‘ปฐพีจรดสุดบูรพา ชลมารคฝ่าคลื่นมหรรณพ’ ตามรอยเส้นทางลี้ภัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม

“’ขะยม มอ ปีไทล็อง’(ผมมาจากไทย)…

จูน เนียะทม เพียะคลวน’(มาส่งผู้ใหญ่ลี้ภัย)”

ประเสริฐ ศิริ (กำนันโจ๊ด)

ไต้ก๋ง ‘เรือประสิทธิ์มงคล’

ผู้นำพาจอมพล ป. พิบูลสงคราม นิราศออกจากประเทศไทย ณ อ่าวน้อย จังหวัดตราด

เมื่อค่ำคืนวันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ.2500

สองปีก่อน ผู้เขียนได้เผยแพร่บทความ ‘จอมพล ป. ลี้ภัย พ.ศ.2500: บทอวสานผู้นำคณะราษฎรคนสุดท้าย’[1] โดยใช้หลักฐานชั้นต้นจำนวนมาก หนึ่งในแหล่งข้อมูลสำคัญคือบันทึกของพลตำรวจเอก ชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจผู้ติดตามจอมพล ป. ตลอดเส้นทางลี้ภัย เขาได้ถ่ายทอดเหตุการณ์ผ่านบันทึกสองชิ้น ฉบับแรกเขียนขึ้นใน พ.ศ.2516 ใช้ชื่อว่า ‘หนีไปกับจอมพล’ ส่วนฉบับสองมีรายละเอียดมากกว่า ตีพิมพ์เป็นอนุสรณ์ของผู้บันทึกเองเมื่อ พ.ศ.2544 ภายใต้ชื่อ ‘ตำรวจอารักขา’

ล่วงถึงต้น พ.ศ.2567 เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับนักประวัติศาสตร์ เมื่อมูลนิธิจอมพล ป. และ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม โดยคุณประดาป พิบูลสงคราม และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ โดยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้รวบรวมข้อมูลชั้นต้นจากการสัมภาษณ์ผู้บังคับการเรือที่สามารถพา จอมพล ป. พิบูลสงคราม หนีรอดปลอดภัยเข้าสู่ประเทศกัมพูชาเมื่อรุ่งอรุณวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2500 ไต้ก๋งเรือท่านนี้ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ด้วยสุขภาพแข็งแรงกับความทรงจำอันดีเยี่ยม

ทั้งสองมูลนิธินี้ได้ร่วมกับสำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์หนังสือชื่อว่า ‘ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ฝากไว้ที่หาดเล็ก ตราด’[2] บันทึกของ ประเสริฐ ศิริ (กำนันโจ๊ด) ไต้ก๋งเรือ กับบทบันทึกชิ้นประวัติศาสตร์ ‘เรื่องเก่าไม่เล่าก็ลืม จอมพล ป. ลี้ภัยไปเขมร’[3]


 

รายละเอียดหนังสือ ‘ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทย จอมพล ป.พิบูลสงคราม’


ลายแทงจากบันทึกฉบับนี้ได้นำไปสู่การเดินทาง ‘ตามรอย’ แบบ ‘ลง Field ได้ Feel’ เส้นทางลี้ภัยสุดกันดาร โดยมีอดีตไต้ก๋งเรือเป็นมัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ นำทางย้อนสู่อดีตเมื่อ 68 ปีก่อน ทริปครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างมูลนิธิพิบูลสงคราม และมูลนิธิโครงการตำราฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 มีนาคม พ.ศ.2568

ในโอกาสที่ผู้เขียนได้รับเกียรติร่วมเดินทางไปกับคณะ จึงขอนำเรื่องราวที่น่าสนใจมาถ่ายทอดในบทความประจำเดือนมีนาคม พ.ศ.2568


งานเปิดตัวหนังสือที่มิวเซี่ยมสยาม ต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567
(จากซ้าย) ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง, ประเสริฐ ศิริ หรือ ‘กำนันโจ๊ด’, ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประดาป พิบูลสงคราม และ ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ[4]


ทางบกมุ่งสุดแดนบูรพา ทางน้ำฝ่าคลื่นมหาสมุทร


ก่อนอื่น ผู้เขียนขอสรุปบันทึกของ ‘กำนันโจ๊ด’ เพื่อฉายภาพเบื้องต้นให้เห็นขอบเขตของการผจญภัยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตั้งแต่เย็นวันรัฐประหาร จนถึงเวลาที่ผู้บันทึกแยกย้ายจากจอมพลผู้นิราศ ทั้งนี้ แม้ว่าในช่วงเวลานั้น ‘กำนันโจ๊ด’ ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัย 19 ปี และไม่มีตำแหน่งทางโลกใดๆ เช่น ‘กำนัน’ แต่เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ผู้เขียนขอใช้ชื่อนี้ตลอดเนื้อหาแทนคำว่า ‘ข้าพเจ้า’ ซึ่งปรากฏอยู่ในต้นฉบับบันทึกอัตชีวประวัติของท่าน


‘ทางบก’ ขับซีตรองฝ่าพายุบนถนนสุขุมวิท

“ท่านแวะเข้าบ้านไปแป๊บเดียวก็กลับออกมาพร้อมกระเป๋าหนีบเพียงใบเดียว เสื้อผ้ายังเป็นชุดเดิมสูทชาสกิ้นสีเทายับยาก ใช้มาทั้งวันยังไม่มีเวลาเปลี่ยน ทำได้เพียงเหลือบแลบ้านเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก้าวขึ้นรถยนต์ซีตรองคู่ชีพ มุ่งหน้าไร้จุดหมายไปตายเอาดาบหน้า ‘อำนาจไม่มีกำหนด สิ้นสุดลงตรงนี้’”              

เวลาราว 6 โมงเย็นของวันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500 ทันทีที่ จอมพล ป. ทราบข่าวรัฐประหาร ท่านขับรถซีตรองสีเขียว (สารคดีการเมืองของ ‘วิเทศกรณีย์’ ระบุว่าเป็นสีไข่ไก่[5]) ออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยมีผู้ติดตามทั้งหมดสี่คน ได้แก่ พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจรักษาความปลอดภัย, นายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, พล.ท.บุลศักดิ์ วรรณมาศ นายทหารคนสนิท และ พ.ต.อ.เทียบ สุทธิมณฑล

