fbpx
"รัฐสวัสดิการจะเกิดขึ้นได้ รัฐและภาคประชาชนต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน" ภาคภูมิ แสงกนกกุล

“รัฐสวัสดิการจะเกิดขึ้นได้ รัฐและภาคประชาชนต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน” ภาคภูมิ แสงกนกกุล

ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล และ สมคิด พุทธศรี เรื่อง

เมธิชัย เตียวนะ ภาพ

ในวันที่วิกฤตเศรษฐกิจถาโถม เล่นงานคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคมให้ร่วงหล่น ไม่มีเรี่ยวแรงหยัดยืนอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่ไร้ความเห็นอกเห็นใจ ไร้ความเป็นมนุษย์ ไร้ความเท่าเทียม คนจำนวนมหาศาลตกงาน ขาดแหล่งรายได้ที่จะจุนเจือปากท้องให้อยู่รอดหรือมีชีวิตที่ปลอดภัย ‘รัฐสวัสดิการ’ กลายเป็นหนึ่งในมาตรการบรรเทาทุกข์ระยะยาวที่หลายคนในสังคมไทยเพรียกหา โดยหวังว่ารัฐสวัสดิการจะเป็นยาวิเศษ รักษาความป่วยไข้ของผู้คนจากพิษเศรษฐกิจให้หายเป็นปลิดทิ้งอย่างถ้วนหน้า

แต่รัฐสวัสดิการเป็นยาวิเศษ และคำตอบสุดท้ายของทุกปัญหาความเหลื่อมล้ำจริงหรือเปล่า?

101 ชวน อ.ดร.ภาคภูมิ แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ศึกษาการเมืองเรื่องรัฐสวัสดิการและการเมืองเรื่องสุขภาพ สนทนาเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการอย่างรอบด้าน

ตั้งแต่คำถามที่ว่า รัฐสวัสดิการคือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำหรือไม่ หรือยังมีความเป็นไปได้อื่นๆ ที่จะแก้ปัญหานี้ในอนาคต รัฐสวัสดิการในโลกมีแต่แบบสแกนดิเนเวียอย่างที่เราใฝ่ฝันถึงหรือไม่ ถ้าเราอยากเห็นรัฐสวัสดิการอย่างที่นอร์เวย์ สวีเดน หรือเดนมาร์กมี เรายังขาดจิ๊กซอว์ชิ้นไหนที่จะต่อภาพรัฐสวัสดิการไทยให้สมบูรณ์ ไปจนถึงคำถามสำคัญที่ว่า เราจะใช้การเมืองประชาธิปไตยเพื่อผลักดันประเด็นสวัสดิการสังคมได้อย่างไร

รัฐสวัสดิการคืออะไร มีแนวคิดอย่างไร มีรูปแบบเพียงแค่รัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวียหรือไม่

ก่อนอื่น เราต้องแยกให้ออกก่อนว่า ‘รัฐสวัสดิการ’ กับ ‘สวัสดิการ’ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้น เวลาเราศึกษาเรื่องรัฐสวัสดิการ ต้องศึกษา ‘รัฐ’ มากกว่า ‘สวัสดิการ’

นักวิชาการในแวดวงรัฐสวัสดิการศึกษาหลายคนพยายามจะหานิยามของรัฐสวัสดิการ แม้ว่าจะไม่มีฉันทามติร่วมว่ารัฐสวัสดิการคืออะไร แต่นิยามที่หลากหลายดังกล่าวก็มีลักษณะร่วมกันอยู่ คือ ‘รูปแบบรัฐชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่กระจายสวัสดิการให้กับประชาชน’ หรือ ‘กระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับทุนนิยมและระบอบประชาธิปไตยตัวแทน โดยรัฐจะสร้างสถาบันที่เป็นข้อผูกมัดต่อความมั่นคงของสังคม และสนับสนุนการมีอยู่ของพลเมือง’

รัฐสวัสดิการมีอยู่หลากหลายรูปแบบมาก งานชิ้นสำคัญที่พยายามจำแนกรัฐสวัสดิการตะวันตก เรื่อง The Three Worlds of Welfare Capitalism โดยนักวิชาการชาวเดนมาร์กชื่อ กอสตา เอสปิง-แอนเดอร์เซ่น (Gøsta Esping-Andersen) เขียนขึ้นในปี 1990 แบ่งประเภทรัฐสวัสดิการตะวันตกออกเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มเสรีนิยมอย่างสหรัฐฯ หรือสหราชอาณาจักร กลุ่มอนุรักษ์นิยมอย่างเยอรมนีหรือฝรั่งเศส และกลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตยอย่างในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยใช้ตัวชี้วัด 3 ตัวในการจำแนก อย่างแรกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ตลาด และครอบครัว สอง อัตราการแทรกแซงกลไกตลาดของรัฐ และสาม การแบ่งและการเลื่อนชนชั้นทางสังคม

อย่างไรก็ตาม การนิยามและจัดกลุ่มข้างต้นยังค่อนข้างแคบ และจำกัดกรอบการศึกษาแค่รัฐสวัสดิการในยุโรปตะวันตกเท่านั้น เพราะกรอบความคิดเรื่องประชาธิปไตย ทุนนิยม และนิติรัฐ ไม่สามารถนำมาใช้อธิบายรัฐที่เกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือรัฐที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองแบบอาณานิคมอย่างลาตินอเมริกา เอเชียตะวันออก หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ดังนั้น ภายหลังก็เลยมีนักวิชาการหลายคนเริ่มไปศึกษารัฐสวัสดิการเฉพาะในภูมิภาคเหล่านี้ แล้วก็ค้นพบว่า มีรูปแบบรัฐสวัสดิการที่ต่างไปจากรัฐสวัสดิการแบบยุโรปตะวันตก หรือแม้กระทั่งรัฐสวัสดิการในยุโรปตะวันออกก็ไม่เหมือนกับรัฐสวัสดิการในยุโรปตะวันตก

ทำไมคนทั่วไปมักไม่จัดว่าสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐสวัสดิการ

