fbpx

‘หมดอายุความ’ คดีสังหารแกนนำต้านโรงโม่หินเนินมะปราง ‘พิทักษ์ โตนวุธ’ 20 ปีที่ความยุติธรรมมาไม่ถึง

“17 พฤษภา 44 กระสุนผีทะลุร่าง 

เขาตายอยู่ข้างทาง หลังทวงถามความชอบธรรม

พิทักษ์ โตนวุธ วีรบุรุษป่าเขตฝน

แกนนำของมวลชน ลูกคนจนที่ชูชัย” 

เนื้อหาบางส่วนจากเพลง ‘พิทักษ์ โตนวุธ’

ประพันธ์โดย เพื่อนชมรมค่ายอาสาพัฒนาราม-อีสาน 

17 พฤษภาคม 2544 พิทักษ์ โตนวุธ หรือ โจ แกนนำคัดค้านการก่อสร้างโรงโม่หิน ที่บ้านชมพู ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ถูกยิงด้วยกระสุน 9 นัด เสียชีวิตทันที บนถนนทางเข้าบ้านชมพู ในขณะที่ลูกสาวคนเดียวของเขาเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียง 28 วัน 

ก่อนถูกยิง พิทักษ์เดินทางไปที่อำเภอเนินมะปราง เขาได้หลักฐานสำคัญที่จะพิสูจน์ได้ว่าโรงโม่หินที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 1 ต.ชมพู ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ กลับใช้เอกสารสิทธิ ส.ค.1 ซึ่ง ‘บิน’ มาจากที่ดินหมู่ที่ 2 ต.ชมพู ซึ่งเป็นพื้นที่ประกาศเป็นแหล่งหิน หลักฐานนี้เป็นไปตามแนวทางที่เขาจะยื่นเรื่องขอให้รัฐมีคำสั่งให้โรงโม่หินนำถอนสิ่งปลูกสร้างและนำเครื่องจักรออกไปทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นเอกสารสิทธิที่ได้มาโดยมิชอบ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถพาชาวบ้านในนามเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู ต่อสู้จนโรงโม่หินต้องปิดตัวลงไปแล้วได้สำเร็จ

ชาวบ้านสันนิษฐานกันว่า การที่ ‘โจ’ หรือ ‘พิทักษ์’ ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม เพราะไม่หยุดการต่อสู้เพียงแค่การทำให้โรงโม่หินปิดกิจการไป แต่เขายังไม่วางใจ ตราบใดที่เครื่องจักรยังอยู่ โรงโม่ก็ฟื้นคืนชีพได้เสมอ ภายใต้กระบวนการลึกลับสักอย่างที่เกิดขึ้นได้และเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในบ้านเมืองนี้

พิทักษ์จึงคิดว่าต้องถอนรากถอนโคนโรงโม่หิน… แต่นั่นต้องแลกมาด้วย ‘ชีวิต’ ของเขา 

‘พิทักษ์ โตนวุธ’ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘โจ’ ไปที่บ้านชมพูครั้งแรกในฐานะนักศึกษา เขาเป็นประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรามคำแหง นำเพื่อนนักศึกษาในชมรมลงไปศึกษาสัมผัสความเดือดร้อนจริงๆ ในพื้นที่ และพบว่าการระเบิดหินทำให้ทั้งหมู่บ้านจมอยู่ภายใต้ฝุ่นละออง น้ำในลำธารไม่ใสเหมือนเดิม น้ำกินใช้ไม่ได้ น้ำฝนที่ตกลงมาก็เต็มไปด้วยคราบฝุ่นสีดำ ชาวบ้านไม่เพียงไม่มีน้ำสะอาดไว้ใช้ แม้แต่สถานที่ตากผ้าที่ซักแล้วก็ยังไม่มี เป็นชีวิตที่ถูกปกคลุมไปด้วยมลพิษ 