จุดหมายแรกคือบ้านพักที่ชิดลม เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล โดยเฉพาะการจัดเตรียมเงินสด ซึ่งในบันทึกของนายตำรวจติดตามมีการระบุจำนวนเงินสองตัวเลข บ้างว่า 20,000 บาท[6] บ้างก็ว่า 40,000 บาท[7] เส้นทางที่ใช้หลบหนีคือ ถนนสุขุมวิท โดยจอมพล ป. เป็นผู้ขับรถเอง เมื่อถึงย่านพระโขนง ท่านให้ พ.ต.อ.เทียบ สุทธิมณฑล ลงจากรถ เนื่องจากภายในรถคับแคบเกินไป จากนั้นเดินทางต่อไปยังชายแดนกัมพูชา พร้อมผู้ติดตามอีกสามคนที่เหลือ

ซีตรองรุ่น DS สีไขไก่ พ.ศ.2500 (ค.ศ.1957) ยานยนต์ที่จอมพล ป. ขับบนถนนสุขุมวิทเมื่อคืนรัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ.2500


ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่าตลอดเส้นทางบนถนนสุขุมวิท ที่ปัดน้ำฝนต้องเร่งระดับจนสุด จอมพล ป. ขับรถพลางดูดบุหรี่มวนต่อมวน เปิดวิทยุฟังประกาศรัฐประหาร ขณะผ่านสถานตากอากาศบางปู ก่อนข้ามแม่น้ำบางปะกง เข้าสู่จังหวัดชลบุรี แล้วแวะเติมน้ำมันเต็มถัง 100 บาทที่ศรีราชา เดิมทีท่านตั้งใจจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ฐานทัพเรือสัตหีบ เพื่อพบ ประสงค์ พิบูลสงคราม บุตรชายคนที่สอง ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการนาวิกโยธิน แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนใจ หักพวงมาลัยมุ่งหน้าสู่จังหวัดระยอง ลัดเลาะผ่านจันทบุรี และไปสิ้นสุดที่แหลมงอบ จังหวัดตราด เมื่อฟ้าสางของเช้าวันที่ 17 กันยายน


‘ทางน้ำ’ จากเรือเล็ก สู่เรือใหญ่นามว่า ประสิทธิ์มงคล


บ่ายวันเดียวกัน เวลา 14.00 น. คณะของจอมพล ป. ลงเรือเล็กที่สะพานปอเฮง มุ่งหน้าไปยังเกาะช้าง โดยทิ้งรถยนต์ซีตรองไว้ให้ พล.ท.บุลศักดิ์ นำกลับ พร้อมคืนปืนกลให้ทางการ ขณะเดียวกัน คณะได้รับผู้ติดตามเพิ่มอีกหนึ่งคน คือ ส.ต.ท.เฉลิม ชัยเชียงเอม ตำรวจน้ำอำเภอแหลมงอบ เชื้อสายมุสลิม ซึ่งเคยรู้จักกับ พ.ต.อ.ชุมพล มาก่อน และเข้ามาช่วยประสานงาน

เดิมที คณะตั้งใจใช้แนวเกาะช้างเป็นเกราะกำบังจากคลื่นลมในอ่าวไทย โดยต้องเดินทางเป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง จึงมาถึงเกาะไม้ซี้ตาบ้อง (หรือเกาะไม้ซี้ใหญ่) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะช้าง ที่นั่น พวกเขาได้พบเรือลำใหญ่ชื่อ ‘ประสิทธิ์มงคล’ เจ้าของคือ นายเล้ง โตวิรัตน์ ชาวประมงตำบลแหลมกลัด อำเภอเมือง จังหวัดตราด

อย่างไรก็ตาม ลุงเล้งปฏิเสธที่จะนำเรือข้ามไปกัมพูชา เพราะไม่คุ้นเคยกับเส้นทาง ทำให้การเดินทางยังคงไร้ทิศทางชัดเจน ขณะนั้น ทั้งคณะมี 4 คน ได้แก่ จอมพล ป., ชุมพล, ฉาย และ เฉลิม ร่วมอยู่บนเรือกับลุงเล้งและลูกเรืออีกสองคน คือช่างเครื่อง (เอนจิเนียร์) และลูกเรือชื่อ ไอ้ทุย

เวลา 5 โมงเย็นแล้ว เรือประสิทธิ์มงคลยังคงล่องลอยอยู่บริเวณแหลมยายตุ้ย เรือวิ่งเลียบเกาะกูด เพื่ออาศัยแนวเกาะเป็นกำบังจากคลื่นลม แต่เส้นทางข้างหน้ายังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครตัดสินใจได้แน่ชัดว่าควรนำเรือเข้าสู่ที่หมายด้วยวิธีใด ความกดดันทั้งหมดมาตกอยู่ที่ ส.ต.ท.เฉลิม ซึ่งจำเป็นต้องรับบทผู้นำสถานการณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่คำตอบจะปรากฏขึ้น “แวะหาลุงโพธิ์ บ้านหาดเล็ก”


จอมพล ป. ในอิริยาบถ ‘นั่งดูดบุหรี่บนบันได’

‘ลุงจอมพล’ พบ ‘หลานโจ๊ด’ ไต้ก๋งเรือวัย 19 ปี


พลบค่ำ พระอาทิตย์จมหายไปจากขอบฟ้า บรรยากาศโดยรอบถูกกลืนเข้าสู่ความมืด ฉ่ำไปด้วยสายฝน ฟ้าหม่นไร้ดวงดาว เรือประสิทธิ์มงคลทำความเร็วเพิ่มขึ้นเมื่อเบนหัวเรือตามแรงคลื่น มุ่งหน้าเข้าหาฝั่ง บ้านหาดเล็ก

เวลาสี่ทุ่ม คลื่นลมสงบชั่วคราว เป้าหมายแรกมาถึงแล้ว “ยามดึกที่ชายแดน” เรือค่อยๆ ชะลอจนหยุดนิ่ง สมอหย่อนลงน้ำ ห่างจากชายหาดบ้านหาดเล็กประมาณ 150 เมตร ชายหาดแห่งนี้กว้างเพียง 100 เมตร ตั้งอยู่ปลายสุดของอ่าวด้วง หรือที่เรียกว่าแหลมแสม มีหลักเขตที่ 73 กั้นอาณาเขตระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา อยู่ห่างจากชายน้ำราว 10 เมตร

ภายในกระต๊อบเล็กริมเชิงเขา ท่ามกลางสายลมที่พัดเบาๆ หลังพายุซา ‘กำนันโจ๊ด’ ถูกปลุกจากนิทราด้วยเสียงของมารดา แม่สำรวน เรียกเร่งเร้า “ไอ้หมา ไอ้หมา ตื่นเร็ว!” พร้อมสั่งให้พายเรือแจวออกไปรับคนจากเรือยนต์ที่กู่ร้องเรียกอยู่นาน ดูท่าจะเป็นเรื่องสำคัญ