โดยนิยามสหรัฐฯ เป็นรัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม หากเราดูตัวชี้วัดที่บอกไว้ข้างต้นประกอบ รัฐสวัสดิการเสรีนิยมจะใช้กลไกตลาดจัดสรรสวัสดิการ รัฐเข้าไปแทรกแซงน้อยมาก แทรกแซงเท่าที่จำเป็น ดังนั้นเราจึงเห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นค่อนข้างสูง

ในขณะที่รัฐสวัสดิการอนุรักษ์นิยมจะแทรกแซงกลไกตลาดในระดับปานกลาง และให้สถาบันครอบครัวมีส่วนรวมในการจัดสรรสวัสดิการแก่ประชาชน

ส่วนรัฐสวัสดิการสังคมนิยมประชาธิปไตย รัฐจะเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาดค่อนข้างมาก อำนาจการจัดสรรสวัสดิการจะอยู่ที่รัฐมากกว่าสถาบันครอบครัว ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นได้มากกว่า

รัฐสวัสดิการแบบตะวันออกมีหน้าตาต่างจากรัฐสวัสดิการตะวันตกอย่างไร?

ภายหลังก็มีคนจัดประเภทรัฐสวัสดิการในโลกตะวันออกว่าเป็นรัฐสวัสดิการประเภท productivist หมายความว่ารัฐสวัสดิการประเภทนี้ให้สวัสดิการประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มุ่งตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก และในบรรดารัฐสวัสดิการแบบ productivist ก็สามารถแบ่งกลุ่มย่อยได้อีก 3 กลุ่ม

กลุ่มแรก เรียกว่ารัฐสวัสดิการแบบ facilitative รัฐสวัสดิการประเภทนี้จัดให้นโยบายสวัสดิการสังคมอยู่ภายใต้การควบคุมของนโยบายเศรษฐกิจ คือมีนโยบายสวัสดิการเพื่อหนุนเศรษฐกิจให้เติบโตเท่านั้น ใช้กลไกตลาดจัดสรรสวัสดิการ และรัฐเองเข้ามาแทรกแซงน้อย

กลุ่มที่สอง เรียกว่ารัฐสวัสดิการแบบ universalist ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับรัฐสวัสดิการแบบ facilitative ตรงที่ให้นโยบายสวัสดิการสังคมถูกกำกับโดยนโยบายเศรษฐกิจ แต่จุดที่ต่างคือรัฐเลือกให้สวัสดิการแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้า

ส่วนกลุ่มที่สาม คือรัฐสวัสดิการแบบ particularist รัฐสวัสดิการแบบนี้ก็ใช้นโยบายสวัสดิการสังคมเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจเช่นกัน แต่รัฐบาลจะเลือกว่าประชาชนกลุ่มไหนที่ควรได้รับสวัสดิการ ไม่ได้จัดสรรสวัสดิการให้ทุกคน

นอกจากการแบ่งประเภทรัฐสวัสดิการออกเป็นแบบโลกตะวันตกและโลกตะวันออกแล้ว ก็ยังมีการแบ่งรัฐสวัสดิการออกมาอีกประเภทคือ รัฐสวัสดิการแบบอำนาจนิยม (authoritarian welfare state) ถ้าไปดูประเทศเผด็จการอย่างปากีสถานหรืออียิปต์ จะพบว่านโยบายสวัสดิการสังคมไม่ได้ลดลงอย่างที่หลายคนเข้าใจ ที่จริงแล้ว รัฐเผด็จการที่ให้สวัสดิการแก่ประชาชนก็มี เพียงแค่ไม่ให้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง พูดง่ายๆ คือ ให้ปากท้องอิ่ม ประชาชนจะได้สนับสนุนเผด็จการและไม่ลุกฮือต่อต้าน

รัฐสวัสดิการในโลกตะวันออกให้สวัสดิการเพื่อให้เศรษฐกิจพัฒนา ส่วนรัฐสวัสดิการแบบอำนาจนิยมให้สวัสดิการเพื่อปิดปากประชาชน แล้วรัฐสวัสดิการแบบตะวันตกมีแนวคิดอะไรเป็นฐานคิด

หากจะเล่าที่มาแนวคิดรัฐสวัสดิการตะวันตก ต้องขอย้อนกลับไปเล่าประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันตกก่อนว่า กว่าโลกตะวันตกจะมีรัฐสวัสดิการ ต้องใช้เวลายาวนานกว่าสองร้อยปีในการสร้าง

เริ่มแรกหลังสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย (The Peace of Westphalia) ก็เริ่มมีการตีเขตแดนขึ้นเป็นรัฐสมัยใหม่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ แต่รัฐในสมัยนั้นมีหน้าที่เพียงแค่รักษาดินแดนให้ปลอดภัย ไม่ได้มีหน้าที่ชัดเจนว่าต้องจัดสรรสวัสดิการให้แก่ประชาชน หน้าที่จัดสรรสวัสดิการจึงตกอยู่ที่สถาบันครอบครัวหรือสถาบันทางศาสนา

แต่ในศตวรรษที่ 18 ระบบเศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนไปเป็นระบบเสรีนิยม มีการใช้กลไกตลาดในการเพิ่มพูน ‘ความมั่งคั่งแห่งประชาชาติ’ ซึ่งแนวคิดแบบนี้ของ อดัม สมิธ (Adam Smith) เสนอว่ารัฐไม่ควรแทรกแซงกลไกตลาด ควรปล่อยให้กลไกตลาดทำงานไป เศรษฐกิจจึงจะเจริญเติบโต

แต่ระบบเศรษฐกิจเช่นนี้ก็มีปัญหาตามมา คือ จากเดิมที่แรงงานในภาคเกษตรได้รับสวัสดิการ ได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลกันเองจากครอบครัวหรือชุมชนเกษตร แต่พอแรงงานย้ายมาทำงานในภาคอุตสาหกรรม กลับไม่มีสวัสดิการ มีความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ ถูกกดขี่ขูดรีด จึงนำไปสู่การเกิดสำนึกความเป็นชนชั้นแรงงานขึ้นมา และจัดตั้งสมาคมแรงงานเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการลงเบี้ยประกัน ลงขันในกองทุน

นอกจากนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 19 เริ่มมีแนวคิดสังคมนิยมเฉดต่างๆ ออกมามากมาย ตั้งแต่สังคมนิยมอ่อนๆ จนถึงสังคมนิยมสุดโต่งอย่างคอมมิวนิสต์ที่ต้องการจะล้มทุนนิยมและรัฐ นายทุน ชนชั้นปกครอง และนักคิดจำนวนหนึ่งจึงเริ่มคิดหาทางเลือกที่ประนีประนอมระหว่างเสรีนิยมกับคอมมิวนิสต์ รัฐสวัสดิการแรกจึงเกิดขึ้นในปี 1881 ที่ปรัสเซีย ริเริ่มโดย ออตโต ฟอน บิสมาร์ค (Otto von Bismarck) ซึ่งบิสมาร์คออกกฎหมายให้รัฐมีสวัสดิการแรงงานและประกันสังคมขึ้นมา เพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่แรงงานล้มป่วยจนนำไปสู่ความไม่แน่นอนในการผลิต และสร้างความพึงพอใจในหมู่แรงงาน ไม่ให้แรงงานหันไปหาระบอบคอมมิวนิสต์

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐสวัสดิการก็กลับมามีพัฒนาการอีกครั้ง แต่ต้องอาศัยการแทรกแซงจากภาครัฐตามแนวคิดแบบเคนส์ (Keynesian) ที่ให้รัฐเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจ้างงานเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต และ ณ เวลานั้น ยุโรปก็ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการมาร์แชล (Marshall Plan) ของสหรัฐฯ ดังนั้น รัฐจึงเริ่มมีบทบาทมากในการเข้าไปแทรกแซงการจัดสรรสวัสดิการให้ประชาชน

แต่รัฐสวัสดิการในแต่ละประเทศก็มีระดับการแทรกแซงที่แตกต่างกันออกไป ยุโรปภาคพื้นทวีปอย่างฝรั่งเศสและเยอรมนีที่มีภาคประชาสังคมค่อนข้างเข้มแข็ง มีระบบสมาคมประกันภัยในการจัดการสวัสดิการในหมู่ประชาชนเองผ่านการนำเงินจากลูกจ้างและนายจ้างมาจ่ายประกันสังคม ไม่ค่อยอยากให้รัฐเข้ามาแทรกแซงมาก ความเป็นรัฐสวัสดิการของสองประเทศนี้จึงเป็นการผสมกันระหว่างสวัสดิการจากรัฐและภาคประชาสังคม ในฝรั่งเศส พอรัฐเริ่มเปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เพราะฝรั่งเศสสร้างรัฐสวัสดิการโดยให้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ปารีส มีการกระจายอำนาจน้อย กว่าฝรั่งเศสจะเป็นรัฐสวัสดิการที่กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นก็เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1980 นี้เอง

ส่วนอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เลือกสร้างรัฐสวัสดิการโดยมีระบบประกันสุขภาพ NHS (National Health Service) และระบบประกันถ้วนหน้าซึ่งใช้เงินภาษีจากประชาชนแทนระบบสังคมสงเคราะห์ที่รัฐจ่ายเบี้ยประกันให้กับคนที่ตกงาน อย่างที่ใช้ในฝรั่งเศสและเยอรมนี ลอร์ดวิลเลียม เบเวอริดจ์ ผู้เขียนรายงานเบเวอริดจ์ (Beveridge Report) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญว่าด้วยการสร้างรัฐสวัสดิการในอังกฤษ ก็เขียนไว้เองว่าอังกฤษจะไม่ใช้ระบบสังคมสงเคราะห์เพราะทำให้คนอยากว่างงาน คอยรอรับเงินจากรัฐบาลอย่างเดียว

สี่แยกราชประสงค์

พูดได้ไหมว่าการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการในแต่ละพื้นที่มาจากพลวัตภายในรัฐหรือพลวัตในภาคประชาสังคมของแต่ละรัฐเอง

รัฐสวัสดิการเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และครอบครัวอย่างมาก และความสัมพันธ์นี้ก็มีพลวัตในตัวสูง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราตามข่าวเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการตะวันตกจะเห็นข่าวเกี่ยวกับการปฏิรูปบ่อยมาก

พอมีรัฐสวัสดิการแล้ว ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้น รัฐสวัสดิการไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุดในตัวเอง รัฐต้องคิดว่าจะปฏิรูปอย่างไรเมื่อวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือวิกฤตสังคมเข้ามาปะทะเป็นระลอก ครั้งที่มีการปฏิรูปใหญ่ที่สุดก็คือช่วงทศวรรษที่ 1980 ซึ่งรัฐสวัสดิการตะวันตกแทบทุกประเทศปฏิรูปตัวเอง ที่เห็นได้ชัดก็คือกรณี มากาเร็ต แธชเชอร์ (Margaret Thatcher) นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรที่ปฏิรูปเปลี่ยนรัฐสวัสดิการเสรีนิยมให้กลายเป็นรัฐเสรีนิยมใหม่ (neoliberal)

แม้ว่ารัฐจะยังคงลักษณะความเป็นรัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยมที่ปล่อยให้กลไกตลาดทำงานไป แต่พอเปลี่ยนรัฐให้เป็นเสรีนิยมใหม่ ก็ทำให้กลไกตลาดทำงานเพิ่มขึ้น ผลักภาระให้ภาคเอกชนมาบริหารจัดการการใช้จ่ายนโยบายสังคมมากขึ้น สัดส่วนการใช้จ่ายภาครัฐที่นำไปลงกับนโยบายสังคมก็ลดลง

หลายๆ คนจะนึกถึงรัฐสวัสดิการอย่างในสแกนดิเนเวีย และมองว่าเป็นรูปแบบรัฐสวัสดิการที่น่าถวิลหาที่สุด อยากทราบว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือเปล่า ในเมื่อรัฐสวัสดิการมีหลากหลายรูปแบบ จะพูดได้ไหมว่าเรามีรัฐสวัสดิการรูปแบบที่ดีที่สุด หรือยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ารัฐสวัสดิการประเภทไหนดีที่สุด

รัฐสวัสดิการแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ในโลกตะวันตก บางคนก็อยากให้รัฐตัวเองเปลี่ยนไปเป็นรัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวีย บางคนก็มองว่าหากเปลี่ยนตามแบบสแกนดิเนียเวียก็มีปัญหา

หลายคนมองว่ารัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวียน่าถวิลหาก็จริง แต่การที่เราจะสร้างรัฐสวัสดิการเหมือนเขาได้ต้องผ่านเงื่อนไขหลายประการ หากสถาบันทางการเมือง สถาบันทางเศรษฐกิจ กลไกตลาด สถาบันทางสังคมและสถาบันครอบครัวของเราไม่เหมือนเขา เราก็เป็นรัฐสวัสดิการแบบเดียวกันกับที่สแกนดิเนเวียไม่ได้ สมมติว่าเราอยากเป็นรัฐสวัสดิการแบบสวีเดนมาก เราปรับนโยบายตามสวีเดนทั้งหมด แถมเงื่อนไขให้ด้วยว่าเรามีเงินพอ มีความเป็นไปได้ทางการคลังที่จะสร้างรัฐสวัสดิการเหมือนสวีเดนทุกอย่าง แต่ถ้าเรามีสถาบันทางการเมืองที่สร้างความไว้วางใจให้ประชาชนไม่ได้ ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐได้ แล้วเราจะเป็นรัฐสวัสดิการเหมือนสวีเดนได้หรือเปล่า?

เราจำเป็นต้องรวยก่อนไหมจึงจะสร้างรัฐสวัสดิการได้

เงินเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง แต่ผมคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่างๆ ที่ได้กล่าวไปคือแกนหลักในการสร้างรัฐสวัสดิการ คือต้องจัดการความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันเหล่านี้ก่อน อย่างที่ฝรั่งเศส ตอนสร้างรัฐสวัสดิการก็เข้าไปจัดการความสัมพันธ์ของรัฐบาลส่วนกลางกับรัฐบาลส่วนท้องถิ่นก่อนพิจารณาเรื่องงบประมาณ

อยากเห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันในรูปแบบของสแกนดิเนเวียว่าตรงจุดไหนที่ทำให้รัฐสวัสดิการของเขาเกิดขึ้นได้ แล้วเรายังขาดตรงนั้นอยู่

อย่างแรกสุดคือเราต้องมีสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง แต่ไทยไม่เคยมีสหภาพแรงงาน หรือถ้ามีก็อ่อนแอมาก

การที่จะสร้างรัฐสวัสดิการได้ ทั้งรัฐและภาคประชาสังคมต้องเข้มแข็ง และต้องเข้มแข็งพอที่จะสร้างสมดุลคัดง้างระหว่างกันได้ คือภาคประชาสังคมต้องเข้มแข็งพอที่จะตรวจสอบการทำงานของรัฐได้ ในขณะเดียวกันรัฐก็ต้องเข้มแข็งพอที่จะแทรกแซงสังคมได้เช่นกัน

แต่การที่ภาคประชาสังคมจะยอมให้รัฐแทรกแซงได้ รัฐก็ต้องเป็นนิติรัฐและออกนโยบายบนพื้นฐานทางวิชาการและข้อมูล รัฐสวัสดิการเติบโตได้เพราะการใช้ข้อมูลในการกำหนดนโยบายและความโปร่งใสที่ยอมให้ประชาชนรับรู้ข้อมูล หากรัฐไม่ใช้องค์ความรู้เพื่ออธิบายว่ารัฐต้องออกนโยบายแทรกแซงเพื่อจัดสรรสวัสดิการ ก็ไม่สามารถสร้างความเชื่อถือแก่ประชาชนได้ว่านโยบายนั้นเป็นไปเพื่อสวัสดิการของประชาชนจริง

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไทยเป็นรัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวียไม่ได้คือวัฒนธรรมระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึกในไทย เพราะระบบอุปถัมภ์แปรให้การจัดสรรสวัสดิการกลายเป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือผลประโยชน์ตอบแทนทางการเมือง

มีการตั้งข้อสังเกตหลายครั้งว่า ทำไมรัฐบาลหลายชุดมีนโยบายแจกสวัสดิการให้ประชาชนมากมาย แต่นโยบายประชานิยมเหล่านี้กลับไม่นำไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมื่อนักการเมืองท้องถิ่นรับนโยบายจากรัฐบาลไปใช้ในทางที่ส่งเสริมกับระบบอุปถัมภ์ กลับกลายเป็นการสร้างความจงรักภักดีระหว่างประชาชนในพื้นที่และนักการเมืองไปเสียอย่างนั้น

รัฐสวัสดิการจะเกิดขึ้นได้ ความจงรักภักดีต้องเกิดขึ้นระหว่างรัฐกับประชาชน ไม่ใช่ตัวบุคคล

แต่ว่าก็มีบางนโยบาย อย่างนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ไม่ได้ผูกกับนักการเมืองท้องถิ่น?

หลังรัฐบาลพรรคไทยรักไทย นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้ากลายเป็นนโยบายที่ลงหลักปักฐานแล้วระดับหนึ่ง ในความหมายว่าแม้จะมีความพยายามล้มนโยบายนี้ แต่ก็ล้มได้ยาก แต่ก็ต้องตั้งคำถามว่าระบบอุปถัมภ์มันเปลี่ยนไปหรือไม่ ใช้นโยบายนี้แล้วประชาชนจงรักภักดีต่อรัฐ ยินดีที่จะจ่ายภาษี เกิดความไว้วางใจต่อรัฐ และความสมานฉันท์ระหว่างประชาชนหรือไม่ แต่ปรากฏว่าหลายอย่างที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าระบบอุปถัมภ์ไม่ได้เปลี่ยนไป

