fbpx

“เพื่อการเมืองชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า” ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช กับบทพิสูจน์ของการเป็นทายาทนักการเมืองและหัวหน้าพรรคอายุน้อยที่สุด

ฮาย-ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช กลายเป็นนักการเมืองหญิงอายุน้อยที่สุดที่ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองตั้งแต่ประเทศไทยมีประชาธิปไตย เมื่อมติพรรคเพื่อชาติลงคะแนนให้เธอนั่งเป็นหัวเรือใหญ่ พาทุกคนล่องผ่านกระแสการเมืองไทยในยุคสมัยที่อะไรไม่คิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น

แม้จะมีข้อสงสัยว่าเธอขึ้นมาสู่ตำแหน่งใหญ่ๆ ได้ตั้งแต่ลงสนามการเมืองครั้งแรก เพราะชื่อเสียงของครอบครัวช่วยผลักดันหรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นพ่อ-ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต ส.ส. พรรคพลังประชาชน ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ โฆษกสำนักนายกฯ, เลขาธิการนายกฯ และรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หรือพี่ชาย-มิตติ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรคไทยรักษาชาติ 

ปวิศรัฐฐ์ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่เธอยืนยันว่าจากประสบการณ์การเป็นประธานสโมสรฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ดก็เปรียบกับสนามการเมืองขนาดย่อมที่เธอได้ทดลองบริหารและนำทัพส่งเสียงเรียกร้องสิทธิ กติกา และความเป็นธรรมในการทำงาน คล้ายกับการเมืองภาพใหญ่ที่ประชาชนกำลังทวงคืนสิทธิและเสียงเพื่อระบบกติกาที่เป็นธรรม

แต่นั่นไม่ใช่บททดสอบเดียวที่การเมืองไทยมีให้กับหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ท่ามกลางสนามการเมืองที่กติกาไม่เอื้อต่อพรรคเล็ก การเข้ามาเปลี่ยน ‘แบรนดิ้ง’ พรรคเพื่อชาติจากกลุ่มบริหารชุดที่ผ่านมา การทำงานของนักการเมืองหญิงในพื้นที่ที่ผู้ชายครองความเห็นส่วนใหญ่ และการลบคำสบประมาทการเป็นลูกสาวตระกูลการเมือง เหล่านี้คือบทพิสูจน์ที่ปวิศรัฐฐ์ต้องทำงานเพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าเธอ-ในฐานะหัวหน้าพรรคที่อายุน้อยที่สุด จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ “ภายในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า” 

นี่คือคำตอบของหัวหน้าพรรคเพื่อชาติต่อข้อพิสูจน์เหล่านั้น ในช่วงที่การเมืองไทยกำลังเดินทางเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในรอบ 4 ปี

พรรคเพื่อชาติเปิดตัวรีแบรนด์ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ก่อนจะมีการประกาศยุบสภาและเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ คุณและทีมวางแผนกระบวนการทำงานเพื่อเตรียมเข้าสู่สนามการเลือกตั้งอย่างไรบ้าง  

เรายึดหลักของอุดมการณ์และวิธีการทำงานเป็นหลัก เพราะตอนนี้กติกาการเลือกตั้งก็ไม่ได้เอื้อต่อพรรคเล็กอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้คิดจะมาทำพรรคนี้แค่ชั่วคราว เราตั้งใจมาผลักดันประเด็นที่เป็นความเชื่อของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นต่อให้ไม่ได้ ส.ส. แม้แต่ที่นั่งเดียว เราก็มั่นใจว่าพรรคนี้จะไม่ล้มหายตายจากไป จะยืนหยัดทำงานตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะสมัยนี้หรือสมัยถัดไป  

ตอนที่เห็นว่าเริ่มมีกติกาเลือกตั้งไม่เอื้อต่อพรรคเล็ก ในพรรคพูดคุยกันอย่างไรบ้าง 

แน่นอนว่าเราต้องรู้สึกว่ายากมากๆ ที่จะทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายภายใต้กติกาแบบนี้ เราคุยกันว่าจะเอาอย่างไรดี จะไปทางไหนต่อ จะเลิกทำพรรคนี้แล้วไปรวมกับพรรคอื่นหรือ เราก็ไม่ได้มองว่าจะทำแบบนั้น เราคุยกันว่าไม่มี ไม่หนี ไม่ไป จะยังอยู่ตรงนี้ ต่อให้เราไม่ได้ ส.ส. เลยก็ตาม อย่างที่บอกว่าเราตั้งใจจะทำพรรคนี้ให้ยั่งยืนอยู่ได้ระยะยาว เราจะทำกิจกรรมทางการศึกษาของเราเพื่อยืนยันแบรนด์โมเดลและสิ่งที่เราตั้งใจทำให้ประเทศนี้ ดังนั้นเรายืนยันว่าต่อให้เป็นพรรคเล็ก มีกันเท่านี้ แต่เราสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน 

ในฐานะส่วนตัว เราเติบโตในด้านการเมืองมาและการเมืองก็เคยสร้างบาดแผลในใจมาตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คิดว่าอยากเข้ามาทำงานการเมือง เพราะไม่ตอบโจทย์ต่อชีวิตการทำงานเรา แต่เมื่อมีโอกาสเข้ามา เราก็อยากอยู่ในพรรคที่ตอบโจทย์ตัวเราอย่างแท้จริง ไม่ได้อยากจะไปอยู่ในพรรคการเมืองอื่น เราอยากอยู่ในพื้นที่ที่สามารถสร้างวัฒนธรรมการทำงานของเราและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้ เป็นพื้นที่การเมืองที่เราอยากมาทำงานจริงๆ เราก็เลยยืนหยัดที่จะไม่ย้ายไปไหน ไม่ไปรวมกับใคร แล้วก็ตั้งใจที่จะทำพรรคเพื่อชาติให้เป็นสถาบันการเมืองอย่างแท้จริงที่เราอยากอยู่เอง 

ที่คุณบอกว่าเจ็บช้ำกับบาดแผลทางการเมืองที่ครอบครัวเคยเจอ และก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้อยากเข้ามาทำงานการเมือง แล้วอะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อชาติในท้ายที่สุด

ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเรียน ที่เราเลือกเรียนนิติศาสตร์ เพราะอยากเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับการเมืองไทยและประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะไรที่เกิดกับครอบครัวเรา ทำไมพ่อแม่และพี่ชายถึงถูกตัดสิทธิทางการเมือง เราอยากอ่านคำพิพากษาเข้าใจ อ่านกฎหมายเข้าใจ เราอยากเรียนกฎหมายเพื่อที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเหตุผลเบื้องหลังของทุกๆ อย่างคืออะไร 