ว่าแต่พวกเขาเป็นใคร? มาทำไม? และจะเดินทางไปไหน? คำเฉลยทั้งหมดนี้ มาทราบภายหลังที่ได้ร่วมที่พักยังบ้านรับรองของค่ายทหารเรือแหลมด่าน ‘Lan Dam’ จังหวัดเกาะกงแล้ว จากเป้าหมายเดิมของพวกเขาคือ ‘เกาะกะปิ’ ซึ่งบิดาของกำนันโจ๊ด ‘ผู้ใหญ่โพธิ์ ศิริ’ เป็นผู้แนะนำให้นำเรือเข้าเทียบท่าที่นั้น เนื่องจากเกาะกะปิเป็นศูนย์กลางของชุมชนคนไทยดั้งเดิมที่ตั้งรกรากอย่างมั่นคงมาแต่โบราณ เป็นศูนย์กลางการค้าขายและการประมง อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอเกาะมูล ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเกาะสะเก็ด

เวลาล่วงเข้าสู่หลังเที่ยงคืนของวันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ.2500 พายุฝนสงบนิ่งชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแผลงฤทธิ์ในช่วงหัวน้ำขึ้น ซึ่งอีกไม่เกิน 30 นาที จะได้รู้กันว่ามันรุนแรงแค่ไหน

จ.ส.ท.เฉลิม หิ้วรองเท้าหนังคัทชูสีดำ ยื่นให้ จอมพล ป. ท่านเดินเท้าเปล่าก้าวลงเรือแจวเป็นเที่ยวแรก พร้อมกับ พ.ต.อ.ชุมพล นั่งข้างเคียง ขณะที่ ‘กำนันโจ๊ด’ ขึ้นนั่งตอนหัวเรือ เตรียมโยนเชือกให้เรือใหญ่ และประคองให้เทียบเข้ากันได้อย่างแนบสนิท

เป็นการก้าวพ้นแผ่นดินไทยครั้งสุดท้าย “รอยเท้าสุดท้าย ฝากไว้ที่หาดเล็ก” ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม


หาดทราย ‘อ่าวเล็ก’ จุดเป๊ะๆ ที่จอมพล ป. ฝากรอยเท้าสุดท้ายก่อนก้าวออกจากประเทศไทย


ฝ่าพายุสู่เกาะกง


ผู้ใหญ่โพธิ์ได้ประเมินล่วงหน้าไว้แล้วว่าบุตรชายกำลังจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นใด กำนันโจ๊ดย้อนรำลึกไว้ว่า

“คุณพ่อบรรยายสรุปให้ทุกท่านได้รับทราบก่อนเดินทางฝ่าหฤโหดของพายุลมแรงในขณะนี้ที่ดูเหมือนสงบราบเรียบ ซึ่งเป็นจังหวะที่น้ำทะเลไหลลงต่ำสุด แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นไหลขึ้นในช่วงหลังเที่ยงคืน พายุลมแรงก็จะผสมก่อตัวขึ้นอีกเรียกว่าพายุหัวน้ำขึ้น และป้องมือฝ่าความมืดมองไปทางเกาะกูด ก็จะเห็นกลุ่มเมฆฝนดำทะมึน แสดงว่าพายุทางทิศตะวันตกจะพัดเข้าหาฝั่งอย่างรุนแรงในไม่ช้านี้”

เป็นไปดังได้คาดการณ์ไว้ เรือประสิทธิ์มงคลต้องเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ คลื่นซัดกระหน่ำจนเรือแทบอัปปาง ซ้ำร้ายเครื่องยนต์เกิดขัดข้องและดับลงกลางทะเล น้ำทะลักเข้าเรือจนทุกคนต้องช่วยกันวิดอย่างสุดกำลัง กำนันโจ๊ดและลูกเรือร่วมกันปลุกปล้ำกับอุปสรรคตลอดค่ำคืนนั้น ก่อนนำพาทุกชีวิตรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์

ในภาวะคับขัน พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ หวนรำลึกถึงช่วงเวลานั้นอีกครั้งเมื่อได้พบกำนันโจ๊ดในวันรับอัฐิของจอมพล ป. กลาง พ.ศ.2507 โดยเล่าว่า ณ เวลานั้น หากไร้หนทางรอดไซร้ คงต้องใช้ปืนพกปลิดชีพตัวเองก่อนจะจมดิ่งสู่ก้นทะเล จนอาจต้องทนทุกข์กับความหนาวเย็น และกลายเป็นเหยื่อของฝูงฉลามที่คอยฉีกกระชากร่างเป็นชิ้นๆ

ทุกชีวิตบนเรือไม่ต่างจากฝูงหนูถูกขังอยู่ในกรงแคบที่ถูกเขย่าด้วยแรงคลื่น

“สู้ไหวไหม” จอมพล ป. เอ่ยถามขึ้นเมื่อเครื่องยนต์ดับลง ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงคลื่นกระแทกโถม ลุงเล้ง เจ้าของเรือ ตอบกลับทันที “ไหวครับท่าน พอวิดน้ำท้องเรือแห้ง ก็ติดเครื่องได้”

นาฬิกาข้อมือของ พ.ต.อ.ชุมพล บอกเวลาตีสี่ พายุเริ่มอ่อนกำลังลง ลุงเล้งรีบสั่งให้ลูกเรือสำรวจความเสียหาย ทุกคนสะบักสะบอม รอดพ้นจากอุ้งมือธรรมชาติโหดมาได้อย่างทุลักทุเล

เมื่อแสงแรกฉายเหนือเส้นขอบฟ้า ทิวสนบนชายฝั่งโผล่พ้นเงาเขา สภาพของเรือในตอนนั้นทำให้ต้องเปลี่ยนแผน คณะตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากบ้านปากคลองหางควาย นำเรือประสิทธิ์มงคลเข้าเทียบฐานย่อยของทหารเรือโป๊ะมารีน สายฝนเริ่มจาง แสงไฟจากชุมชนบ้านปากคลองหางควายปรากฏอยู่ไกลๆ คลื่นหนุนส่งให้เรือพุ่งเข้าหาฝั่ง แม่น้ำเกาะปอ (แม่น้ำคลางคืน) ไหลสวนออกมาแรง เห็นที่หมายสำหรับพักและขอความช่วยเหลือ


ฐานย่อยทหารเรือกัมพูชา ‘โป๊ะมารีน’


ค่ายย่อยแห่งนี้ตั้งอยู่ปลายโขดทรายบ้านปากคลองหางควาย ฝั่งขวามีสะพานไม้ยื่นออกจากชายฝั่งราว 15 เมตร ด้านหน้าท่าเรือน้ำลึก 4 เมตร และมีป้อมยามรักษาการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เรือทุกลำที่ผ่านจำเป็นต้องแวะเข้ารายงาน

