
เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ภาพอนาคต (strategic foresight) ขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งขั้นตอนแรกคือ ‘การกวาดสัญญาณทางยุทธศาสตร์’ (Strategic Intelligence Scanning – SIS) ซึ่งจะทำให้เราสามารถสกัดเอาเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญที่จะส่งผลต่ออนาคต (good events) ออกจากเหตุการณ์ปกติที่ดำเนินต่อไปโดยไม่มีนัยสำคัญได้ ในบทความนี้ผู้เขียนขอจำแนก good events ที่ต้องใช้ประกอบการพิจารณาในการกวาดสัญญาณทางยุทธศาสตร์ออกเป็น 5 มิติ ได้แก่
1) การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยี (disruptive Technology)
2) ระบบโลจิสติกส์ที่ยังคงได้รับผลกระทบจาก COVID-19
3) ห่วงโซ่มูลค่าระดับนานาชาติ (GVCs) ที่กำลังฟื้นตัวในรูปแบบและมาตรฐานใหม่
4) วิถีชีวิตใหม่ (new normal) ที่ซับซ้อนไร้รูปแบบและไม่เหมือนเดิม
5) ปัจจัยสังคมและเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกัน (socio-economic)
ข่าวดีที่ถือเป็นโอกาสในโลกดิจิทัล คือโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะเข้ามาเปิดพรมแดนใหม่ เปิดโอกาสใหม่ และสร้างตลาดในโลกดิจิทัล ได้เกิดขึ้นมาอย่างครบถ้วนทุกองค์ประกอบ นั่นคือ ระบบกรรมสิทธิ์ การรับรองการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ ระบบการชำระเงิน และตลาด โดยทั้ง 4 องค์ประกอบเกิดขึ้นจาก 4 เทคโนโลยี นั่นคือ
1) blockchain ที่ทำให้การทำธุรกรรมบนโลกไซเบอร์ได้รับการรับรอง (certified) โดยไม่มีใครสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้โดยมิชอบ
2) ระบบการชำระเงินผ่าน cryptocurrency (เงินสกุลดิจิทัลในรูปแบบ decentralized ซึ่งไม่มีการควบคุมโดยระบบธนาคารกลางและรัฐ) และ digital currency (เงินสกุลดิจิทัลที่ออกใช้และมีการควบคุมโดยระบบธนาคารกลางและรัฐ) จะเป็นมาตรฐานใหม่ของระบบชำระเงิน
3) เทคโนโลยี non-fungible token (NFT) จะทำให้การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินดิจิทัลต่างๆ เกิดขึ้นได้
4) ตลาด (market place) ที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะมาพบกันโดยไม่ต้องพบกันทางกายภาพ แต่พบกันได้ผ่านระบบ augmented reality (AR) และ virtual reality (VR) จะเกิดขึ้นได้จริงบนโลกเสมือนที่เรียกว่า Metaverse ซึ่งถือเป็นพรมแดนใหม่ ตลาดใหม่บนโลกไซเบอร์ นั่นหมายถึงโอกาสใหม่ที่จะเชื่อมโยงกับตลาดในโลกกายภาพเดิม ในรูปแบบ cyber-physical system
แต่ในขณะเดียวกันโลกเสมือนที่เป็นตลาดใหม่ โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เหล่านี้ ก็ทำให้พวกเราต้องการระบบประมวลผลที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น นั่นทำให้ยุคหลังดิจิทัล (post-digital) ที่ทุกคนเฝ้ารอการมาถึงของ Quantum 2.0 ถูกพัฒนาขึ้นด้วยอัตราเร่ง และจะเข้ามาแทนที่ระบบประมวลผลแบบเดิมๆ ดังนั้นความท้าทายต่อประเทศไทยก็คือ คนไทยมีองค์ความรู้ในสาขา Quantum Information Science (QIS) มากแค่ไหน ผู้บริโภคและผู้ผลิตชาวไทยมีความพร้อมทางเทคโนโลยีเพียงใด เรามีความฉลาดรู้ทางดิจิทัล (digital literacy) และการคิดวิเคราะห์ในรูปแบบ critical thinking เพื่อให้คนไทยสามารถป้องกันตนเองจาก cyber-crime และ cyber attack และใช้ประโยชน์จากโลกไซเบอร์เต็มที่พอหรือยัง
ถ้าเราเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างดี โดยผู้นำและรัฐบาลร่วมกับภาคเอกชนที่มีวิสัยทัศน์ สร้างองค์ความรู้พื้นฐานให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้ ในช่วงที่เทคโนโลยี Quantum ยังอยู่ในจุดเริ่มต้นที่ทุกประเทศเริ่มต้นบนพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน โอกาสในการกำหนดตำแหน่งของประเทศไทยในเทคโนโลยีดังกล่าวก็จะคล้ายคลึงกับในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1980s ที่ไต้หวันที่เริ่มต้นลงทุนในอุตสาหกรรม semiconductor หรือในช่วงเวลาเดียวกันที่เอสโตเนียเริ่มวางวิสัยทัศน์ดิจิทัล ขณะที่สหภาพโซเวียตกำลังล่มสลายและเอสโตเนียเองยังเป็นประเทศยากจนที่มีโทรศัพท์พื้นฐานใช้ไม่เพียงพอ
เช่นเดียวกับอีกหนึ่งข้อห่วงกังวลคือ เมื่อมีเรามีโลกสองใบ ได้แก่โลกกายภาพและโลกไซเบอร์ที่เชื่อมโยงกัน นั่นหมายความว่า เราจะต้องมีอุปสงค์ต่อการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยเตรียมความพร้อมในมิตินี้แล้วหรือยัง และดีแค่ไหน ถึงแม้แนวโน้มการใช้พลังงานทางเลือกจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย แต่ในการศึกษาโครงการ ภาพอนาคตในปี 2035 : ที่ดิน พลังงาน และน้ำในประเทศไทย โดย นิพนธ์ พัวพงศกร (2560) พบว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลจะยังเป็นแหล่งพลังงานหลักของประเทศในปี 2035 โดยเชื้อเพลิงฟอสซิลหลักได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ประเด็นสำคัญที่จะเป็นความท้าทายต่อธุรกิจไทยก็คือวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายของทั้งโลก โดยประเทศไทยก็มีข้อผูกพันเช่นเดียวกับนานาประเทศในการเดินหน้าสู่ carbon-neutral ขณะที่หลายๆ ประเทศได้เริ่มต้นใช้มาตรการทางการค้าเพื่อกีดกันหรือสร้างกำแพงกีดกันสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่มีส่วนในการทำลายสภาวะภูมิอากาศ รวมถึงพลังงานฟอสซิลที่เป็นต้นทางและวัตถุดิบหลักของการผลิตสินค้าและบริการทุกชนิด ดังนั้น carbon footprint ที่สูงในภาคการผลิตไทย จะทำให้สินค้าและบริการไทยต้องพบกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มข้นและแตกต่างหลากหลายจากแต่ละประเทศมากยิ่งขึ้น