเด็กรุ่นใหม่ แต่ยังรวมถึงคนที่มีจิตใจรักความเป็นธรรมจะรู้สึกถึงความอยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมกันมากขึ้นเรื่อยๆ และรับไม่ได้กับท่าทีของบรรดาชนชั้นปกครอง ที่ยึดอำนาจมาตลอด 6 ปี และเริ่มเชื่อว่าคำตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่คือเป้าหมายสูงสุดที่พวกเขาได้บรรลุแล้ว
คนเหล่านี้จะไม่มีทางไปหย่อนบัตรเลือกตั้งให้กับบรรดาเผด็จการในเสื้อคลุมประชาธิปไตยอย่างแน่นอน และความร้าวรานในสังคมของผู้คนสองฝ่ายจะแตกแยกกันมากขึ้น ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
6. หากในอดีตพรรคไทยรักไทยปลุกให้ชาวบ้านระดับรากหญ้าขึ้นมาทวงสิทธิของตัวเอง เห็นความสำคัญของตัวเองในการปกครองประเทศนี้ พรรคอนาคตใหม่ก็ได้ปลุกให้คนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ทางการเมืองของพวกเขาอย่างจริงจัง พวกเขาต้องการมีส่วนในการปกครองประเทศนี้
7. พรรคอนาคตใหม่จบไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังอยู่คือ การทำให้คนจำนวนมากตั้งใจร่วมสร้างความฝันใหม่ ในเส้นทางการเมืองใหม่ๆ ที่พวกเขาต้องร่วมกันสร้าง ร่วมกันถากถาง ร่วมกันต่อสู้ และไม่ใช่ได้มาด้วยการร้องขออีกต่อไป
8. นับวันการเมืองแบบเก่าไปด้วยกันไม่ได้กับวิธีคิดของเด็กรุ่นใหม่ สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการคือความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน
คนเหล่านี้ไม่เข้าใจว่า สื่อออนไลน์สมัยใหม่ ได้ทำให้ทุกคนรู้สึกเท่าเทียมกัน ทุกคนสามารถสื่อสารและแสดงออกได้อย่างเท่ากัน ในโลกไซเบอร์ไม่มีใครใหญ่กว่ากัน และรุ่นใหม่จึงซึมซับและให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันอย่างจริงจัง ขณะที่การเมืองแบบเก่าไม่เคยคิดจะปรับตัวเข้ากับโลกยุคใหม่ แถมยังถดถอย ล้าหลังลงเรื่อยๆ
9. วันนี้เราเห็นการล่มสลายทางเศรษฐกิจจำนวนมากจากการไม่ปรับตัวอย่างรวดเร็วฉับพลัน จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตผู้คน มีตัวอย่างมากมายทั้งในและนอกประเทศ ธุรกิจหลายแห่งล้มละลายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอีกไม่นานการล่มสลายของการเมืองแบบเก่าที่ยึดติดกับพวกพ้องตัวเอง ไม่สนใจความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน ไม่เคยคิดจะปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคใหม่ จะติดตามมาอย่างกระชั้นชิด
10. ยิ่งยุบพรรคการเมือง ยิ่งนับถอยหลังการล่มสลายของอีกฝ่าย จะเป็นระยะเวลากี่ปีก็ตาม พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดแน่นอน