โป๊ะมารีนเป็นค่ายย่อยแยกมาจากค่ายทหารเรือแหลมด่าน มีกองกำลังหนึ่งกองร้อย หัวหน้าค่ายคือ เรือตรีเซป เชือน บุคคลที่กำนันโจ๊ดรู้จักดีจากการแวะเวียนนำของฝากไปให้บ่อยครั้ง ทั้งยังพูดภาษาท้องถิ่นสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ แม้จะสนิทสนมกัน แต่ระเบียบของค่ายยังคงต้องรักษาไว้ พวกเขาจึงต้องรอจนฟ้าสว่างเพื่อเข้าพบ

เมื่อได้พูดคุยกัน เรือตรีเซป เชือน รับอาสาพาคณะเดินทางต่อไปยังค่ายใหญ่ ‘แหลมด่าน’ ซึ่งปลอดภัยกว่าและเป็นไปตามระเบียบของทางการ อีกทั้งจากสภาพของเรือประสิทธิ์มงคล เห็นได้ชัดว่าคงไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เกินเที่ยงวัน

แม้คณะทั้งหมดจะอดหลับอดนอนมาตลอดคืน ใบหน้าแต่ละคนยังคงฉายแววกังวล ไม่มีใครหลับลงได้ กาแฟร้อนๆ กับปาท่องโก๋ถูกแจกจ่ายให้ทั่วถึง อาหารเช้าแสนเรียบง่ายจากต่างแดนกลับกลายเป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดในเวลานั้น


ถึง ‘เกาะกง’ ประเทศกัมพูชา โดยสวัสดิภาพ


“ประสิทธิ์มงคล ‘บ้อนทอยละเบือน’ (เข้าเทียบท่าอย่างนิ่มนวล)”

รุ่งอรุณวันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ.2500 เรือประสิทธิ์มงคลเดินทางต่อไปท่ามกลางท้องฟ้าสดใส พื้นทะเลราบเรียบไร้คลื่นลม นาวาลำนี้แล่นไปตามกระแสน้ำ พ้นผ่านสันทราย ก่อนเปลี่ยนทิศเบนซ้าย ขนานไปกับชายหาดแหลมบางกระช้าง ผ่านปากแม่น้ำบางกระสอบ ห่างจากฝั่งราวสามกำมือ มองเห็นเกาะกงชัดเจนอยู่เบื้องหน้า

ไต้ก๋งวัยละอ่อนนั่งอยู่หัวเรือสนทนากับ เซป เชือน ขณะที่ ส.ต.ท.เฉลิม เรียกให้เข้ามาในเก๋งเรือพร้อมกัน จอมพล ป. ได้สนทนากับเซป เชือน โดยมีลุงโจ๊ดทำหน้าที่ล่าม บทสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น ก่อนจะออกจากเก๋งเรือ พ.ต.อ.ชุมพล มอบเงินจำนวนหนึ่งให้เซป เชือนเป็นรางวัล

08.30 น. อาหารมื้อเช้าถูกเตรียมพร้อม ข้าวสวยสามรส สวย ดิบ แฉะ รวมอยู่ในหม้อเดียวกัน เสิร์ฟพร้อมกับปลานวลจันทร์ต้มเค็ม และปลาสละแห้งทอด จากบ้านเดโบะ ทุกคนได้รับแจกจ่ายอย่างทั่วถึง อิ่มท้องก่อนถึงจุดหมาย

09.00 น. เรือเข้าเทียบท่าที่ ค่ายทหารเรือแหลมด่าน ซึ่งมีชานไม้ยื่นลงไปริมฝั่งน้ำ จุดนี้เป็นบริเวณที่แม่น้ำปังรุงและแม่น้ำ ตาไตไหลมาบรรจบกันกับเวิ้งน้ำบ้านแหลมเปราะ ตรงข้ามกับเกาะกง ก่อนที่สายน้ำจะไหลผ่านช่องแคบช่องกง ลัดเลาะเกาะสะเก็ด ผ่านอ่าวว่าว และแหลมไอ้เดื่อง ทางทิศเหนือของเกาะกง เพื่อออกสู่อ่าวไทย


เรือของคณะตามรอย ’68 ขณะแล่นเทียบท่าเรือแหลมด่าน จุดที่จอมพล ป. ขึ้นฝั่งประเทศกัมพูชา


กำนันโจ๊ด บรรยายถึงวินาทีที่ขึ้นฝั่งกัมพูชาด้วยความภาคภูมิใจไว้ว่า

“เซป เชือนและข้าพเจ้าขึ้นจากเรือก่อนเดินนำหน้าตามด้วยคณะมี จอมพล ป. ในชุดชาสกิ้นสากลสีเทาชุดเดิม แม้นว่าจะใช้อย่างสมบุกสมบัน หลบฝน ฝ่ามรสุมตลอดระยะเดินทาง เข้าวันที่ 3 แล้ว ก็ยังสง่างามสมชายชาตรี โดยก่อนเรือจะเข้าเทียบท่า ข้าพเจ้าใช้ผ้าขนหนูชิ้นเล็กชุบน้ำจืดบิดให้พอหมาด แล้วเช็ดคราบไคลขี้เกลือไอน้ำเค็มตามเสื้อกางเกงตัวเก่งชุดเดียว ทำให้แลดูดีขึ้น ท่านอื่นเห็นก็ทำตามบ้าง นายฉาย วิโรจน์ศิริ พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ ส.ต.ท.เฉลิม ชัยเชียงเอม พลทหารลูกน้องเซป เชือน ส่วนลุงเล้ง โตวิรัตน์และ ช่างเครื่อง ไอ้ทุยเด็กเรือ เฝ้าเรือรอคำสั่งต่อไป

14.20 น. ได้มีการเคาะส่งวิทยุระบบมอร์ส มีคำสั่งด่วนจากเบื้องบนลงมาว่า “จงดูแลแขกเกียรติยศให้ดีที่สุด”

เย็นวันเดียวกันนั้น เวลา 16.30 น. เซป เชือนนำ ผบ.ค่ายและคณะมาคารวะรายงานตัวต่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และเชิญขึ้นพักบนเรือนรับรอง พร้อมนัดเวลาที่อาหารเย็นจะจัดลำเลียงส่งมายังเรือนรับรองในช่วง 18.30 น. เปลี่ยนสถานะความเป็นอยู่จากยาจกในป่าเป็นราชาในค่ายแหลมด่าน