ถ้าจะมองอย่างวิพากษ์ นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าอยู่บนฐานของแนวคิดที่ว่ารัฐมีหน้าที่ดูแลสวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งมีการผลักดันมาก่อนที่พรรคไทยรักไทยจะนำมาประกาศเป็นนโยบาย แต่การแข่งขันทางการเมืองและความขัดแย้งทางการเมืองก็ทำให้พรรคไทยรักไทยมีความเป็น ‘เจ้าของ’ นโยบายนี้ไปเสียอย่างนั้น ก็มีคนที่วิจารณ์อยู่ว่านโยบายนี้เป็นการเมืองระบบอุปถัมภ์ระหว่างพรรคการเมืองและผู้ลงคะแนนเสียง

อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหมุดหมายสำคัญของนโยบายสวัสดิการในประเทศไทย แต่หากถอยออกมามองในระดับหนึ่งก็จะช่วยให้เห็นว่า ไทยอยู่ตรงไหนในเส้นทางของการเป็นรัฐสวัสดิการ

ในเมื่อสถาบันทางการเมืองและสถาบันทางสังคมของเราไม่เหมือนกับที่สแกนดิเนเวีย โจทย์ใหม่ก็คือ เราจะมีรัฐสวัสดิการแบบไทยๆ ที่ทำงานได้ดี มีประสิทธภาพภายใต้เงื่อนไขเชิงสถาบันที่เรามีอยู่ได้ไหม แล้วเราควรจะมุ่งไปทางไหนต่อถึงจะตอบโจทย์ต่อสิ่งที่สังคมไทยกำลังเผชิญได้

หากเราจะเปลี่ยนรูปแบบรัฐสวัสดิการในไทย ต้องทำใจว่าต้องใช้เวลานานในการเปลี่ยนแปลง อย่างยุโรปก็ต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีกว่าจะมีรัฐสวัสดิการ ในเอเชียตะวันออกก็ต้องใช้เวลาถึง 40-50 ปี

ก่อนอื่นเราต้องแยกให้ออกว่า ‘รัฐสวัสดิการ’ และ ‘สวัสดิการ’ ไม่เหมือนกัน มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะคิดแบบไหน เชื้อชาติอะไร ย่อมต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีทั้งนั้น ทุกคนเห็นตรงกันว่าอยากได้สวัสดิการ ดังนั้น ‘สวัสดิการ’ จึงเป็นค่านิยมสากล แต่ทุกคนไม่จำเป็นต้องอยากได้รัฐสวัสดิการรูปแบบเดียวกัน บางคนอาจคิดแบบหนึ่ง บางคนอาจจะอยากได้รัฐสวัสดิการอีกแบบหนึ่ง ก็ต้องค่อยๆ ใช้เวลาสร้างฉันทามติร่วมในสังคม

ในปัจจุบัน วงการศึกษารัฐสวัสดิการจัดว่าไทยเป็นรัฐสวัสดิการแบบ productivist-particularist คือมีนโยบายสวัสดิการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่รัฐเลือกให้สวัสดิการแก่ประชากรบางกลุ่มเท่านั้น ดังนั้น ภายใต้เงื่อนไขที่สังคมไทยมี ประชาชนส่วนที่รัฐไม่ได้จัดสรรสวัสดิการให้ก็ต้องพึ่งระบบอื่นในภาคประชาสังคม โดยเฉพาะภาคการกุศล ซึ่งทำงานร่วมกับภาคครอบครัว เป็นต้น

แต่ในอนาคต เราต้องมานั่งคิดกันใหม่แล้วว่ากลไกเหล่านี้อาจไม่เพียงพอในการจัดสรรสวัสดิการ เพราะระบบสังคมค่อยๆ เปลี่ยนไป ในด้านหนึ่ง สังคมไทยมีครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น และคนมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง ระบบการกุศลก็มีลักษณะผูกขาดมากขึ้น มีเพียงไม่กี่องค์กรการกุศลเท่านั้น นี่ยังไม่นับว่าไม่มีการประกันว่าความช่วยเหลือจากองค์กรการกุศลจะลงไปถึงคนที่เดือดร้อนจริงๆ

ตราบเท่าที่นโยบายสวัสดิการคิดมาจากคนข้างบน คนข้างบนเป็นผู้ตัดสินใจว่าใครควรได้รับสวัสดิการและได้รับมากแค่ไหนโดยที่คนข้างล่างไม่สามารถมีส่วนร่วมในการคิด ปัญหาความเหลื่อมล้ำก็จะอยู่เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ หากจะจัดความสัมพันธ์ภายในรัฐเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการแบบใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงสถาบันการเมืองให้มีความเป็นประชาธิปไตย มีความเป็นนิติรัฐมากยิ่งขึ้น ภาคประชาสังคมก็ต้องเข้มแข็งจนสามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐได้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ต้องค่อยๆ เปลี่ยนวัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์ให้กลายเป็นวัฒนธรรมที่คนในสังคมมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (solidarity) มากขึ้น สร้างความเห็นอกเห็นใจระหว่างประชาชนด้วยกันเอง

Stronger Together กรุงเทพ

ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการสร้างรัฐสวัสดิการอย่างไร                                                                                    

ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นแนวคิดที่ผสมผสานระหว่างเสรีนิยมและสังคมนิยม คือให้ความสำคัญกับทั้งสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและผลประโยชน์ของสังคม แนวคิดนี้มองว่าปัจเจกไม่ได้ประสบความสำเร็จด้วยตัวคนเดียว แต่เป็นเพราะมีคนอื่นๆ ในสังคมคอยเกื้อหนุนอยู่เสมอ ดังนั้นทุกคนในสังคมจึงเป็นหนี้ต่อกัน มีภาระผูกพันที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คนที่ประสบความสำเร็จแล้วจึงต้องช่วยเหลือคนอื่นที่อ่อนแอกว่า

แต่การช่วยเหลือแบบการกุศลหรือแบบศาสนาที่อิงอยู่บนชุดความคิดทางศีลธรรมนั้นมีความไม่แน่นอน รัฐจึงต้องเปลี่ยนให้การช่วยเหลือเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย กำหนดให้ทุกคนต้องจ่ายภาษีเพื่อให้รัฐกระจายภาษีลงไปช่วยเหลือคนในสังคม

