วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
รอบปีที่ผ่านมาหากถามคนทั่วไปว่า “อะไรเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงน่ากลัวที่สุด?”
ส่วนใหญ่คงพุ่งเป้าไปที่ปัญหาโลกร้อน เพราะผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเริ่มประจักษ์ชัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธารน้ำแข็งละลาย ความแห้งแล้ง ไฟป่าที่เกิดบ่อยขึ้นทั่วโลก อุณหภูมิโลกอันคาดเดาไม่ได้ว่าจะร้อนจัด-หนาวจัดเมื่อใด แต่อันที่จริงโลกร้อนยังไม่ใช่ปัญหาสิ่งแวดล้อมอันน่าสะพรึงกลัวที่สุด
ภาพที่เห็นข้างบนคือแผนภูมิแสดงสิ่งที่เรียกว่า Planetary Boundaries หรือ ‘ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก’ ศึกษาและวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกลุ่มหนึ่ง นำโดย ดร. Johan Rockström แห่ง Stockholm Resilience Centre ได้ทำการประมวลปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั่วโลก เพื่อวิเคราะห์ว่าโลกใบนี้ยังมีศักยภาพพอเพียงในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้มากน้อยเพียงใด
ที่ผ่านมาระบบนิเวศของโลก มีความสามารถและความยืดหยุ่นตามธรรมชาติในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหามลภาวะต่างๆ ให้กลับคืนมาสู่ความสมดุลอีกครั้ง หรือพูดง่ายๆ คือ ธรรมชาติได้ช่วยเยียวยา ค่อยๆ จัดการให้ปัญหากลับคืนสู่สภาพปกติได้ และอาจต้องใช้เวลานาน
แต่ถ้าเกิดปัญหารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่ง ระบบนิเวศก็ไม่อาจเยียวยาให้โลกกลับคืนความสมดุลมาได้
Rockströmและคณะได้ย่อยข้อมูลตัวเลขทั้งหมดเป็นกราฟง่ายๆ ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญบนโลกใบนี้แบ่งได้เป็น 9 ปัญหาใหญ่ ๆ เรียงตามลำดับความรุนแรง คือ
1. การทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ
2. ปัญหาการใช้สารไนโตรเจนและฟอสฟอรัส
3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4. การทำลายคุณภาพดิน ทำลายป่า
5. การใช้น้ำจืดแบบไม่ยั่งยืน
6. ปรากฏการณ์ทะเลกรด
7. การเปลี่ยนแปลงของละอองในบรรยากาศ
8. มลภาวะจากสารเคมีใหม่
9. การลดลงของโอโซนในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ (Stratosphere)
ในกราฟนี้ จะเห็นมีเส้นสีเขียว สีเหลือง และเส้นสีแดง
เส้นสีเขียว หมายความว่า ยังปลอดภัย ระบบนิเวศหรือธรรมชาติบนโลกยังสามารถรับมือเยียวยากับปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นได้
ถ้าปัญหาเริ่มเลยไปเส้นสีเหลือง ก็จะเริ่มเกิดความเสี่ยงในการแก้ปัญหา และไม่สามารถพยากรณ์คาดเดาอะไรได้แม่นยำ
แต่หากปัญหาเลยไปถึงเส้นสีแดง นั่นหมายความว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น ระบบนิเวศ ธรรมชาติไม่สามารถเยียวยากลับคืนมา เหมือนเดิมอีกต่อไป มนุษย์ไม่มีองค์ความรู้พอจะแก้ไขได้ จะเกิดความปั่นป่วน และยากที่จะกลับคืนมาสู่ภาวะปกติได้ หรือเลยขีดจำกัดความปลอดภัยของโลกแล้ว
ในภาพจะเห็นว่า ปัญหารุนแรงที่สุดอันดับแรกคือ การทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ หรือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิต ดูเหมือนจะเป็นปัญหาวิกฤตที่สุดจนเกินเยียวยาแล้ว
ประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตบนผืนโลกที่ผ่านมา โลกเจอกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง ทั้งหมดเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ ภูเขาไฟ แผ่นดินไหว อุกกาบาตถล่มโลก แต่ปัจจุบันนี้โลกกำลังก้าวสู่การสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่ 6 สาเหตุหลักไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่มาจากน้ำมือของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่
ที่น่าตกใจคือการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตครั้งนี้ มีอัตราการทำลายล้างสูงมากกว่าในอดีต 100-1,000 เท่า สาเหตุมาจากการไล่ล่าของมนุษย์ การทำลายป่า และการปล่อยมลพิษจำนวนมหาศาลสะสมทางอากาศ น้ำและบนแผ่นดิน
โลกของเรากำลังก้าวสู่ยุคการทำลายล้าง ที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และพืช อย่างน้อย 3 ใน 4 ที่มีอยู่ทั้งหมดต้องสูญพันธุ์และหายไปจากโลกใบนี้
ในช่วงเวลาเพียง 40 ปีที่ผ่านมา มนุษย์ทำลายสิ่งมีชีวิตจนสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ไปถึงร้อยละ 50
ปัจจุบัน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสูญพันธุ์ไป 41 เปอร์เซ็นต์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสูญพันธุ์ไป 26 เปอร์เซ็นต์ และอีก 50 ปี ข้างหน้า สิ่งมีชีวิต 70 เปอร์เซนต์จะสูญพันธุ์ไป และอวสานของมนุษย์อาจมาเยือนเร็วกว่าที่คิด
เรากำลังเดินเข้าสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 สิ่งมีชีวิตนับพันล้านตัวกำลังจะหายไป และมนุษย์อาจจะสูญพันธุ์ไปด้วย จากสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ติดตามด้วยใจระทึกว่า มนุษย์จะอยู่อย่างไร หากปราศจากเพื่อนสัตว์โลกด้วยกัน
ปัญหาสิ่งแวดล้อมอันดับต่อมา ก็แทบจะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะส่งกระทบรุนแรงจนเกินจะเยียวยาแก้ไข คือปัญหาไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่มากเกินไป ไม่ว่าจากปุ๋ยเคมีหรือผงซักฟอกและปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเป็นเวลานานจนมีปริมาณสะสมมากขึ้น กระตุ้นให้สาหร่าย วัชพืช และจุลินทรีย์บางชนิด โดยเฉพาะสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียวเพิ่มขึ้น แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว น้ำกลายเป็นสีเขียว เกิดน้ำเน่าเสีย เพราะออกซิเจนในน้ำมีน้อย ทำให้ปลา และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ตายหมด
เป็นปัญหาใหญ่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา แหล่งน้ำหลายแห่งเน่าเสีย ไร้สิ่งมีชีวิต และปัญหานี้กำลังลุกลามไปตามแหล่งน้ำต่างๆ ทั่วโลก เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากจะแก้ไขให้กลับสู่ธรรมชาติเหมือนเดิมได้เช่นเดียวกับปัญหาโลกร้อน ที่นับวันปัญหารุนแรงและสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้จะโทษใครอื่นไม่ได้เลย นอกจากตัวเราเอง
ฝีมือมนุษย์ล้วนๆ