จอมพล ป. หันมาสนใจกำนันโจ๊ดมากขึ้น ท่านได้สอบถามประวัติส่วนตัวและเอ่ยชวนให้ติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่งในฐานะล่ามภาษาเขมรและเด็กติดตาม ประเดิมคืนแรกนี้ ได้ทำหน้าที่หมอนวดให้ท่านและนอนรวมกับคณะบนบ้านพักรับรองแสนอบอุ่น


ผู้เขียน (นริศ จรัสจรรยาวงศ์) กับกำนันโจ๊ด ( ประเสริฐ ศิริ) ณ จุดที่จอมพล ป. ขึ้นฝั่งแหลมด่าน


สรกเกาะมูล “มอน โรเงียว เฮย” (อำเภอเกาะมูล ไก่ขันแล้ว)


เช้าตรู่วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ.2500 กำนันโจ๊ดลุกจากที่นอนก่อนฟ้าสาง “ตื่นแล้วหรือ” เสียงทักจาก จอมพล ป. ซึ่งนั่งเก้าอี้ไม้ชิดขอบหน้าต่างด้านหน้าห้องรับรอง ในชุดนอนโสร่งไหม เสื้อยืดคอกลม สีขาว มือขวาหนีบบุหรี่ยี่ห้อ Cotab (ซึ่งทางค่ายจัดให้ตั้งแต่เมื่อคืน) พ่นควันอ้อยอิ่ง ล่องลอยไปตามสายลมอ่อนก่อนฟ้าสาง ท่านคงหลับเต็มอิ่มแล้วจึงลุกมานั่งคนเดียว

ตลอดทั้งวันท่านจอมพลและผู้ติดตามได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ภายในค่ายแห่งนี้ เพราะการแจ้งนำพาผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็แล้วเสร็จ จากการที่มีนายทหาร รอง ผบ.ค่ายนำมาพร้อมคำสั่งเบื้องบนแนบมาด้วย

เช้าวันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ.2500 หลังอาหารเช้า กำนันโจ๊ดได้รับมอบหมายให้ไปซื้อสิ่งของที่ตลาดเกาะกะปิ โดยรับมอบเงิน 2,000 บาทจากนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขา ฯ อดีตนายกรัฐมนตรี ค่ายทหารจัดพลทหารสองนายคอยช่วยเหลือระหว่างเดินทาง

ขากลับจากตลาด ขณะหิ้วของพะรุงพะรังกลับมาถึงค่าย ภาพที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ลุงเล้งเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงหลังเที่ยงว่า มีเรือโบ๊ตออกจากเรือรบที่ลอยลำอยู่บริเวณหัวกง เข้ามารับจอมพล ป. และคณะทั้งหมดออกไปกับเรือลำใหญ่ ก่อนออกเดินทาง ท่านได้ฝากจดหมายน้อยไว้ให้กำนันโจ๊ด

ฝ่ายกำนันโจ๊ดรับจดหมายจากลุงเล้งแล้วรีบเปิดอ่าน เนื้อหาภายในเท่าที่พอจดจำได้ มีใจความว่า

“ประเสริฐ ผู้ร่วมชะตากรรม ลุงไม่สามารถรอพบได้ จำต้องตามใจเจ้าของบ้านที่เมตตาเรา ลุงขอขอบคุณหลานที่เสี่ยงภัย ช่วยลุงจนบรรลุเป้าหมาย จงเดินทางกลับไปหาครอบครัวที่อบอุ่นโดยสวัสดิภาพนะหลานรัก หากโชคช่วยคงได้พบกันอีก

ป.พิบูลสงคราม”

หลังอ่านทวนแล้ว 2 รอบ กำนันโจ๊ดได้พับเก็บอย่างดีใส่กระเป๋าเสื้อ ลุงเล้งเล่าต่อถึงบรรยากาศโดยรวมว่า “คณะท่านกล่าวฝากขอบคุณอำลาสุดแสนเศร้าอาลัยกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ทางค่ายจัดกองเกียรติยศประกอบพิธีส่งคณะลงเรืออย่างยิ่งใหญ่ในขณะนั้น”


กำนันโจ๊ด ขณะบรรยายบนเรือ ตลอดเส้นทางตามรอยในกัมพูชา


68 ปีต่อมา กับการตามรอยเส้นทางลี้ภัย

สำหรับทริป ตามรอย ในปี 2568 นี้ แม้จะไม่สามารถเดินตามเส้นทางของ ‘ท่านผู้นำ’ ได้อย่างเป๊ะๆ เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาและความสะดวกสบาย แต่โครงสร้างการเดินทางยังคงมุ่งเน้นการย้อนรอยเส้นทางลี้ภัยของ จอมพล ป. โดยระหว่างทางมีการแวะเยี่ยมชมสถานที่สำคัญบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าตากสินมหาราช

การตามรอยครั้งนี้แบ่งออกเป็น สองเส้นทางหลัก ได้แก่ ‘ทางบก’ และ ‘ทางน้ำ’ ซึ่งแต่ละเส้นทางจะช่วยให้เห็นภาพการเดินทางหลบหนีของ จอมพล ป. ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


ทางบก


จอมพล ป. ขับรถโดยใช้เส้นทางสุขุมวิทเก่า ซึ่งเลาะเลียบผ่านสมุทรปราการ ผ่านสถานตากอากาศบางปู ที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้ง ไล่ขึ้นไปจนข้ามแม่น้ำบางปะกง ทะลุเข้าสู่เมืองชลบุรี ก่อนมุ่งหน้าสู่ฐานทัพเรือสัตหีบ แล้วเบนซ้ายเข้าจังหวัดระยอง ผ่าน จังหวัดจันทบุรี และไปสิ้นสุดที่แหลมงอบ จังหวัดตราด ในช่วงเช้า


จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้ขึ้นชื่อว่าชอบขับรถยนต์เป็นอย่างยิ่ง


แม้ใน พ.ศ.2500 ถนนสุขุมวิทถือเป็นทางหลวงที่ดีที่สุดของประเทศไทย แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับคุณภาพของพื้นผิวและขนาดถนนสุขุมวิทในปัจจุบัน


เส้นทางขับรถสายสุขุมวิทเก่า (จากสถานตากอากาศบางปู-ฐานทัพเรือสัตหีบ)
เส้นทางขับรถสายสุขุมวิทเก่า (จากฐานทัพเรือสัตหีบ-แหลมงอบ จ.ตราด)


