ทุกวันนี้ผู้บริโภคสื่อส่วนใหญ่ย่อมคุ้นเคยกับการดูหนัง ฟังเพลง และรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างดี หากใครยังบอกว่านี่เป็นเรื่องใหม่ ก็คง ‘เชย’ อยู่ไม่น้อย แต่หากมองย้อนกลับไป การให้บริการเสียงและภาพผ่านอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกเป็นภาษาวิชาการนิเทศศาสตร์ว่า Over-the-Top (OTT) เพิ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
โดยทั่วไป การวิเคราะห์ OTT ในฐานะเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม มักให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เทคโนโลยีและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ผลิตและผู้บริโภคเป็นหลัก เช่น การศึกษากฎหมายและระบบกำกับดูแล การวิเคราะห์เครื่องจักรกลและความสามารถของเครื่องจักรกล เป็นต้น ทว่ายังมีงานศึกษาอีกแนวหนึ่งที่สนใจเทคโนโลยีผ่านมุมมองของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสังคม นั่นคืองานศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองที่สนใจวิเคราะห์พัฒนาการและพลังของบริษัทเทคโนโลยี (และบริการ OTT) ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างแพลตฟอร์มเหล่านี้กับตลาด (market) และรัฐ (state) ซึ่งจะทำให้เห็นแรงจูงใจอื่นที่พ้นไปจากเหตุผลด้านเทคโนโลยีของบริษัทเทคโนโลยีและการให้บริการ OTT เพียงอย่างเดียว
พูดให้ถึงที่สุด บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้ทำกำไรอย่างเดียว ทว่าอาจยังมีเป้าหมายทางการเมืองและอุดมการณ์แห่งรัฐอีกด้วย
บริการ OTT กับการถดถอยของรัฐ
การให้บริการภาพและเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต (จากนี้ไปจะเรียกว่า ‘บริการ OTT’) เป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมโลก (Global Capitalism) ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1990s ซึ่งเป็นช่วงตั้งแต่ยุคโลกาภิวัตน์เฟื่องฟูหลังจากยุคสงครามเย็น (post-Cold War) ด้วยแรงขับเคลื่อนส่วนหนึ่งมาจากลัทธิเสรีนิยมใหม่
ในภาพใหญ่ การถดถอยของรัฐในช่วงทศวรรษ 1990s มีส่วนผลักดันให้กลุ่มทุนระดับโลกเติบโตและเข้มแข็งอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มทุนเทคโนโลยี (technology capital) Robert Cox นักเศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศผู้เลื่องชื่อเสนอว่า ทุนข้ามชาติ (multinational capital) ได้ทำลายบทบาทของรัฐ-ชาติ (Nation-State) ที่แสดงตนทางการเมืองในรูปแบบทุนชาติ (national capital)
ในเวลาเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์และนักรัฐศาสตร์จำนวนมากก็นำเสนอสิ่งที่ Susan Strange เสนอ นั่นคือเรื่อง ‘รัฐล่าถอย’ (the retreat of the state) ซึ่งเป็นภาวะที่รัฐเผชิญหน้าอำนาจที่เติบโตขึ้นของพลังตลาด โดย Susan เสนอว่า การที่เทคโนโลยีและการเงินซึ่งมีปริมาณมากและไหลเวียนอย่างเสรีทั่วโลก ทำให้รัฐสูญเสียอำนาจของตนไปอย่างมาก
Susan ขยายในประเด็นนี้ต่อว่า อำนาจบางอย่างเคลื่อนออกจากรัฐเล็กๆ และยากจน ไปสู่สิ่งที่มีอำนาจใหญ่ขึ้น บางอำนาจย้ายไปสู่สถาบันที่ควบคุมตลาด เช่น ธนาคารโลก กลุ่มผูกขาดการขนส่งทางเรือ สถาบันของเทคโนแครตทางเศรษฐกิจ อย่างองค์การการค้าโลก และองค์กรอาชญากรรมอย่างพวกมาเฟีย ขณะที่อำนาจของรัฐค่อยๆ เลือนหายไป (Susan Strange, 1996)
ผู้เขียนเสนอว่า ‘อำนาจบางอย่าง’ ที่ว่า เคลื่อนไปอยู่ที่บริการ OTT ด้วย
เสรีนิยมใหม่และทุนนิยมดิจิทัล
ลัทธิเสรีนิยมใหม่ไม่ใช่แนวคิดใหม่แต่มีรากฐานมาจากลัทธิเสรีนิยม (Liberalism) ในยุคศตวรรษที่ 17 แต่ต่อมาได้ถูกนำมาใช้อย่างมากในช่วงทศวรรษ 1980s เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงเวลานั้น โดยผู้ที่นำลัทธิเสรีนิยมใหม่มาดัดแปลงกับนโยบายเศรษฐกิจของตนคือสองผู้นำโลกในตอนนั้นอย่าง Margaret Thatcher นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร และ Ronald Reagan ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
แนวคิดหลักของเสรีนิยมใหม่คือการสนับสนุนตลาดเสรี (free market) การลดบทบาทของรัฐ (deregulation) การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (privatization) การรัดเข็มขัดทางการเงิน (fiscal austerity) ถึงกระนั้นก็ตาม ความเป็นจริงแล้ว ความเป็นเสรีจริงๆ ของลัทธินี้คือ ‘ทุน’ (capital) ซึ่งต่อมาก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูงและก่อให้เกิดการผูกขาด (monopoly) ในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นหากใช้ลัทธิเสรีนิยมใหม่อธิบายบทบาทของบริการ OTT ทั้งในแง่ช่วงเวลาของพัฒนาการ แนวนโยบายของรัฐบาล และกระแสโลก เราอาจมองมองบริการ OTT ในฐานะ ‘ทุนนิยมดิจิทัล’ (Digital Capitalism) ได้
แต่ก่อนจะไปต่อ เราต้องเข้าใจก่อนว่าทุนนิยมดิจิทัลคืออะไร?