แต่ตอนนั้นตั้งใจจะมุ่งเข้าสู่สายกฎหมายเลย ไม่ได้อยากทำงานการเมืองขนาดนั้น เพราะเรามองการเมืองเป็นพื้นที่ที่มีแต่ความขัดแย้ง เป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัยที่เราจะเอาตัวเองเข้ามา ซึ่งเราอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องโดนเหมือนกันก็ได้ 

แต่พอเรียนจบเนติบัณฑิต เราเข้าไปทำงานหลากหลาย เช่นทำธุรกิจซักรีด ซึ่งเป็นงานที่ได้ช่วยคนที่ไม่มีเวลาซักผ้า แล้วค่าครองชีพแพง เราคิดแพ็กเกจที่ตอบโจทย์กับคน ประกอบกับตอนนั้นในซอยบ้านเรามีศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียงแล้วไม่มีร้านอื่นรับซักเลย พอทำไปแล้วก็ค้นพบว่าสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตคือเราอยากเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นและสังคม สิ่งที่เราจะทำเพื่อสังคมคือความสุขที่แท้จริงมากกว่ากำไรที่เราได้เป็นตัวเงิน เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตตอนนั้นเลย

การเมืองก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เราจะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นและประเทศชาติได้ ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว ครอบครัวก็ผ่านมาหมดแล้ว ถ้าเราจะเป็นอีกสักคนที่โดนตัดสิทธิการเมืองก็คงไม่น่ากลัว เพราะแค่หยุด ถ้าพ้นแล้วก็กลับมาทำงานได้อยู่ดี แต่เราก็ไม่อยากให้การเมืองเป็นแบบนั้น เราอยากแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้กฎหมายไม่ใช่เครื่องมือทางการเมือง กฎหมายควรอำนวยความยุติธรรมได้จริง เราอยากมาอยู่จุดนี้เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้โดยเริ่มจากคนตัวเล็กเล็กคนหนึ่ง

พอเรียนกฎหมายแล้วเนื้อหาเป็นแบบที่คุณคิดไว้ไหม คุณเข้าใจสิ่งที่ครอบครัวคุณต้องประสบภัยทางการเมืองมากขึ้นหรือเปล่า

เป็นแบบที่เราคิดเลย อาจารย์ที่สอนเราคืออาจารย์ทางกฎหมายที่อยู่ในสายการเมืองด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์วิษณุ เครืองาม อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล ที่เราเห็นในข่าวทั้งหมดก็คืออาจารย์ของเราทั้งสิ้น เราเข้าไปเรียนก็รู้ว่าในหนังสือเป็นแบบนี้นะ แต่ในเชิงปฏิบัติอาจจะไม่ได้ตรงกับหลักกฎหมายหรือหลักนิติรัฐนิติธรรมอย่างแท้จริง ทำให้เราตระหนักและเข้าใจว่า เออ การเมืองก็เป็นแบบนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร คนในยุคเราจะทำอย่างไรต่อไป เราจะเป็นแบบอาจารย์หรือไม่เป็น 

อันนี้ต้องพูดตรงๆ เพราะตอนไปเรียน เราก็ค่อนข้างทุกข์ใจเหมือนกัน เราผิดหวังกับการได้เจอสิ่งที่เรียนกับความเป็นจริงไม่เหมือนกัน เคยคิดอยากหนีไปอยู่เมืองนอกเลย ตอนเข้าไปเรียนปีหนึ่งร้องไห้ สิ้นหวัง และช่วงนั้นมีการชุมนุม กปปส. ซึ่งคนในคณะก็ไปร่วมด้วย เรามองว่ามันเป็นเทรนด์ที่ไม่ได้ยึดหลักที่ถูกต้อง แต่ยิ่งทำให้เรารู้สึกแปลกแยกจากสังคมในคณะ คือเรายืนหยัดต่อสิ่งที่ตัวเองเชื่อ บางทีเดินออกมาจากห้องก็ได้ยินเพื่อนพูดว่า “อ๋อ เสื้อแดงไม่คบหรอก” 

ตอนนั้นคิดว่าสังคมการเมืองทำให้เกิดความแตกแยกขนาดนี้ได้จริง ขนาดเราเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันยังคุยกันไม่ได้เลย มันก็ค่อนข้างรุนแรง แต่ก็ทำให้เรายอมรับความจริงและตกผลึกกับตัวเอง แล้วก็มีแรงผลักดันให้ตัวเองมองว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างที่ดี เราจะสู้จนเรียนจบ คุณสมบัติข้อหนึ่งของตัวเราคือเป็นคนอดทนมาก เราต้องเรียนรู้และเราชินกับความเจ็บปวดมาโดยตลอด เรารู้ว่าความเจ็บปวดนี้ไม่ได้เกิดจากเพื่อน แต่เกิดจากระบบของประเทศที่ทำร้ายเรามาตลอด  

พอผลลัพธ์ที่ครอบครัวเจอในการเมืองส่งผลมาถึงเรา ทำไมมันไม่ใช่ความรู้สึกของการไม่เอาแล้ว ไม่ยุ่งหรอก แต่กลายเป็นเชื่อว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้

ก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนั้นนะที่จะไม่เอา จนกระทั่งมาทำงานฟุตบอล ฟุตบอลเปลี่ยนชีวิตฮายเยอะ เราเข้ามาทำงานสโมสรเชียงราย ยูไนเต็ดกับพี่ชาย (มิตติ ติยะไพรัช) แล้วก็ทำงานมาด้วยกันตลอด ทำให้เราเรียนรู้สนามการเมืองจำลองย่อมๆ เราจะเห็นว่าเจ้าของทีมอื่นๆ ก็เป็นนักการเมืองหรือเป็นอดีตนักการเมือง เจ้าของธุรกิจ เจ้าสัว ทำให้ยิ่งเห็นว่าสังคมประเทศชาติของเราเป็นอย่างนี้นี่เอง 

ถามว่าเราสู้กับสิ่งเหล่านี้ไหวไหม ด้วยความที่เราเป็นคนยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว และเรายืนหยัดแบบนั้นตลอดมา ต่อให้เรารู้ว่าทรัพยากรที่เรามีอยู่ในมือน้อยกว่าทีมอื่นก็จริง แต่เรายังประสบความสำเร็จได้ ก็ต้องมีคนแบบเราที่พร้อมสู้กับระบบแบบนี้ 

นี่แหละ นอกจากสนามฟุตบอลแล้วเราก็ต้องก้าวสู่สนามการเมืองเพื่อให้เราเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเราไม่ค่อยกลัว ไม่รู้ทำไมนะ เพราะว่าผ่านทุกอย่างมาหมดแล้ว แทนที่จะแหยงไม่อยากทำเลย แต่เรากลับคิดว่าต้องสู้ แล้วเราก็สู้ได้ด้วย 