คณะตามรอย ฯ เลือกใช้เส้นทางลัด เข้าสู่จังหวัดระยองจากมอเตอร์เวย์ ก่อนจะขับตามรอยถนนสุขุมวิทในช่วงที่จอมพล ป. เคยขับผ่าน โดยเริ่มตั้งแต่จังหวัดระยอง ผ่านจังหวัดจันทบุรี มุ่งสู่จังหวัดตราด ทำให้ไม่ได้ขับผ่านช่วงต้นของเส้นทางเดิมที่ จอมพล ป. เคยใช้ในคืนวันรัฐประหาร ตั้งแต่สุขุมวิทช่วงแรก-สมุทรปราการ-บางปะกง-ชลบุรี-ฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ท่านขับในช่วงหัวค่ำจนถึงราวเที่ยงคืน


ทางน้ำ


คณะจอมพล ป. ขึ้นเรือเล็กที่แหลมงอบ แล่นลัดเลาะผ่านเกาะช้าง มุ่งไปยังเกาะไม้ซี้ตาบ้อง (เกาะไม้ซี้ใหญ่) ก่อนเปลี่ยนขึ้นเรือลำใหญ่ ประสิทธิ์มงคล ของลุงเล้ง เดิมทีวางแผนจะเดินเรือมุ่งตรงเข้าสู่กัมพูชา แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผน ตีเรือเข้าฝั่งที่หาดเล็ก จังหวัดตราด อีกครั้งในช่วงหัวค่ำวันที่ 17 กันยายน เพื่อขอความช่วยเหลือจาก โพธิ์ ศิริ บิดาของกำนันโจ๊ด จนกระทั่งได้ตัวลูกชายมาเป็นไต้ก๋งเรือ นำประสิทธิ์มงคลฝ่ามรสุมสู่ฝั่งประเทศกัมพูชาได้สำเร็จในรุ่งอรุณวันถัดมา

คณะตามรอยฯ ไม่สามารถเดินตามเส้นทางนี้ได้ เนื่องจากการตีเรือเข้าเกาะช้างแล้วอ้อมกลับมายังหาดเล็กเป็นเพียงแผนที่ถูกปรับเปลี่ยนระหว่างทางในครั้งนั้น การเดินทางครั้งนี้จึงมุ่งตรงไปยังหาดเล็ก จุดสุดท้ายที่ จอมพล ป. กล่าวคำอำลาจากประเทศไทย ก่อนเดินทางข้ามแดน

ระหว่างทาง คณะได้แวะเยี่ยมชมจุดที่แคบที่สุดของประเทศไทย พร้อมปีนบันไดขึ้นสู่จุดชมวิวบนภูเขา มองเห็นทิวทัศน์ของท้องทะเลโดยรอบ

จากหาดเล็ก คณะตามรอยฯ ไม่สามารถโดยสารเรือตามเส้นทางเดิมของ จอมพล ป. ได้ เนื่องจากต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ปัจจุบัน ณ จุดนี้ มี ป้ายขนาดใหญ่ให้ผู้มาเยือนได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก สร้างเป็นข้อความว่า ‘ก้าวสุดท้ายจอมพล ป.’ เดิมทีป้ายนี้ปักอยู่บนหาดทราย ณ จุดที่ จอมพล ป. ขึ้นเรืออย่างแม่นยำ แต่ภายหลังถูกย้ายขึ้นมาบนลานซีเมนต์คู่กับป้ายเช็คอิน ‘@หาดเล็ก’


ป้ายเหล็ก ‘ก้าวสุดท้าย จอมพล ป.’
ป้ายเหล็ก @หาดเล็ก


เมื่อก้าวขึ้นจากหาดทราย ‘ก้าวสุดท้ายจอมพล ป.’ สู่จุดสิ้นสุดของถนนสุขุมวิท จุดตรวจคนเข้าเมือง (ต.ม.) หรือ ‘จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก’ อยู่ห่างออกไปราว 100 เมตร ลูกทัวร์ทุกคนถูกกำชับให้พกพาสปอร์ตมาในทริปนี้

เมื่อข้ามแดนเข้าสู่กัมพูชา ภาพที่ปรากฏให้เห็นชัดคือการลงทุนจากทุนจีนที่แพร่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ คณะเดินทางโดยสารรถบัสปรับอากาศมุ่งหน้าสู่ ท่าเรือหน้า Mangrove Forest Resort เกาะกง เพื่อเหมาเรือโดยสารไปยังแหลมด่าน จุดที่กำนันโจ๊ด ส่งจอมพล ป. เป็นครั้งสุดท้าย

กำนันโจ๊ดกล่าวว่าขนาดของเรือที่คณะใช้ในครั้งนี้ใกล้เคียงกับเรือที่จอมพล ป. โดยสารเมื่อ 68 ปีก่อน แต่มีความยาวน้อยกว่าและลำแคบกว่าเล็กน้อย


ภาพเรือบนหน้าปกหนังสือ ‘ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทย จอมพล ป. พิบูลสงคราม’


อย่างไรก็ดี เส้นทางเดินเรือของคณะครั้งนี้แตกต่างจากเส้นทางของ จอมพล ป. เฉพาะในช่วงต้น ครั้งนั้น จอมพล ป. ต้องล่องเรือออกสู่ทะเลใหญ่ มุ่งหน้าตรงไปยังแหลมด่าน แต่คณะตามรอยฯ กลับต้องเดินทางจากภายในเมือง โดยช่วงแรกของเส้นทางล่องผ่านป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ ก่อนจะทะลุออกสู่ทะเลบรรจบกับช่วงครึ่งหลังของเส้นทางเดินเรือที่จอมพล ป. เคยแล่นผ่าน ก้าวแรกที่ท่านเหยียบขึ้นสู่แผ่นดิน กัมพูชา ในเช้าตรู่วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2500 สามารถตรวจสอบพิกัดได้จาก Google Maps ดังนี้ https://maps.app.goo.gl/UT7fqG3z5TYdrca57


จุดผ่านแดนถาวรคลองใหญ่ (บ้านหาดเล็ก) เดินทางสู่แหลมด่าน (ดาวในวงเหลืองมุมขวาล่าง)
แหลมด่าน มองจาก Google Maps (ซูมจากดาวขาวในวงเหลืองภาพก่อนหน้า)


กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นการเดินทางของคนไทยกลุ่มที่ 2 ที่ไปยัง แหลมด่าน เกาะกง โดยกลุ่มแรกคือคณะของ พล.ร.จ.ประสงค์ พิบูลสงคราม บุตรชายจอมพล ป. ที่เคยเดินทางไปในเดือนกันยายน พ.ศ.2500 เพื่อติดตามข่าวคราวของบิดา แต่ไม่ได้พบตัว[8]


ปัจฉิมบท


ระหว่างทางขากลับ ห้วงคำนึงของผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า หากแม้นคราวนั้น จอมพล ป.ไม่เลือกเสี่ยงตายหลบหนี เพียงนั่งรออยู่ในบ้าน จะได้รับเพียงคำเชิญให้ออกนอกประเทศ พร้อมตั๋วเครื่องบินแบบ ‘อัศวินเผ่า’ (เผ่า ศรียานนท์) หรือไม่? หรือว่าการหลบหนีที่ใช้เวลากว่าหนึ่งวันครึ่ง ตั้งแต่ขับรถฝ่าความมืดบน ถนนสุขุมวิท ในคืนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500 มุ่งหน้าสู่จังหวัดตราด จนกระทั่งหาเรือข้ามแดนไปกัมพูชา จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือที่กองกำลังของจอมพลสฤษดิ์จะไร้หนทางจับตัวเขา?