เมื่อพ้นจากตำแหน่งประธานชมรมอนุรักษ์ ม.รามฯ พิทักษ์ ชายหนุ่มชาวบุรีรัมย์ จึงอาศัยความรู้ด้านกฎหมาย จากการเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ไปร่วมหัวจมท้ายร่วมต่อสู้กับชาวบ้านจนกลายเป็นที่ปรึกษาเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู ระหว่างที่ร่วมต่อสู้กับชาวบ้าน เขาพบคู่ชีวิตที่นั่น แต่งงาน มีลูกสาว เรียนจบ แต่ระหว่างรอรับปริญญา เขาก็ถูกยิงเสียชีวิตไปเสียก่อน 

และในวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 คดีสังหาร พิทักษ์ โตนวุธ ถึงคราว ‘หมดอายุความ’ โดยที่ยังไม่มีใครถูกลงโทษแม้แต่คนเดียว 

“นักอนุรักษ์หนุ่ม บัณฑิตหนุ่มคณะนิติศาสตร์ ว่าที่นักกฎหมายเพื่อมวลชน คุณพ่อของลูกสาวที่ยังอายุไม่ครบ 1 เดือน พี่โจของน้องๆ ร่วมอุดมการณ์ด้านการอนุรักษ์ต้องตายฟรี” 

เป็นนักต่อสู้อีกหนึ่งในหลายๆ คนที่ถูกฆ่าตาย แต่ในทางคดี ไม่มีคนผิด ไม่มีคนฆ่า ไม่มีคนสั่งการ ไม่มีคนใช้จ้างวาน… ไม่มีใครต้องรับผลจาก ‘กระบวนการยุติธรรม’ จากการฆ่าคนตายครั้งนี้เลย 

“ยึดมั่นความถูกต้อง ปกป้องสิ่งแวดล้อม” เป็นคติประจำตัวของพิทักษ์ เพราะเขาเป็นนักศึกษากฎหมาย เขาเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และเชื่อว่าจะใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ 

แต่เราจะไปดูกันว่า เกิดอะไรขึ้นกับกระบวนยุติธรรม หลังการตายของพิทักษ์ โตนวุธ

คดีการสังหารนักอนุรักษ์คัดค้านโรงโม่หิน ที่ ต.ชมพู อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 มีกลุ่มคนร้ายที่ถูกจับกุมตัวได้รวม 3 คน มี 1 คนถูกกันเป็นพยาน อีก 2 คนถูกส่งฟ้องขึ้นสู่ศาล

ตลอดการทำคดี ชาวบ้านในนามเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู พยายามยื่นหนังสือไปที่จังหวัด ตำรวจภูธรภาค 6 และกองบังคับการปราบปราม ขอให้ส่งทีมสืบสวนสอบสวนจากนอกพื้นที่ หรือทีมจากส่วนกลางลงมาทำคดีนี้ เพราะหากการตายของพิทักษ์เกี่ยวข้องกับการคัดค้านโรงโม่หินตามที่พวกเขาเชื่อเช่นนั้น พวกเขาก็เชื่อด้วยว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้มีอิทธิพล จึงไม่มั่นใจในการทำงานของตำรวจท้องที่ 

แต่ข้อเรียกร้องเหล่านี้ก็ไม่เป็นผล คดีสังหารพิทักษ์ โตนวุธใช้พนักงานสอบสวนจาก สภ.เนินมะปราง และตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลกเป็นผู้ทำคดี 

“ผมพูดทุกครั้งที่ไปร้องเรียนว่า ถ้าใช้ตำรวจท้องที่ไม่มีทางจับคนสั่งฆ่าโจ (พิทักษ์) ได้ ต้องให้ส่วนกลางลงมาทำ” 

นั่นเป็นคำกล่าวของนายแวะ สมใจ อดีตประธานเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู ซึ่งเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์สังหาร เพราะเขานั่งรถจักรยานยนต์มาด้วยกัน แต่คนร้ายเลือกที่จะสังหารพิทักษ์เพียงคนเดียว หลังยิงรถจักรยานยนต์ล้มลงไปแล้ว 

นายแวะ จึงเป็นพยานเพียงคนเดียวที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนเหตุการณ์นี้ 

“แม้แต่คนร้ายที่ถูกจับกุมก็มาจากการที่ชาวบ้านส่งข้อมูลไปให้ตำรวจ” นายแวะเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน 