ในมุมมองของคุณ สนามการเมืองกับสนามฟุตบอลเหมือนกันอย่างไร

สนามฟุตบอลเหมือนสนามการเมืองย่อมๆ เลย เวลาเราเลือกนายกสมาคมฟุตบอล เรามีสิทธิเลือกเข้ามาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นแน่นอนว่ามีเรื่องพวกพ้อง มีเรื่องการอำนวยความยุติธรรม-ความไม่ยุติธรรม การจัดสรรงบประมาณต่างๆ คล้ายแบบจำลองของประเทศ ที่นี่เลยเป็นสถานที่ฝึกการเมืองของเรา  

ตอนอยู่สนามฟุตบอล เราก็ทำหลายอย่าง บางทีทางผู้มีอำนาจเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องของตัวเอง ทีมอื่นอาจไม่มีใครที่กล้าออกมาพูดหรือต่อสู้ว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่เราใช้โซเชียลมีเดียในการออกมาพูดแล้วก็ยืนหยัดเพื่อจุดประเด็นทางสังคมได้ โดยที่สื่อให้ความสนใจ และผู้มีอำนาจต้องออกมาตอบเราว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้  

หรือแม้แต่บางทีไม่ใช่เรื่องของเราเลย แต่เราพร้อมจะยืนหยัดเพื่อคนอื่น เช่น เขาบอกว่าโควต้าที่จะได้ไปเล่นระดับเอเชียเป็นตามกฎนี้นะ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่แข่งกันเสร็จแล้ว คุณมาเปลี่ยนกฎทีหลัง ซึ่งไม่ได้กระทบกับเรา แต่กระทบกับทีมอื่น เราก็บอกว่าพร้อมยืนหยัดเพื่อทีมที่เสียผลประโยชน์ เขาไม่ควรได้รับการกระทำแบบนี้ ต้องมีความยุติธรรม 

ถ้าสนามฟุตบอลกับสนามการเมืองมีความคล้ายกัน พอเข้ามาทำงานการเมืองจริงๆ มีอะไรที่ต้องปรับตัวไหม

มีนะคะ เราคิดว่าทำฟุตบอลก็ยากแล้ว แต่การเมืองยากกว่า เราค่อนข้างคอนโทรลการทำงานในฟุตบอลได้ วางกรอบการทำงาน มีอำนาจวางแผนได้ เพราะว่าเราบริหารงานเองร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วฟุตบอลอาศัยการตัดสินใจเด็ดขาดรวดเร็ว แต่ก็ค่อนข้างเป็นแพตเทิร์นวนลูปในการทำงาน พอทำมาหลายๆ ปี เรารู้วิธีการทำงานให้สมูทและง่ายได้แล้ว 

แต่พอเป็นการเมือง ประเด็นเปลี่ยนทุกวัน มีประเด็นให้เราคิดทุกวัน ไม่สามารถคอนโทรลอะไรได้หลายๆ อย่าง เพราะไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่ยังมีปัจจัยหลายอย่างมากที่ทำให้การเมืองมีความไม่แน่นอน และเราก็ต้องปรับตัวในการยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ อย่างเช่น เรื่องกติกาหารคะแนนเลือกตั้ง ตอนแรกเราคิดว่า ถ้าเป็นกติกาแบบเดิมเราก็สบาย แต่พอมีการเปลี่ยนใหม่ เราจะทำยังไงที่ยอมรับตรงนี้ได้ เพราะเราแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่คงต้องทำให้ดีที่สุดและยึดมั่นในหลักการต่อไป 

สำหรับคุณแล้วอะไรคือคุณสมบัติที่นักการเมืองต้องมี ซึ่งแตกต่างจากการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล  

จริงๆ ก็มีคล้ายกัน เพราะอย่างที่บอกว่าสองสนามนี้มีลักษณะคล้ายๆ กัน แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตว่าผู้นำทางการเมืองเรายังขาดคือการฟังให้เป็น เพราะนักการเมืองคิดเองแล้วก็พูด แต่ไม่เคยฟังเลย ทักษะที่สำคัญของการเป็นผู้นำคือการฟังและมีความเข้าอกเข้าใจว่าแต่ละกลุ่มปัญหา แต่ละนโยบาย เราจะเข้าไปแก้ไขอย่างไร โดยที่เราไม่คิดเอง 

พอก้าวเท้าสู่การเมือง ครอบครัวให้คำแนะนำอะไรไหม

เชื่อไหมคะว่าในบ้านเราพูดคุยกันเรื่องการเมืองน้อยมาก มันเป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติให้เราเห็นมากกว่า ไม่มีการใส่ข้อมูลในสมองแต่ละคนว่าใครต้องทำตัวอย่างไร ใครต้องพูดอะไรอย่างไร เราเติบโตมาด้วยเสรีภาพและอิสระทางความคิด ใครจะคิดอะไร ทำอะไร พูดอะไร แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ที่ไม่เหมือนกันเลย ให้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะมากกว่า 

เราเคยมีมุมมองตอนเด็กด้วยซ้ำว่า ที่บ้านเราคิดถึงสังคมมากกว่าครอบครัวด้วยซ้ำ พ่อกับแม่ให้เวลากับพี่น้องประชาชน และประเด็นทางสังคมมากกว่าเรื่องในบ้านด้วยซ้ำ  

เคยน้อยใจไหม

มี ตอนเด็กน้อยใจมาก อีกหนึ่งเหตุผลที่เราไม่อยากเล่นการเมือง เพราะเราไม่อยากไม่มีเวลาขนาดนั้น อันนี้ตอนเด็กนะ แต่พอโตขึ้นแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมเขาเป็นอย่างนั้น เพราะตอนนี้เราก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เราไม่มีเวลาเหมือนกัน (หัวเราะ) พอเราทำงานหนักจนไม่นึกถึงตัวเอง พักผ่อนไม่พอ เราเพิ่งป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไป ตอนหลังคิดว่าต้องบาลานซ์ให้มากกว่านี้ ต้องเริ่มดูแลตัวเองก่อน ทำให้สุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจก่อนที่จะไปทำประโยชน์ให้กับสังคม 

การเติบโตในครอบครัวที่แวดล้อมในสนามการเมืองมาตลอดช่วยปลูกฝังแนวคิดหรือวิธีคิดอะไรให้คุณบ้างไหม

มันค่อนข้างทำให้เราคุ้นเคยกับกับการเมืองไม่ว่าในรูปแบบไหน คุ้นเคยกับความไม่แน่นอน ความเป็นบุคคลกึ่งสาธารณะ หมายถึงเราเป็นคนที่มีคนรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเราเป็นลูกของใคร แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักเรานะ เพียงแต่ก็มีส่วนหนึ่งรู้จักจนเราชินกับการอยู่ในแสงไฟ ชินกับการที่ต้องออกงานกับพ่อแม่ ลงพื้นที่ เราต้องแอ็กทีฟ สิ่งนี้หล่อหลอมให้เราไม่ต้องปรับตัวอะไรมากตอนมาทำงานการเมือง เพราะเราใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก  

เคยมีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกับคนในบ้านไหม

มีๆ จริงๆ หลักการพื้นฐานทางด้านประชาธิปไตยหรือความเท่าเทียมมีเหมือนกัน แต่วิธีการทำงานหรือวิธีการมุ่งไปสู่เป้าหมายไม่เหมือนกัน บางคนอยากก้าวกระโดด บางคนอยากค่อยเป็นค่อยไป อันนี้คือสิ่งที่ไม่ตรงกัน แต่โดยแนวคิดพื้นฐานแล้วค่อนข้างตรงกัน ไม่ว่าใครจะอยู่เพื่อไทย ไทยรักษาชาติ หรือเพื่อชาติ มันค่อนข้างเป็นแกนเดียวกัน แต่แค่วิธีการทำงานไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็มีคาแร็กเตอร์ไม่เหมือนกันเลย

สมาชิกในบ้านคุณแต่ละคนมีคาแร็กเตอร์ทางการเมืองแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

คุณพ่อค่อนข้างจะเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จรวดเร็ว แต่เราเป็นรุ่นที่สอง เราไม่ได้อยากรีบก้าวกระโดดเท่าพ่อ เราอยากค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ส่วนพ่อจะมองภาพกว้างเป็นหลัก คิดหลายอย่าง แต่เราคิดว่าบางทีประเด็นเล็กๆ ก็เปลี่ยนแปลงสังคมได้เหมือนกัน ก็เลยต่างกันตรงนี้ เรามองว่าไม่ว่าจะผลักดันประเด็นอะไรก็มีส่วนช่วยให้ประเทศเปลี่ยนได้เหมือนกัน เราอาจจะทำเล็กๆ ของเราไปเรื่อยๆ 

ส่วนคุณแม่เน้นเรื่องที่คุณแม่สนใจไปเลย เช่น สิทธิสตรี เด็ก และสิทธิอื่นๆ เราอาจจะคล้ายคุณแม่ ส่วนพี่ชายจะคล้ายคุณพ่อ 

คาแร็กเตอร์ต่าง ความคิดเห็นต่าง แล้วมีพื้นที่ในการถกเถียงกันไหม

มีค่ะ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกเลย ต่างคนต่างเข้าใจกัน แล้วพอให้เสรีภาพ ทุกๆ คนก็เดินตามทางของตัวเองเลย

แม้คุณจะบอกว่าคาแร็กเตอร์และความคิดของสมาชิกในบ้านต่างกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเสียงที่เลือกคุณเป็นหัวหน้าพรรคก็เพราะบทบาททางการเมืองของครอบครัวคุณ คุณจะสื่อสารกับคนอื่นๆ อย่างไรว่าคุณมีตัวตนของคุณที่ไม่เกี่ยวโยงกับที่บ้าน และไม่ใช่เงาที่เป็นตัวแทนของใคร  

เรามั่นใจว่าสิ่งนี้ทุกคนสัมผัสได้จากลักษณะการพูด ที่แตกต่างกันชัดเจนอยู่แล้ว คาแร็กเตอร์ของพ่อกับพี่ชายอาจจะดูผู้ชายลุยๆ แต่เราอาจจะค่อยๆ พูดเนิบๆ

หรืออย่างวิธีคิดการทำงาน เช่นเรื่องการศึกษาที่เราเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนได้ด้วยการเปลี่ยนการศึกษา แน่นอนว่าแนวทางการทำงานแบบนี้ไม่เหมือนพ่อหรือพี่ชายอยู่แล้ว มันคือสิ่งที่เราและทีมงานตั้งใจจะสื่อออกไปในฐานะพรรคเพื่อชาติ ซึ่งมีความแตกต่างกันชัดเจน เราเลยไม่ได้กลัวหรือกังวลว่าเราจะมาเป็นเงาหรือมาเป็นอะไรก็ตาม อยากให้โฟกัสถึงสิ่งที่เราทำและสิ่งที่เราตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงมากกว่า 

พอคนมองเรื่องครอบครัวตลอด กดดันไหมว่าจะทำงานพลาด

ไม่เคยคิดเลยค่ะ (ตอบทันที) ตั้งแต่เรื่องฟุตบอล ตอนที่พี่ชายทำงาน เขาพาทีมประสบความสำเร็จมามากมาย พอมารับตำแหน่ง เราก็ไม่ได้กดดันจากการถูกคาดหวัง แต่มองว่าเป็นข้อดีด้วยซ้ำที่ทำให้เรามีฐานที่ดีและเราจะต่อยอดให้ประสบความสำเร็จไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ เราไม่ได้มองว่าเราจะแข่งขันกันกับพี่ชาย แต่เราจะต่อยอด ช่วยกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งคือสิ่งที่ดี เราไม่มีความกดดันเลย เพราะเราตั้งใจเต็มที่อยู่แล้ว

ไม่มีความรู้สึกกลัวโดนดูถูกหรือมองว่าที่บ้านเคยทำการเมืองแบบนี้มาก่อน แล้วเราจะเข้ามาเปลี่ยน?

อะไรแบบนี้ไม่เคยอยู่ในสมองเลย เรามองว่านี่เป็นโอกาสในชีวิตของเรา บวกกับการที่เรามั่นใจว่าเรามีอาวุธคือเรื่องความรู้ทักษะต่างๆ การที่เราเป็นตัวตนของเรา มีความรู้  ทักษะ และความมั่นใจ คนก็จะมองเห็นจากการที่เราทำหรือพูด เขาจะสามารถตัดสินได้ว่าสุดท้ายแล้วเราเป็นคนมีของหรือเปล่า แล้วเราตั้งใจทำเพื่อคนอื่นหรือเปล่า อันนี้พิสูจน์ได้อยู่แล้ว

เมื่อคุณได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติแล้ว คุณเปิดตัวและประกาศว่าต้องการรีแบรนด์พรรคเพื่อชาติ ก่อนหน้านี้คุณมองเห็นภาพลักษณ์ของพรรคเป็นอย่างไรบ้าง

จากที่เรามองจากมุมคนภายนอก รวมทั้งจากสื่อด้วย พรรคเพื่อชาติเป็นพรรคน้องหรือพรรคสำรองของพรรคเพื่อไทย เราอยากจะรีแบรนด์พรรคให้มีจุดยืนที่ชัดเจน เป็นพรรคที่ต่อสู้กับอะไรบางอย่างอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดภาพจำใหม่ 

การถูกแปะป้ายว่าเป็นพรรคสำรองมีปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นบ้าง 