สิบปีก่อน ในครั้งรัฐประหารหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ปรีดี พนมยงค์ก็เลือกมาในทิศทางนี้ แต่เขาเดินทางทางน้ำด้วยความคุ้มครองจากพันธมิตรคณะราษฎรสายทหารเรือ โดยใช้เวลาหลบภัยในค่ายนาวิกโยธินสัตหีบอยู่พักหนึ่ง

บางทีในค่ำคืนนั้น ขณะขับรถเลาะเลียบถนนสุขุมวิทอันว่างเปล่า จอมพล ป. อาจหวนคิดถึงอดีต วันที่เขาและเพื่อนร่วมตาย ‘คณะราษฎร’ ร่วมกันเปลี่ยนแปลงการปกครอง มโนภาพในวันวานอาจย้อนสะท้อนกลับมาผ่านม่านควันบุหรี่ในรถซีตรอง ไอน้ำที่เกาะกระจกหน้าต่าง เสียงที่ปัดน้ำฝนสอดคล้องไปกับประกาศคณะปฏิวัติและหมายเรียกตัวผ่านวิทยุของพาหนะ รวมถึงอาจแว่วเสียงเพลง ‘สุดแสนพิศวาส’ กับเนื้อร้องที่ว่า…

“พี่รักนุช สุดแสน พิศวาส แต่ความ รักชาติ นั้นยิ่งใหญ่ ตราบใด ไทยนี้คงดำรงไทย สองเราไซร้ ก็จะสุข ไปด้วยกัน…

น้องจะรัก ภักดี พี่เท่าไหร่ แต่ความ รักชาติไทยใหญ่ยิ่งกว่า ตราบใด ไทยนี้อยู่ คู่โลกา ก็จะพา เราสุข สิ้นทุกข์ภัย…”

บทเพลงที่ว่ากันว่าในยุคสมัยนั้น “มักจะเปิดขึ้นเกือบทุกครั้ง เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเกิดภาวะคับขัน ทุกๆ ครั้งที่มีการปฏิวัติ ทุกๆ ครั้งที่เกิดกรณีพิพาทระหว่างชาติ และเพลงเหล่านี้ได้นำมาเปิดอย่างครึกครื้น”[9]

อาจารย์ชาญวิทย์ แสดงทัศนะต่อการเลือกลี้ภัยไปประเทศกัมพูชาของจอมพล ป. ครั้งนั้นไว้อย่างน่าสนใจว่า

“ทำไมจอมพล ป. หนีไปเกาะกง ประเทศกัมพูชา เพราะกัมพูชากับไทย ในสมัย จอมพล ป. เป็นมิตรประเทศกัน พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตนายกกัมพูชา รับดุษฎีบัณฑิต จาก ม.ธรรมศาสตร์ หล่อมากๆ สาวธรรมศาสตร์ กรี้ดกัน พี่สาวผมที่เรียนบัญชีเล่าให้ฟัง ว่าหล่อเหลือเกิน พอไทยกับกัมพูชาทะเลาะกันเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ผมไม่ทราบเป็นใคร ทวงดุษฎีบัณฑิต คืนจากสีหนุ สีหนุแสบมาก ส่งคืนผ่านประธานาธิบดี ซูการ์โน ของอินโดนีเซีย รามคำแหงในปัจจุบัน เคยให้ดุษฎีบัณฑิต กับท่าน ฮุนเซน ยังไม่ทวงคืน ผมว่าอันนี้ก็แปลกและรู้สึกเจ็บปวดมากๆ”

และกล่าวต่อไว้อีกว่า

“เอาเข้าจริงแล้ว ผมคิดว่าในแง่ของ จอมพล ป. ท่านอาจจะตระหนักดีกว่า ถ้าไม่หนี มีสิทธิตาย เชื่อว่าการเมืองไทยในระดับสูง โหด อำมหิต ไว้วางใจมากไป ก็มีคนเตือนเหมือนกัน หนังสือเล่มนี้ (ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทยฯ) ผมว่ามีเกร็ดอะไรเยอะแยะที่ผมชอบ”[10]


จอมพลสฤษดิ์ ประกาศรัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ.2500


การลี้ภัยของ จอมพล ป. เกิดขึ้นในปีที่ท่านอายุครบ 60 ปี พอดี หากประมวลไทม์ไลน์โดยสังเขป เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในช่วงเย็นวันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500 เมื่อ 18.00 น. จอมพล ป. ขับรถออกจากทำเนียบรัฐบาล มุ่งหน้าไปตามถนนสุขุมวิท ขับต่อเนื่องตลอดคืนจนถึงจังหวัดตราดในเช้าวันอังคารที่ 17 กันยายน เวลา 06.00 น.

ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เวลา 14.00 น. คณะเดินทางลงเรือเล็กที่แหลมงอบมุ่งไปเกาะช้าง และได้พบเรือประสิทธิ์มงคล ที่จอดอยู่บริเวณเกาะไม้ซี้ตาบ้อง ค่ำวันนั้น เวลา 22.00 น. มีการติดต่อโพธิ์ ศิริ บิดาของกำนันโจ๊ด ที่บ้านหาดเล็ก ก่อนที่ เวลา 24.00 น. กำนันโจ๊ดจะนำเรือข้ามแดนไปยังเกาะกง ประเทศกัมพูชา

คืนวันที่ 17 กันยายน ต่อถึงเช้าวันพุธที่ 18 กันยายน ท่ามกลางมรสุมที่โหมกระหน่ำ ตั้งแต่เวลา 01.00 – 03.00 น. เรือประสิทธิ์มงคลต้องเผชิญพายุคลื่นลมกลางทะเล กระทั่ง เวลา 04.00 น. เมื่อมรสุมสงบแล้วจึงเดินทางถึงค่ายทหารเรือกัมพูชา ก่อนจะมุ่งหน้าต่อถึงแหลมด่าน เกาะกง เวลา 09.00 น.