ในยุคโควิด-19 เราได้ยินคำพูดผ่านหูกันบ่อยๆ ในทำนองว่า “อ่อนแอก็แพ้ไป ให้ธรรมชาติคัดสรร” ในขณะที่เราก็เห็นคนทำงานหนักไม่ได้ค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ ทำไมระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่พร่ำบอกให้คน ขยัน อดทน ใครทำใครได้ (meritocracy) จึงไม่ให้ผลลัพธ์ที่เป็นไปตามคำสัญญาของระบบ

ระบบคุณธรรมที่บอกว่าใครทำใครได้ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าระบบความคิดนี้มองคนในสังคมเป็นปัจเจกบุคคลอย่างสุดโต่ง มองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกกับสังคม คนอื่นในสังคมอาจกำลังช่วยเหลือคุณอยู่โดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัวหรือไม่ได้สังเกตก็ได้ สมมติว่าคุณเป็นเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จ เวลาจะขับรถไปทำงาน ก็ต้องอาศัยน้ำพักน้ำแรงของคนกวาดถนนที่ช่วยกวาดถนนจนสะอาด หรืออย่างที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส คนเก็บขยะประท้วงหยุดงานหนึ่งสัปดาห์ ปล่อยให้เมืองสกปรกเละเทะเพื่อส่งสัญญาณให้คนรวยรู้ว่า ที่คุณอยู่ดีกินดี ประสบความสำเร็จได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะงานแบบที่คนตัวเล็กตัวน้อยอย่างคนเก็บขยะทำ ไม่ใช่เพราะตัวเองพยายามเท่านั้น

พูดได้ไหมว่า วิกฤตโควิด-19 ได้เผยให้เห็นปัญหาของการมองสังคมแบบเป็นปัจเจกมากเกินไป

ใช่ครับ ลักษณะของสังคมไทยมีความเป็นปัจเจกสูง คุณค่าสถาบันแบบครอบครัวก็ถูกแทนที่ด้วยความเป็นปัจเจกมากยิ่งขึ้น พอเกิดวิกฤตโควิด-19 รัฐให้ความช่วยเหลือด้านสินค้าและบริการไม่ค่อยได้ ปัจเจกจึงพึ่งพารัฐไม่ได้ หรือแม้แต่ให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ประชาชนเชื่อใจว่า นโยบายสวัสดิการที่ออกมานั้นเพื่อประชาชนจริงๆ รัฐก็ทำไม่ได้ ทุกคนเลยต้องพึ่งตัวเอง หาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง

ในช่วงหลัง สังคมไทยเริ่มพูดถึงความเหลื่อมล้ำมากขึ้น จนเป็นวาระหลักหนึ่งของสังคม ถ้ามองด้วยแว่นของคนที่สนใจรัฐสวัสดิการ มีประเด็นอื่นไหมที่คนไม่ค่อยพูดถึงกัน

สังคมไทยตระหนักถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เริ่มมองเห็นและสัมผัสความเหลื่อมล้ำได้มากขึ้น มีรายงานตัวเลขชี้ชัดขึ้นว่ามีความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า เวลาเราพูดคุยถกเถียงเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรามักพูดถึงแค่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างเดียว คิดแค่ว่าจะใช้เครื่องมือหรือมาตรการอะไรในการแก้ไขปัญหา แต่เราไม่พูดถึงต้นตอของความเหลื่อมล้ำว่ามาจากไหน ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่ฝังราก ต้องขุดขึ้นมาว่าต้นตออยู่ที่ไหน

ที่จริงแล้ว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสัมพันธ์กับความเหลื่อมล้ำมิติอื่นๆ ด้วย เช่น ความเหลื่อมล้ำทางการเมืองและสิทธิเสรีภาพ เราไม่ได้ไปแตะว่าสถาบันอื่นๆ นอกเหนือจากสถาบันทางเศรษฐกิจเอื้อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการกระจายทรัพยากรได้อย่างไร ทำไมระบบชนชั้นนำในประเทศไทยถึงมีทรัพยากรรวมกันมากกว่าประชากร 80% แล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย เราจะเปลี่ยนพวกนี้ได้อย่างไร

ความท้าทายหนึ่งที่มาพร้อมกับโควิด-19 คือ วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งหลายคนมองว่ากัดกินรัฐสวัสดิการในทุกด้าน ประเทศรัฐสวัสดิการจะอ่อนแอลง ประเทศไทยที่ยังไม่มีรัฐสวัสดิการก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก อาจารย์มองทิศทางของกระแสรัฐสวัสดิการอย่างไร

รัฐสวัสดิการและความเหลื่อมล้ำมักจะนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ทุนนิยมว่าทุนนิยมล้มเหลวอย่างไร วิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ก็ทำให้เกิดการถกเถียงในเรื่องนี้อย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ทำอย่างไรทุนนิยมถึงจะปรับตัวได้ เพราะความเหลื่อมล้ำเองก็ไม่ได้ส่งผลดีกับทุนนิยมเองเท่าไร

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นเพื่อต่อชีวิตทุนนิยม ประนีประนอมกับทุนนิยมเพื่อให้ทุนนิยมปรับตัวได้ อย่างในสมัยปลายศตวรรษที่ 19 หากทุนนิยมไม่ปรับตัวจนมีรัฐสวัสดิการ ทุนนิยมก็จะถูกคอมมิวนิสต์โค่นล้ม รัฐสวัสดิการจึงเป็นเหมือนฉนวนกันการเปลี่ยนแปลงระบบแบบถอนรากถอนโคน ดังนั้น ประเทศไหนที่มีรัฐสวัสดิการ การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจแบบถอนรากถอนโคนจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ราชดำเนิน ผู้คน ฟุตบาท มืด

ในอนาคต รัฐสวัสดิการอาจจะกลับมา แต่กลับมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนเดิม ตอนนี้ก็เริ่มมีการพูดถึงเครื่องมือใหม่ๆ ที่มีความเป็นรัฐสวัสดิการมากขึ้น เช่น นโยบายการันตีรายได้พื้นฐานให้กับประชาชน (Universal Basic Income: UBI) อาจารย์คิดเห็นอย่างไร