ไม่มีใครอยากเป็นตัวสำรอง ทุกคนก็อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากเป็นตัวจริงในสนามของตัวเอง เราเลยรับหน้าที่รีแบรนด์พรรค อยากทำอะไรที่ทำให้คนจำได้ว่าอันนี้คือสิ่งที่เราเป็นคนผลักดันแม้ว่าเรื่องนี้จะยากมากๆ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนภาพจำจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ภายใน 6 เดือน แต่ต้องอาศัยการทำงานอย่างสม่ำเสมอ ค่อยๆ ทำไปแล้วเดี๋ยวคนก็จะจำได้เอง พอคนจำได้แล้วเรามีเพื่อนร่วมอุดมการณ์เข้ามามากขึ้น เดี๋ยววันนั้นภาพจำก็จะเปลี่ยนเอง

เราอยากเป็นตัวแทนของคนตัวเล็กตัวน้อย คนที่ไม่มีโอกาส หรือเข้าถึงทรัพยากรได้น้อยด้วย เราอยากจะเป็นตัวแทนของคนเหล่านั้นว่าเราตัวเล็กแค่ไหน แต่เราก็มีสิทธิมีเสียงและพร้อมสู้ 

คุณอยากให้คนมองภาพใหม่ของเพื่อชาติอย่างไรบ้าง  

อยากให้มองว่าเราเป็นพรรคที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมระดับ social change ของเรื่องการศึกษา เราจึงมาปักหมุดอาคารทำงานที่อาคารวรรณสรณ์ด้วย เพื่อให้คนจำได้ว่าฉันจะทำเรื่องการศึกษานะ เราอยากเป็นคนที่เปลี่ยนการศึกษาแล้วประเทศเปลี่ยน เพราะหลายพรรคก็ทำเรื่องสาธารณสุขหรือเรื่องเศรษฐกิจไปแล้ว 

เราอยากให้พรรคเพื่อชาติเป็นคนเปลี่ยนการศึกษาของประเทศไทย เพราะเรามีความเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนได้เมื่อการศึกษาเปลี่ยน ตัวเราเองอยู่ในระบบการศึกษา เราเป็นคนที่มีโอกาสเข้ามาเรียนในเมืองได้ เรียนเมืองนอก การศึกษาคืออาวุธที่แท้จริงของคุณ และนี่คือสิ่งที่ทำให้เราเป็นผู้หญิงอายุน้อย แต่กล้าที่จะเข้ามาทำงานการเมืองและรีแบรนด์พรรค เพราะเรามีอาวุธที่แท้จริงคือความรู้ความสามารถและทักษะ ทำให้ไม่กลัวและพร้อมสู้ 

เราเลยมองว่าถ้าคนไทยมีโอกาสทางด้านการศึกษาเยอะๆ คนจะติดอาวุธที่แท้จริงที่ไม่ใช่อาวุธทางทหาร แต่เป็นอาวุธที่ทำให้เขามีศักยภาพพร้อมสู้กับนานาชาติได้ 

บวกกับด้วยความที่เป็นหัวหน้าพรรคที่เป็นนักกฎหมายด้วย เมื่อมองว่าต้นทางควรจะแก้ที่การศึกษา ปลายทางก็ต้องการรื้อระบบกฎหมายทั้งระบบ เพราะเมื่อระบบกฎหมายเปลี่ยน ประเทศก็เปลี่ยน แต่ทุกวันนี้ระบบกฎหมายเปลี่ยนยาก รวมถึงการที่มี ส.ว. ทำให้ผ่านกฎหมายยากเข้าไปอีก แล้วกฎหมายที่ล้าหลังจะอัปเดตได้อย่างไร แล้วเราจะรื้อระบบกฎหมายได้อย่างไร

คุณวางแผนที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์การเป็นพรรคสำรองของเพื่อไทยอย่างไร

เรานำเสนอสิ่งที่เราต้องการเปลี่ยนแปลงในการศึกษาให้สม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่การพูดออกสื่อ แต่เราต้องทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทั้งทางการเมืองเชื่อมกับการศึกษาให้ได้มากที่สุด สิ่งที่พรรคเพื่อชาติปักหมุดไว้คือ สมัยหน้าเราต้องทำ ส.ส. ให้ได้มากพอที่เราจะเข้าไปทำงานในกระทรวงศึกษาธิการ หรือไปทำงานในสภา  

ในการเข้ามารีแบรนด์พรรคและเข้ามาปรับวัฒนธรรมองค์กรของพรรค เราต้องพูดคุยกับสมาชิกที่มีความหลากหลายวัยอย่างไร

เราใช้วิธีการทำงานที่ไม่เหมือนเดิมเลย ปกติแต่ละคนอาจเข้ามาเพื่อรับคำสั่งอย่างเดียว แต่ ณ วันแรกที่เราเข้ามา เราทำเวิร์กช็อปรัวๆ เอาคนทุกวัยและทุกคนที่มีหน้าที่ มีตำแหน่งในพรรคเพื่อชาติ ไม่ว่าจะเป็นกรรมการบริหารพรรค หรือทีมงานที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่ๆ ทุกคนมานั่งรวมกันเพื่อทำเวิร์กช็อปด้วยกัน

เริ่มจากการวางกติกาการปฏิบัติตัวในพรรคก่อน รวมไปถึงการคิดนโยบายต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นคำสั่งมาจากตำแหน่งข้างบน แต่ทุกคนมีส่วนตรงนั้นจริงๆ ทำให้ปลูกฝังวัฒนธรรมแบบนี้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เป็นที่มาของการมีพื้นที่ที่เรามาเช่าในอาคารวรรณสรณ์แบบนี้ ทุกคนในพรรคเข้ามาได้ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เป็นหน้าตาพรรคการเมืองที่เราเคยเห็นกันอยู่แล้ว

บวกกับการที่เราเชิญกลุ่มต่างๆ ที่เป็นเจ้าของประเด็นปัญหาต่างๆ เข้ามาพูดคุย ศึกษาทำความเข้าใจถึงปัญหา เราไม่ได้นั่งเทียนเขียนนโยบาย เราเชิญทุกกลุ่มที่เราอยากจะทำนโยบายนั้นออกมาจริงๆ กลายเป็นว่าทุกคนค่อยๆ คุ้นเคยกับวัฒนธรรมแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องบอกพวกเขาว่าคุณต้องเชื่อเรานะ แต่เมื่อคุณเข้าสู่กระบวนการแล้วคุณก็จะคุ้นเคยกับมันไปเอง 

ถ้าสำรวจป้ายหาเสียง หลายพรรคพูดถึงค่าครองชีพ สวัสดิการรัฐ และผูกโยงอยู่กับเรื่องปากท้องประชาชน แล้วพรรคเพื่อชาติมองนโยบายอื่นๆ นอกจากการศึกษาอย่างไรบ้าง  