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน จอมพล ป. และคณะพักอยู่ที่แหลมด่าน รอการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชา

ช่วงสายของวันศุกร์ที่ 20 กันยายน ก่อนเที่ยง เรือรบจากรัฐบาลกัมพูชาเข้ามารับตัว จอมพล ป. และผู้ติดตามอีกสองคน ขึ้นเรือในฐานะผู้ลี้ภัย ขณะที่กำนันโจ๊ด ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปซื้อของที่ตลาดเกาะกะปิ กลับมาไม่ทันได้ล่ำลา ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทยในเวลาต่อมา

บันทึกของ กำนันโจ๊ด นับเป็นหลักฐานสำคัญที่บันทึกเหตุการณ์ลี้ภัยครั้งประวัติศาสตร์ของจอมพล ป. อย่างละเอียด มีคุณค่าทางการเมืองและการปกครองไทย สมควรได้รับการศึกษาและจัดหามาอ่านเพื่อทำความเข้าใจช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย[11]

ทริปตามรอยประวัติศาสตร์ครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมครั้งหนึ่งในชีวิต เส้นทางที่แม้จะสมบุกสมบัน แต่ก็เต็มไปด้วยอากาศที่บริสุทธิ์ อาหารที่เอร็ดอร่อย และที่พักอันเป็นสัปปายะ ซึ่งผู้เขียนขอขอบคุณทั้งสองสถาบันที่เชื้อเชิญไว้ ณ ที่นี้ 

รวมทั้งปัจเจกชนกัลยาณมิตรผู้ร่วมทาง ที่ต่างร่วมสืบทอดและถ่ายทอดความทรงจำอันล้ำค่า ได้แก่

ไต้ก๋งหนุ่มในวันวาน นายประเสริฐ ศิริ หรือ ‘กำนันโจ๊ด’ ผู้พาจอมพล ป. ฝ่ามรสุมออกนอกแผ่นดินไทย

หลานปู่ของผู้นำที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทย ท่านทูตประดาป พิบูลสงคราม ผู้สืบทอดประวัติศาสตร์ในสายโลหิต

นักคิด นักวิชาการผู้ร้อยเรียงอดีตให้ฉายชัดในปัจจุบัน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์, ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กรรมการมูลนิธิจอมพล ป. ฯ , ผศ.ดร.ศรัญญู เทพสงเคราะห์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทุกคนต่างเป็นเสาหลักทางปัญญา ที่ร่วมกันขุดค้น รวบรวม และตีความประวัติศาสตร์ให้ไม่จมหายไปกับกาลเวลา

เหนือสิ่งอื่นใด คือเหล่าผู้ร่วมคณะนักเดินทางแห่งความใฝ่รู้ ต่างมุ่งสู่เส้นทางแห่งข้อมูลประชาธิปไตยไทย ไม่ใช่เพียงเพื่อมองย้อนอดีต หากเพื่อทำความเข้าใจปัจจุบัน และฝากความคิดคำนึงถึงอนาคตของแผ่นดินที่เราทุกคนกำลังร่วมกันก้าวเดินต่อไป[12]


คณะตามรอยจอมพล ป. พิบูลสงครามไปตราดและเกาะกง




[1] นริศ จรัสจรรยาวงศ์, จอมพล ป. ลี้ภัย พ.ศ. 2500 บทอวสานผู้นำคณะราษฎรคนสุดท้าย ดู https://www.the101.world/plaek-phibulsongkharm-asylum/

[2] เปิดเรื่องลับ ชีวิตช่วงสุดท้ายของ “จอมพล ป.” ก่อนลี้ภัยจากแผ่นดินไทย ดู https://www.youtube.com/watch?v=ptPaS3j6anY และ ยิ่งกว่านิยาย 3 วันอันตรายของจอมพล ป. ‘ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทย’ ดู https://www.matichon.co.th/prachachuen/book/news_4437982

[3] ประเสริฐ ศิริ (กำนันโจ๊ด), เรื่องเก่าไม่เล่าก็ลืม จอมพล ป. ลี้ภัยไปเขมร,  ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ฝากไว้ที่หาดเล็ก ตราด, พ.ศ.2567, (มติชน), น.34-79.

[4] ยิ่งกว่านิยาย 3 วันอันตรายของจอมพล ป. ‘ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทย’ ดู https://www.matichon.co.th/prachachuen/book/news_4437982

[5] วิเทศกรณีย์ (นามแฝง), เมื่อจอมพพล ป.ลี้ภัย, (พิบูลย์การพิมพ์: 2505),น.589.

[6] ชุมพล โลหะชาละ, หนีไปกับจอมพล ใน เบื้องแรกประชาธิปตัย, สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย พ.ศ.2516, (ไทยรัฐ),น.563.

[7] ชุมพล โลหะชาละ, ตำรวจอารักขา ใน  อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลตำรวจเอก ชุมพล โลหะชาละ ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร 29 ตุลาคม 2544, (บพิธการพิมพ์), น.123.

[8] คนไทยกลุ่มที่ 2 ใน 68 ปี ลงเรือตามจอมพล ป. ถึงแหลมด่าน รำลึก ‘ก้าวสุดท้าย’ ก่อนจากแผ่นดินไทยตลอดกาล ดู https://www.matichon.co.th/local/arts-culture/news_5087178

[9] วิเทศกรณีย์ (นามแฝง), เมื่อจอมพพล ป.ลี้ภัย, (พิบูลย์การพิมพ์: 2505), น.632-633. และฟัง สุดแสนพิสวาท เพ็ญศรี พุ่มชูศรี , ชรินทร์ งามเมือง ขับร้องhttps://www.youtube.com/watch?v=Of2eWv8nt9E

[10] ‘ชาญวิทย์’ ขอสปอยล์ ตอนท้ายมันส์มาก ‘ก้าวสุดท้ายฯ จอมพล ป. ‘ถ้าไม่หนี มีสิทธิตาย’ ดู https://www.matichon.co.th/entertainment/news_4430301

[11]ประดาป พิบูลสงคราม, ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ฝากไว้ที่หาดเล็ก ตราด ดู  https://www.matichonbook.com/p/4768/ก้าวสุดท้ายจากแผ่นดินไทย-จอมพล-ป-พิบูลสงคราม-ฝากไว้ที่หาดเล็ก-ตราด.html

[12] ประดาป-ชาญวิทย์ เล่าเป็นฉาก ‘ผมอยากให้ทำหนัง’ จอมพล ป. ลงเรือกำนันโจ๊ดซิ่งฝ่ามรสุม  ดู https://www.matichon.co.th/prachachuen/book/news_4502864

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save