สวัสดิการอาจอยู่ในรูปของการให้ UBI ได้เช่นกัน ที่จริงการการันตีรายได้พื้นฐานเป็นเรื่องที่คิดกันมานานแล้ว แต่เพิ่งฮิตช่วง 10 ปีให้หลังมานี้

ที่น่าสนใจคือทั้งฝ่ายซ้ายกลางและฝ่ายเสรีนิยมใหม่ต่างก็สนับสนุนนโยบาย UBI ในขณะที่ฝ่ายซ้ายจัดกับขวาจัดปฏิเสธนโยบายนี้ แต่ด้วยฐานคิดที่ต่างกัน ฝ่ายเสรีนิยมใหม่ อย่าง World Bank ให้ทุนทำวิจัยเกี่ยวกับ UBI สูงมาก เพราะมองว่าการให้ UBI จะลดบทบาทรัฐในการแทรกแซงกลไกตลาดเพื่อสร้างระบบสวัสดิการได้ ในขณะที่ประชาชนก็มีเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอย พอเงินหมุนในระบบ กลไกตลาดก็ทำงาน

ความคิดในการใช้นโยบาย UBI ของฝ่ายเสรีนิยมใหม่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานว่าคนต้องได้รับสวัสดิการ แต่เขามองว่าความยากจนไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ จึงต้องช่วยให้คนไม่จน เมื่อคนไม่จน ก็มีกำลังบริโภคมากขึ้น ผลิตสินค้ามากขึ้น เศรษฐกิจก็เติบโตมากขึ้น

ส่วนฝ่ายซ้ายกลางคิดต่างออกไป เขามองว่าทุกคนควรจะมีความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้ที่ทำให้คนใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีเสรีภาพในการเลือกสิ่งที่อยากทำ ใช้ศักยภาพของตนเองโดยที่ไม่ต้องคิดว่าต้องทำงานเพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ สมมติว่าผมอยากเป็นคนกวาดถนนที่เก่งที่สุด แต่ผมไม่มีวันที่จะมีรายได้เพียงพอจากการกวาดถนน ผมเลยจำเป็นต้องละทิ้งความฝันในการเป็นคนกวาดถนนไปทำงานอื่นเพื่อจะมีรายได้เพียงพอ แต่ถ้ามีผมได้รายได้พื้นฐานจากรัฐบาล ผมก็จะทำงานเป็นคนกวาดถนนตามความฝันได้

แต่ฝ่ายซ้ายจัดไม่รับนโยบาย UBI เพราะนโยบายนี้ผลักภาระให้ประชาชนทั้งประเทศจ่ายภาษี เพื่อที่จะนำเงินไปกระจายเป็นรายได้พื้นฐาน ลดภาระนายทุนที่จะต้องจ่ายสวัสดิการบางอย่าง เช่น เงินประกันว่างงาน ส่วนฝ่ายขวาจัดก็ไม่รับเช่นกันเพราะมองว่าคนที่ทำงานได้เงินไม่ควรเสียภาษีอุ้มคนที่ไม่ทำงาน

นอกจาก UBI แล้ว รัฐสวัสดิการมีเครื่องมือใหม่อื่นๆ บ้างไหม

อาจจะตอบไม่ตรงคำถามเสียทีเดียว แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเครื่องมือสวัสดิการใหม่ๆ อาจจะไม่น่าสนใจเท่ากับการจัดการโครงสร้างทางสถาบันภายใน เพราะการเลือกใช้เครื่องมือสวัสดิการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว สวัสดิการแต่ละแบบก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหมือนกัน ในแง่นี้ คนทำเรื่องรัฐสวัสดิการต้องศึกษาว่าสวัสดิการแต่ละแบบควรใช้กลไกไหนในการจัดการสวัสดิการ รัฐ กลไกตลาด ระบบการกุศล ระบบครอบครัว และระบบที่ผสมผสานเครื่องมือเหล่านี้เข้าด้วยกัน

สวัสดิการบางอย่างอาจให้รัฐเป็นผู้จัดสรร บางอย่างก็ควรใช้สถาบันครอบครัว อย่างกรณีวิกฤตโควิด-19 จะเห็นว่ากลไกตลาดไม่สามารถจัดการได้ ก็ต้องให้รัฐหรือระบบการกุศลเข้ามาทำตรงนี้

การจะออกแบบเครื่องมือเหล่านี้ได้ดี เราต้องตั้งคำถามกับทัศนคติและวิธีคิดที่วนเวียนอยู่ในสังคมที่คอยกำหนดว่า ‘อะไรเป็นความเหลื่อมล้ำ’ และ ‘อะไรไม่นับเป็นความเหลื่อมล้ำ’ สังคมไทยมีความอดทนต่อความเหลื่อมล้ำสูงมาก เห็นความยากจนเป็นความปกติในชีวิตประจำวัน และเราสามารถสงสารและประณามความยากจนได้ในเวลาเดียวกัน วันหนึ่งเราบริจาคเงินให้คนจนที่โดนโกง แต่วันรุ่งขึ้นพอคนจนแย่งของกินจากตู้ปันสุข ก็พร้อมที่จะด่าทอ เราต้องศึกษาว่าทำไมทัศนคติต่อความยากจนและความเหลื่อมล้ำจึงเป็นแบบนี้ในสังคมไทย

ทัศนคติเรื่องความเหลื่อมล้ำในแต่ละที่ก็แตกต่างกันไป เรากล่าวได้ไหมว่า นี่คือพลวัตของประวัติศาสตร์หรือเงื่อนไขทางสังคมที่มันก่อร่างให้เราคิดกับความเหลื่อมล้ำแบบหนึ่ง แต่ในวันข้างหน้าเราอาจเปลี่ยนวิธีคิดไปเป็นอีกแบบหนึ่ง