จริงๆ แล้ว แม้เราอยากสร้างภาพจำว่ามุ่งเน้นนโยบายการศึกษาก็จริง แต่เราก็มีนโยบายครอบคลุมมากมายหลากหลายเหมือนกัน โดยยึดตัวต้นน้ำจากการศึกษา เราพยายามมองเรื่องการศึกษาครอบคลุมหลายส่วน อย่างปกติพรรคอื่นก็จะมองแค่การศึกษาในระบบที่เป็นสายสามัญ แต่เราอยากมองถึงคนที่หลุดจากระบบการศึกษา มองเรื่อง กศน. แล้วคนที่เรียนอาชีวะซึ่งมีคำถามว่าทำไมพวกเขาถึงได้เงินเดือนขั้นต่ำไม่เท่าปริญญาตรี และเรื่องสัดส่วนงบประมาณที่ได้ไม่เท่าเทียมกันระหว่างสายสามัญกับสายอาชีพ อย่างทุกวันนี้อาชีวะได้ 20% แต่สายสามัญได้ 80% ถ้าเทียบกับการศึกษาในเยอรมนีที่แบ่งงบประมาณให้คนละครึ่ง หรือหลัก 60:40  เขาให้เด็กสายอาชีพเท่าเทียมกับเด็กสายสามัญ นี่คือสิ่งที่จะแก้ไขระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศได้อย่างยั่งยืนจริงๆ แล้วเด็กสายอาชีพได้ออกไปฝึกงานที่ตอบโจทย์กับภาคธุรกิจของประเทศจริงๆ ถ้าเราแก้ไขตรงนี้ตั้งแต่การศึกษาอาชีวะ ระบบเศรษฐกิจของประเทศก็เปลี่ยนเหมือนกัน  

อันนี้คือการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศ โดยที่เราดูตั้งแต่เรื่องการศึกษาเลย พอตอนนี้การดูแลไม่เท่าเทียมกันทำให้ภาคธุรกิจขาดแรงงานด้วย แนวทางนี้ก็จะตอบโจทย์กับระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง นี่คือการแก้กลไกระบบที่ต้องสอดคล้องกันในทุกๆ เรื่องมากกว่า พรรคเพื่อชาติไม่ได้มองว่าแค่กระทรวงนี้ก็ต้องแก้เรื่องนี้แบบแยกกัน จริงๆ ทุกกระทรวงระบบกฎหมายเชื่อมโยงกันหมด คุณต้องช่วยกันแก้ ไม่ใช่ทุกวันนี้ฉันดูกระทรวงศึกษา ฉันก็จะแก้แค่เรื่องโรงเรียนอย่างเดียว

บางคนก็จะมองว่าแคมเปญที่เกี่ยวกับปากท้องมาก่อนอาจจะสำคัญกว่า

ใช่ เขาเรียกว่าเซ็กซี่กว่ากันเยอะที่จะทำให้คนมาเลือกพรรคเรา ดังนั้นพรรคเพื่อชาติมีหน้าที่ในการขยายความ มีหน้าที่ในการพูดซ้ำๆ ว่าทำไมแก้ที่การศึกษาแล้วประเทศจะเปลี่ยน อันนี้ถือเป็นโจทย์ยากของเราที่จะต้องทำ แต่ก็ต้องค่อยๆ พูด ค่อยๆ ทำ

แต่แคมเปญของเพื่อชาติบอกว่า ‘แก้ชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า’ ดูเหมือนการรอแก้ปัญหาจากต้นน้ำคือการศึกษาจะใช้เวลานานพอสมควรเหมือนกัน

ถ้าเรามีโอกาสเข้าไปทำงานในกระทรวงฯ ไม่มีอะไรที่จะต้องรอนานขนาดนั้น เพราะหลายอย่างเป็นกฎกระทรวงที่รัฐมนตรีแก้ไขได้เลยในชาตินี้ อย่างเรื่องทรงผมกับชุดนักเรียน คุณไม่ต้องไปแก้ระดับพระราชบัญญัติ คุณสั่งได้เลยว่า ณ วันนี้ คุณทำผมทรงอะไรก็ได้ แค่นี้คุณก็เคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเด็กๆ แล้ว และลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองได้ในทันทีทั้งทรงผมและชุดนักเรียน

อยากเล่าว่าที่เราคิดแคมเปญนี้กันมา เพราะมองว่าชาตินี้เราเลือกเกิดไม่ได้ที่จะเกิดมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่อย่างที่บอกว่าการศึกษาเป็นอาวุธให้กับคนจริงๆ ทำให้คนภาคภูมิและพร้อมจะต่อสู้กับโลกใบนี้โดยที่ใจไม่พังไปก่อน เราอยากจะทำอะไรเพื่อไม่ให้คนต้องอยากย้ายประเทศหนีไป เรามั่นใจว่าการศึกษาจะทำให้คนภาคภูมิที่เกิดมาในชาตินี้และได้เป็นคนไทย ฉันจะอยู่อาศัยในประเทศไทยโดยไม่จำเป็นต้องหนีไปประเทศอื่น ฉันเลือกเป็นอะไรก็ได้ ฉันทำอาชีพอะไรก็ได้ แล้วฉันก็จะได้รับความเคารพด้วยความแตกต่างหลากหลายของฉัน ซึ่งทุกอย่างเปลี่ยนได้โดยเริ่มต้นจากการศึกษา

แต่เราก็ต้องรอให้ ส.ส. ของเราได้เข้าสภาก่อนด้วย 

ใช่ แต่เราก็คิดว่ามันไม่ได้ยากเกินไปขนาดนั้น และด้วยความที่เราเริ่มเข้าการเมืองตอนอายุ 31 เรามองว่ามีเวลาในชาตินี้อีกตั้งหลาย 10 ปีที่จะทำให้เรื่องที่ตั้งใจไว้สำเร็จได้ แคมเปญนี้ไม่ได้ไกลหรือฝันกลางวัน มันทำได้จริง 

ชาตินี้ที่หมายถึงคือคนที่ทำงานเพื่อชาติใช่ไหม

ของทุกคนเลยค่ะ ถ้าทุกคนยังอยู่ 

ดูเหมือนนโยบายที่เกี่ยวกับการศึกษาตอบโจทย์กับคนรุ่นใหม่เป็นส่วนใหญ่ แล้ววัยอื่นๆ จะเข้าถึงนโยบายของพรรคเพื่อชาติได้อย่างไรบ้าง

อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้แก้ปัญหาเฉพาะในวัยเรียนหรือการศึกษาในระบบ แต่เราต้องการการเรียนรู้ตลอดชีวิต มันเป็นทั้งในและนอกห้องเรียน ดังนั้นคนที่ไม่ได้อยู่ในวัยเข้าโรงเรียนแล้วจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของเราเหมือนกัน เพราะทักษะต่างๆ เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต แล้วจะทำอย่างไรให้คนเข้าถึงความรู้เหล่านี้ฟรี เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดให้คน 

เราจึงมองว่า เราไม่ได้เน้นกลุ่มโหวตเตอร์ที่เป็นนักเรียนนักศึกษาเท่านั้น แต่คนที่เชื่อมั่นว่าการศึกษาจะเปลี่ยนชีวิตคุณเองได้ ก็เลือกเพื่อชาติค่ะ