“มีอยู่วันหนึ่ง มีคนแปลกหน้าสองคนมากราบศพโจ ผมเห็นสองคนนี้ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน หน้าก็ไม่คุ้น ไม่ใช่เครือข่ายที่ร่วมต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ผมก็เลยไปเรียกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาถ่ายรูปสองคนนี้ไว้ ต่อมาภายหลังจึงเอารูปที่ถ่ายไว้ไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลต่างๆ จึงพบว่าทั้งสองคนถูกทางการตามจับตัวอยู่ มีรูปอยู่ในที่ทำการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสถานีตำรวจ เราจึงส่งข้อมูลของสองคนนี้ให้ตำรวจ จึงรู้ว่าน่าจะเป็นคนร้ายในคดีนี้”

“ถึงผมจะอยู่ในเหตุการณ์ที่โจถูกยิง แต่ผมก็จำหน้าคนร้ายไม่ได้ รู้แค่ว่ามากันสองคน มือปืนใส่ไอ้โม่ง คนขับรถใส่หมวกกันน็อก และตอนที่เกิดเหตุผมก็กลัวจนไม่กล้าหันไปมองหน้าคนร้ายเลย แต่ที่ผมให้ผู้ช่วยมาถ่ายรูปสองคนนั้น เพราะมีพฤติกรรมแปลกๆ ในวันที่มาเคารพศพ” นายแวะเล่าเพื่อยืนยันว่าพยานในเหตุการณ์คนเดียวอย่างเขาจำคนร้ายไม่ได้ แต่ก็เป็นคนที่ส่งรูปถ่ายคนร้ายให้ตำรวจ

เมื่อมีข้อมูลของคนร้าย ตำรวจจึงจับกุมชายสามคน ทั้งหมดรับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวน ว่าเกี่ยวข้องกับการสังหารแกนนำคัดค้านโรงโม่หิน  

คนแรกคือ นาย ค. ซึ่งถูกระบุว่าเป็นผู้ชี้เป้า และต่อมาถูกกันเป็นพยาน คนที่สอง นาย บ. ซึ่งรับสารภาพว่าเป็นคนจัดหามือปืน คนที่สาม นาย น. ซึ่งรับสารภาพว่าเป็นขับรถจักรยานยนต์ให้มือปืน แต่ไม่สามารถจับกุมตัวมือปืนได้ ทั้งที่รู้ว่ามือปืนเป็นใคร รู้ด้วยว่าชื่อนายสุริยะ 

เมื่อในกลุ่มผู้ต้องหาไม่มีมือปืนอยู่ด้วย จึงไม่มีหลักฐานเป็นอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุมาเทียบกับกระสุนปืน ส่วนพยานเพียงคนเดียวก็ไม่เห็นหน้าคนร้าย ‘คำสารภาพของผู้ต้องหา’ จึงกลายเป็นพยานหลักฐานเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในสำนวนการสืบสวนสอบสวนที่ส่งให้อัยการส่งฟ้องต่อศาล และนั่นกลายเป็นจุดพลิกผันของคดี 

การเบิกความในชั้นศาลดำเนินไปถึงประมาณปี 2547 ในที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 2 คน 

จำเลยทั้ง 2 คน กลับคำให้การในชั้นศาล โดยกล่าวอ้างว่าที่รับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวน เพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายเพื่อบังคับให้รับสารภาพ พร้อมยื่นหลักฐานใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่ามีร่องรอยถูกทำร้ายจริง ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง และได้รับอิสระพร้อมเงินชดเชยเยียวยาจากการที่ถูกขังอยู่ประมาณ 2 ปี 

เมื่อหลักฐานในสำนวนมีเพียงคำสารภาพของผู้ต้องหาเท่านั้น เพียงแค่ผู้ต้องหาสามารถทำให้คำสารภาพของพวกเขากลายเป็นหลักฐานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือไปได้ พวกเขาจึงพ้นจากข้อกล่าวหาไปได้ตามกระบวนการยุติธรรม โดยหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษา ทางพนักอัยการก็ไม่ยื่นอุทธรณ์ เพราะไม่มีพยานหลักฐานใหม่เพียงพอที่จะยื่นอุทธรณ์ได้ 