ผมหวังว่าทัศนคติต่อความเหลื่อมล้ำจะเปลี่ยนไปเป็นแบบที่สากลมากขึ้น แต่จะเปลี่ยนวิธีคิดได้ ทุกคน ทุกภาคส่วนในสังคมต้องช่วยกันเปลี่ยน จะหวังให้พรรคการเมืองหรือสถาบันใดสถาบันหนึ่งชี้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยทั้งภาคประชาสังคม ระบบการศึกษา สถาบันครอบครัวที่คอยกล่อมเกลา รวมทั้งคนธรรมดาเช่นกัน

ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคการเมืองต่างๆ ชูเรื่องนโยบายสวัสดิการกันหมด แม้ว่าจะก้าวหน้ามากน้อยต่างกันก็ตาม มองย้อนกลับไป อาจารย์มองเห็นอะไรบ้างในการเมืองเรื่องรัฐสวัสดิการ

ผมมองว่าเป็นเรื่องดีที่ทุกพรรคพยายามจะเสนอนโยบายสวัสดิการสังคม เพราะเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนรับรู้ว่าสวัสดิการมีหลากหลายรูปแบบ และเปิดให้คนได้ถกเถียงว่าต้องการสวัสดิการแบบไหน ต้องยอมรับว่าการชนะเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยในปี 2544 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พรรคอื่นพยายามเสนอนโยบายสวัสดิการ พรรคไทยรักไทยทำให้เห็นว่า นโยบายสวัสดิการแปรเป็นคะแนนเลือกตั้งได้ และนโยบายก็ทำได้จริงด้วย

เพียงแต่ว่าหลังจากรัฐประหาร ช่องทางในการถกเถียงเรื่องรัฐสวัสดิการถูกจำกัด พรรคการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาลก็ทำตามนโยบายที่สัญญาไว้ไม่ได้ ระบบพรรคการเมืองไทยจากที่เคยพัฒนาเรื่อยๆ กลับแย่ลง จนอาจทำให้ประชาชนหมดหวังกับการเมืองอีกครั้ง

ถ้าดูที่นโยบายของแต่ละพรรค อาจารย์มองเห็นข้อเสนออะไรบ้างที่ใกล้เคียงความเป็นรัฐสวัสดิการที่สุด เรามองระนาบของการเมืองเชิงนโยบายนี้อย่างไร มีอะไรที่ขาดหายไปในการถกเถียง

ผมขอเริ่มที่พรรคพลังประชารัฐ นโยบายสวัสดิการของพรรคมีที่มาจากแนวคิดตรงตัวตามชื่อพรรคเลยคือ พลัง ‘ประชารัฐ’ แนวคิดประชารัฐไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่เป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่สมัยพฤษภา ’35 เสนอโดยคุณหมอประเวศ วะสี แนวคิดนี้เสนอว่ารัฐกับประชาชนมีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่รัฐปล่อยให้ประชาชนทำอาชีพตามที่ตนเองถนัดไป ไม่ต้องเปลี่ยนอาชีพ ไม่ต้องเลื่อนชนชั้น สมมติว่าเป็นเกษตรกร ก็ปลูกผักต่อไป เป็นพ่อค้า ก็ขายของต่อไป เป็นกลุ่มทุนรายใหญ่ก็ขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป รัฐก็คงโครงสร้างทางสังคมไว้ ให้สวัสดิการสังคมแก่ประชาชนโดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมและโครงสร้างชนชั้น

ส่วนพรรคอนาคตใหม่มีนโยบายรัฐสวัสดิการก็จริง แต่ไม่ได้บูรณาการนโยบายรัฐสวัสดิการกับการจัดความสัมพันธ์ของโครงสร้างสถาบัน พรรคเสนอการเปลี่ยนแปลงสถาบันทหาร แต่ไม่แตะสถาบันอื่นเลย ไม่ได้เสนอว่าจะจัดการสถาบันทางการเมือง กลไกตลาด ระบบราชการ สถาบันสังคม หรือสถาบันครอบครัวอย่างไร

ส่วนนโยบายสวัสดิการของพรรคประชาธิปัตย์มีลักษณะที่ค่อนข้างอิงกับตลาดเป็นหลัก ใช้กลไกตลาดในการจัดสรร รัฐเข้าไปแทรกแซงน้อย ต่างจากนโยบายของพรรคพลังประชารัฐและพรรคอนาคตใหม่ที่เน้นการแทรกแซง รวมทั้งไม่ได้เสนอการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง

แต่ผมก็ต้องย้ำอีกครั้งว่า เราไม่สามารถสร้างรัฐสวัสดิการได้ภายในรอบ 4 ปีของการเลือกตั้งแน่นอน กระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐสวัสดิการนั้นต้องเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ไร้รถ ไร้ผู้คน

MOST READ

Political Economy

17 Aug 2023

มือที่มองไม่เห็นของ อดัม สมิธ: คำถามใหญ่ว่าด้วย ‘ธรรมชาติของมนุษย์’  

อั๊บ สิร นุกูลกิจ กะเทาะแนวคิด ‘มือที่มองไม่เห็น’ ของบิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ อดัม สมิธ ซึ่งพบว่ายึดโยงถึงความเป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์

อั๊บ สิร นุกูลกิจ

17 Aug 2023

Political Economy

12 Feb 2021

Marxism ตายแล้ว? : เราจะคืนชีพใหม่ให้ ‘มาร์กซ์’ ในศตวรรษที่ 21 ได้หรือไม่?

101 ถอดรหัสความคิดและมรดกของ ‘มาร์กซ์’ ผู้เสนอแนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ผ่าน 3 มุมมองจาก เกษียร เตชะพีระ, พิชิต ลิขิตสมบูรณ์ และสรวิศ ชัยนาม ในสรุปความจากงานเสวนา “อ่านมาร์กซ์ อ่านเศรษฐกิจการเมืองไทย” เพื่อหาคำตอบว่า มาร์กซ์คิดอะไร? มาร์กซ์ยังมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 หรือไม่? และเราจะมองมาร์กซ์กับการเมืองไทยได้อย่างไรบ้าง

ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล

12 Feb 2021

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save