พูดถึงประเด็นสังคมอื่นๆ ตอนนี้สังคมถกเถียงการเมืองเชิงโครงสร้าง กระบวนการยุติธรรม สถาบันกษัตริย์ ไปจนถึงรัฐธรรมนูญ ในฐานะพรรคการเมือง คุณคิดว่าจะตอบโจทย์ข้อเรียกร้องหรือข้อถกเถียงเหล่านี้ในสังคมอย่างไร 

เรามีหน้าที่ในการรับฟังเเล้วก็ช่วยกันคิดว่าเราจะมีวิธีแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เราจะมีนโยบายที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายที่อยากไปได้อย่างไร แล้วก็บวกกับที่เราควรขยายขอบเขตเสรีภาพทางด้านการสื่อสาร เสรีภาพทางด้านการพูดไม่ควรคับแคบ เพราะเรามีหลักคิดพื้นฐานอยู่แล้วว่าเสรีภาพคือสิ่งสำคัญและจะทำให้เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ดังนั้นกฎหมายควรตีความให้คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของคนให้มากกว่านี้ ไม่จำกัดสิทธิคนเกินไป

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ประเทศแย่ลง ถ้าประเทศที่มีแต่ความกลัวสิ นั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้เราไม่พัฒนา 

ในแง่การสื่อสารถึงประชาชนเราวางภาพลักษณ์ไว้ว่าเป็นพรรคที่ต้องการมุ่งแก้ปัญาการศึกษา แล้วในแง่ภาพลักษณ์ทางการเมือง เรามองภาพตัวเองไว้อย่างไรบ้าง  

ชัดเจนว่าเราก็ต้องเลือกฝั่งประชาธิปไตย หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เราจะไม่มีทางเลือกอะไรที่สืบทอดจากรัฐประหารเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว

พรรคแบบไหนที่เป็นประชาธิปไตยอย่างที่คุณว่ามา 

เป็นพรรคที่อย่างน้อยไม่ได้จะสนับสนุนหรือไม่ได้สืบทอดอำนาจมาจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งเข้าใจว่าไม่ได้มีเยอะแล้ว แต่เราก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดและตอบโจทย์กับอุดมการณ์ของเรามากที่สุด 

อย่างนี้สามารถร่วมมือกับพลังประชารัฐได้ไหม

ก็พูดได้เต็มปากเลยค่ะว่าไม่ได้ 

เพื่อไทยล่ะ

ถ้าเป็นหลักการพื้นฐานและอุดมการณ์พื้นฐานของเขาก็เป็นฝั่งประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่เลือกตั้งเสร็จแล้ว จะเป็นอย่างไร ณ วันนั้น เดี๋ยวเราก็รู้ แล้วก็มาตัดสินใจอีกที 

แล้วถ้าเป็นก้าวไกลได้ไหม

ก้าวไกลก็ถือว่าอยู่ในสเปกตรัมที่เป็นประชาธิปไตย 

สมมติว่าเกิดสถานการณ์พลิกขั้ว มีพรรคที่คุณบอกว่าอยู่ฝั่งประชาธิปไตยร่วมมือกับพรรคที่คุณมองว่าสืบทอดอำนาจรัฐประหารมา อย่างนี้คุณยังร่วมงานกับพรรคเหล่านั้นได้ไหม 

อันนี้เป็นสิ่งที่เรากับทีมงานถกเถียงเหมือนกัน เราก็จะขอเลือกทางเท่ๆ ของเราเหมือนเดิม แม้ว่าเราเป็นฝ่ายค้าน เราก็ยังยืนยัน เพราะเราไม่ได้ทำพรรคแค่ชั่วคราว แต่เราจะทำพรรคให้มีความน่าเชื่อถือ เราก็จะเป็นแบบนี้ต่อไป เราเป็นพรรคเล็ก เราก็อยากทำงานนะ แต่อุดมการณ์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญกับเราเหมือนกัน

ในฐานะหัวหน้าพรรค เรายืนยันว่าเราสร้างแบรนด์โมเดลมาแบบนี้แล้ว เราต้องการสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย ถ้าวันหนึ่งเราเปลี่ยน หน้าตาของพรรคก็เปลี่ยน หัวหน้าพรรคก็อาจจะเปลี่ยนเหมือนกัน เราไม่ได้เป็นคนยึดติดอยู่แล้ว เพราะเราอยากอยู่ในพรรคที่มีวัฒนธรรมที่เราอยากจะอยู่ แต่ถ้าวันหนึ่งเราเลือกแบบนั้น ทีมงานเราก็ไม่มีความเชื่อมั่น ตัวเราเองก็เหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งเราเปลี่ยน เราก็ไม่จำเป็นต้องทำงานการเมืองก็ได้

คิดว่าช่วงหลังเลือกตั้ง อะไรเป็นปัจจัยที่พรรคเพื่อชาติมองว่าเราจะร่วมงานด้วยหรือไม่ร่วมงานด้วย 

แน่นอนว่าเหมือนเดิม ต้องเป็นพรรคที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเป็นพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. หรือคณะรัฐประหาร เราก็ยืนยันแล้วว่าปฏิเสธ 

แต่บางคนก็จะบอกว่าถ้าเข้าร่วมกับพรรคที่มีโอกาสจะตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะมาจากพรรคอุดมการณ์แบบไหน เราก็จะมีอำนาจรัฐเข้าไปจัดการคุณภาพชีวิตคนตามนโบายที่ประกาศไว้ได้ คุณมองเรื่องนี้อย่างไร

ในฐานะพรรคการเมืองต้องชั่งน้ำหนักว่าอะไรสำคัญกว่า อะไรที่เรายอมได้และยอมไม่ได้เลย แต่เรามั่นใจว่าเรายึดถือในระบอบประชาธิปไตยแน่นอน ดังนั้น ณ วันที่เราต้องตัดสินใจ เรามั่นใจว่าเราจะไม่ทำให้คนที่เชื่อในพรรคเราผิดหวัง เพราะเราตัดสินใจบนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน คิดเรื่องคุณภาพชีวิตเป็นหลัก แล้วก็คิดถึงเรื่องประชาธิปไตยเป็นหลัก อะไรที่บ่อนทำลาย เราจะยืนยันและยืนหยัดที่จะพูดว่าไม่เห็นด้วยและต่อสู้แน่นอน  

อีกประเด็นที่อยากคุยกับคุณ ในฐานะนักการเมืองหญิงและหัวหน้าพรรคที่อายุน้อยที่สุด คุณมองที่ทางทางการเมืองของตัวเองอย่างไรบ้าง 