นายเชาว์ เย็นฉ่ำ ที่ปรึกษาเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพูคนปัจจุบันเล่าว่า การที่คดีของพิทักษ์จบลงง่ายๆ แบบนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายจากชาวบ้านว่า เหตุใดพนักงานสอบสวนจึงมีพยานหลักฐานเพียงเท่านี้ เหตุใดจึงไม่ติดตามนำตัวมือปืนที่รู้ตัวแล้วมาให้ได้ และเหตุใดในสำนวนการสืบสวนจึงไม่พยายามเชื่อมโยงไปหาผู้บงการฆ่า ทั้งที่ทุกคนรู้อย่างชัดเจนว่า ในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต ‘พิทักษ์’ กำลังต่อสู้อยู่กับ ‘ใคร’ 

“ในช่วงของการต่อสู้คดี ทนายความของฝั่งชาวบ้านถูกข่มขู่ ถูกขับรถตาม เข้าถึงข้อมูลไม่ได้ จนทนายความเองยอมรับว่ากำลังต่อสู้กับอิทธิพล เรื่องพวกนี้ก็ไม่อยู่ในสำนวนเพื่อจะสืบหาว่าใครเป็นคนบงการ และในวันครบรอบวันตายของโจทุกปี เราไปติดตามความคืบหน้าคดีที่ศาลากลางจังหวัด เขาก็ส่งตำรวจเจ้าของคดีมาทุกปี เราบอกได้ว่ามือปืนหลบหนีไปอยู่จังหวัดไหน ส่งข้อมูลเพิ่มให้ตำรวจ แต่ก็ไม่เคยมีความคืบหน้าอะไรเลย” นายเชาว์เล่าถึงวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่ในคดีนี้ 

จากปี 2547 มาถึง 2564 จึงเป็นช่วงเวลา 16-17 ปี ที่คดีการถูกสังหารกลางถนนของนักอนุรักษ์คนหนึ่ง ไม่มีความคืบหน้าอีกเลย 

จนกระทั่ง 17 พฤษภาคม 2564 ‘คดีหมดอายุความ’ 

จากการยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้าของคดี จากความหวังของชาวบ้านชมพู ที่ยังต้องการให้กระบวนการยุติธรรมติดตามตัวคนร้ายที่สังหารฮีโร่ของพวกเขามารับผลกรรมให้ได้ เนื้อหาในการเคลื่อนไหวเปลี่ยนไป 

กลายเป็น ‘การเย้ยหยันต่อกระบวนการยุติธรรมที่มาไม่ถึง’ 

“วีรบุรุษป่าเขตฝน นักอนุรักษ์ทรัพยากร 

สิ่งแวดล้อม ป่าสูญ คนสิ้น ดินตาย 

หลั่งเลือดที่ริน ไอดินที่ร่ำไห้ 

ภูผาสะเทือนใจ แมกไม้ใหญ่จวนสิ้นแรง” 

จากบทเพลง ‘พิทักษ์ โตนวุธ’

“ยึดมั่นความถูกต้อง ปกป้องสิ่งแวดล้อม”

แด่พิทักษ์ โตนวุธ นักกฎหมาย นักอนุรักษ์ ผู้ที่ใช้กระบวนการยุติธรรมในการต่อสู้ แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม 

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Life & Culture

1 Feb 2019

ทรมานแสนสุขสม : เปิดโลก ‘BDSM’ รสนิยมทางเพศที่ตั้งต้นจากความยินยอมพร้อมใจ

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์ ชวนสำรวจรสนิยมทางเพศแบบ BDSM ผ่านการพูดคุยกับสองสาวเจ้าของเพจ Thailand BDSM : Let’s Play and Learn ว่าด้วยนิยาม รูปแบบ คำอธิบายของความสุขในความเจ็บปวด ไปจนถึงความเสี่ยงในการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อตามหาผู้มีรสนิยมแบบเดียวกัน พร้อมเก็บบรรยากาศการแสดง ‘ชิบาริ’ โดยศิลปินชาวญี่ปุ่นมาเล่าสู่กันฟังอย่างถึงเนื้อถึงหนัง

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

1 Feb 2019

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save