เรามองว่าพื้นที่ทางการเมืองไม่ควรเป็นพื้นที่ของผู้ชายเท่านั้น แต่ควรเป็นพื้นที่ของของทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่เพิ่มสัดส่วนของผู้หญิงด้วย เรามองว่ายิ่งคนหน้าใหม่ๆ เข้ามาทำมากเท่าไหร่ ประเทศก็จะเปลี่ยนได้มากเท่านั้น มันไม่ควรเป็นพื้นที่จำกัดแค่ของตระกูลใหญ่ บ้านใหญ่ หรือของแค่ผู้ชายที่มีอำนาจทั้งทางทหารและทางการเมือง เรามองว่าต้องเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างแล้วก็ปลอดภัยสำหรับทุกคนที่มีใจจะทำงานเพื่อประเทศชาติ 

ต่อให้เราจะมาจากตระกูลนักการเมือง เรากลับมองว่ามันไม่ควรจำกัดอยู่แค่วงแคบๆ แต่ควรเป็นพื้นที่ที่ให้คนจำนวนมากเข้ามา

แล้วตอนนี้ติดขัดอะไรอยู่ ทำไมกลายเป็นว่าตอนนี้มีแต่ผู้ชายหรือบ้านใหญ่เท่านั้น 

เพราะพื้นที่จำกัด ไม่เปิดกว้างแล้วคนไม่เข้าใจด้วย คนไม่รู้ว่าจะเข้ามาอย่างไร เข้ามาก็ไม่มีที่ไม่มีทาง ไม่มีสิทธิไม่มีเสียงอะไร จะมีใครอยากเข้ามา ตอนนี้พรรคเพื่อชาติอยากสร้างวัฒนธรรมการเป็นส่วนร่วม ไม่ใช่วัฒนธรรมที่คุณเข้ามาถึงก็ไม่มีสิทธิพูดอะไรเลย เราถามความคิดเห็น เปิดโอกาสให้คนมีส่วนร่วมในพรรค เราไม่มีระบบสั่งการจากข้างบน แต่เรารับฟังทุกเพศทุกวัย 

เราอยากให้มีพรรคการเมืองแบบนี้เพิ่มขึ้นเยอะๆ เพื่อให้คนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้ามาพูดแล้วรู้สึกว่าตัวฉันเองก็เปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้กับวงการที่เป็นสถาบันพรรคการเมืองได้ เราคิดว่าต้องเริ่มต้นจากพรรคการเมืองก่อนถึงจะเปลี่ยนแปลงการเมืองภาพใหญ่ได้

ทุกวันนี้พรรคการเมืองจำกัดวงของคน บวกกับกฎหมายที่ให้จัดตั้งพรรคการเมืองยากเกินไป ใช้เงินเยอะเกินไป ต้องมีทุนตั้งต้นเท่าไหร่ ต้องมีคนเท่าไหร่ กลายเป็นว่าพรรคการเมืองเป็นแหล่งอำนาจของคนที่มีเงิน มีนายทุน หรือมีพรรคพวกเยอะเท่านั้นนะ กฎหมายต้องแก้ให้พรรคการเมืองเล็กๆ เกิดขึ้นได้ง่ายๆ จะเป็นการสร้างพื้นที่ให้กับคนทุกเพศทุกวัย

พอเข้ามาทำงานเองเห็นข้อจำกัดหรือวิธีคิดอะไรที่กีดกันการทำงานของนักการเมืองผู้หญิงหรือนักการเมืองที่มีหลากหลายทางเพศบ้างไหม

มีการกีดกันด้วยวิธีคิดอยู่ เช่น มุมมองที่ว่าผู้หญิงที่จะเข้ามาทำงานการเมืองได้ต้องเป็นลูกหลานหรือเป็นภรรยากับนักการเมืองผู้ชาย ถ้าผู้หญิงที่ไม่ได้มีภูมิหลังทางด้านครอบครัวเข้ามาก็จะถูกมองว่าคุณเข้ามาได้อย่างไร อาศัยอำนาจผู้ชายคนไหนเข้ามา ไม่ได้มองจากความสามารถ นี่คือสิ่งที่กดทับความเป็นผู้หญิงจริงๆ แล้วก็ไม่รู้จะแก้อย่างไรนอกจากการให้การศึกษา คุณต้องเคารพความแตกต่างหลากหลาย คุณต้องเคารพว่าเพศอื่นก็มีความสามารถเหมือนกัน ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่จำกัดแค่ผู้ชายอย่างเดียว

คุณน่าจะเป็นอีกคนที่ถูกมองในฐานะลูกนักการเมืองเหมือนกัน 

ใช่ เราพยายามใช้จุดนี้เป็นกระบอกเสียงและทำงานเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับคนอื่นๆ มันเริ่มต้นตั้งแต่ที่เราบอกว่าเรามีโอกาสเข้าถึงระบบการศึกษาได้มากกว่า เราเลยอยากจะสร้างโอกาสนี้ให้กับคนอื่นๆ ไม่แพ้กัน ตอนนี้เรามีโอกาส เพราะเราเป็นลูกนักการเมือง แต่เราไม่ได้อยากให้จำกัดอยู่แค่นี้ เราอยากจะเป็นคนเปิดพื้นที่ให้กับทุกคนไม่ว่าคุณจะมีภูมิหลังแบบไหน เราอยากเป็นตัวแทน ต่อให้เรารู้สึกว่าฉันก็มีอภิสิทธิ์มากมาย แต่ฉันไม่ได้รู้สึกว่าอยากใส่ตรงนี้เพื่อตัวเอง แต่อยากทำเพื่อคนอื่น 

มีความกลัวว่าจะทำไม่สำเร็จหรือกลายเป็นคนที่แปลกแยกในทางการเมืองไหม เพราะคุณกำลังท้าทายวิธีคิดหรือวัฒนธรรมการเมืองแบบเดิม ซึ่งที่ผ่านมามีบางพรรคอย่างก้าวไกลทำไปแล้วก็เคยเจออุปสรรคเช่นกัน

ไม่เคยคิดเลยค่ะ เพราะเรามีพื้นฐานทางความคิดที่เคารพความแตกต่างหลากหลาย เราไม่ได้มองว่าการที่ก้าวไกลเป็นแบบนี้แล้วจะแปลกแยก หรือต่อให้เรารู้สึกไม่เหมือนคนอื่น แต่มันไม่ได้ทำลายความมั่นใจ เพราะเรายืนหยัดแบบนี้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ เราคิดว่าถ้าเราแตกต่างแต่สร้างสรรค์ แตกต่างและทำให้เจริญ เราก็มั่นใจที่จะแตกต่าง เรามั่นใจในการที่ไม่เหมือนใคร และเราไม่จำเป็นต้องเหมือนใครและไม่มีใครต้องเหมือนเรา ไม่ต้องเหมือนใครเพื่อตามน้ำ หรือเพื่อให้อยู่ในสังคมได้ แต่เรากลับมองว่าความแตกต่างของแต่ละคนจะทำให้โดดเด่นและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง  เพราะถ้าเราเหมือนกันแล้วเราจะทำไปทำไม 

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save