Dan Schiller ศาสตราจารย์ด้าน Communication แห่ง University of California, San Diego สหรัฐอเมริกา ทำการศึกษาถึงทุนนิยมดิจิทัล และได้มองเห็นว่าพัฒนาการของมันสัมพันธ์กับลัทธิเสรีนิยมใหม่ โดยเป็นความสัมพันธ์ของโครงสร้างและระบบลัทธิเศรษฐกิจ-การเมืองที่ก่อตัวและพัฒนาในระบบทุนนิยมในสหรัฐอเมริกามายาวนาน ก่อนจะครอบคลุมไปถึงยุโรปและที่อื่นๆ ในเวลาต่อมา
ในหนังสือ Digital Capitalism: Networking the Global Market System ของ Schiller[1] เขาอธิบายว่าระบบทุนนิยมดิจิทัลไม่ใช่ ชนชั้นนายทุน ไม่ได้หมายถึงบรรษัทขนาดใหญ่ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่เป็น ‘ระบบเครือข่ายแนวเสรีนิยมใหม่’ หรือที่เรียกว่า ‘the Neoliberal Networking’ ซึ่งกำเนิดและผลักดันระบบอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกมายาวนานร่วมศตวรรษ โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ร่วม 40 กว่าปีที่ผ่านมา (Dan Schiller, 1999 บทที่ 1) ระบบเครือข่ายที่ว่านั้นหมายรวมตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างระบบของเทคโนโลยีทั้งคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โทรคมนาคม บรรษัทเอกชนด้านเทคโนโลยี มลรัฐ รัฐต่างๆ ในสหภาพยุโรปและทั่วโลก ไปจนถึงองค์กรเหนือรัฐ เช่น องค์กรการค้าโลก ตลาดหุ้น Wall Street และ Silicon Valley
ยิ่งไปกว่านั้น การที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมข้ามชาติสามารถก้าวขึ้นสู่ระบบโลกภายใต้ระบบเสรีนิยมใหม่ ได้ทำให้เกิดการพัฒนาสู่การเป็นทุนนิยมดิจิทัล ดังปรากฏในบทที่ 2 ของหนังสือของ Dan Schiller[2]
Schiller มองเห็นว่าจุดเริ่มต้นสำคัญของทุนนิยมดิจิทัลมาจากพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตผ่าน computerization ที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีใหม่ ก่อนจะกลายเป็นกลไก (mechanism) ที่ตายตัว (rigidity) มีอำนาจชอบธรรม (authority) และมีอำนาจครอบงำ (domination) จนทำให้ทุนนิยมดิจิทัลสามารถเข้ามาแทนที่ระบบต่างๆ ที่มีมาก่อนหน้านั้นได้
Schiller ชูให้เห็นถึงตัวอย่างของอิทธิพลของทุนนิยมดิจิทัลที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ โดยยกตัวอย่างถึงระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลาเกือบศตวรรษที่ผ่านมาด้วยผลพวงของทุนนิยมดิจิทัล
เขาชี้ว่าระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ทั้งโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ล้วนเติบโตจากการลงทุนโดย in-house factory ของบรรษัทชั้นนำหลายแห่ง มากกว่าที่จะมาจากการลงทุนของรัฐหรือมลรัฐต่างๆ เนื่องจากบรรษัทเอกชนแต่ละเจ้าพยายามแสวงหาคิดค้นนวัตกรรมและลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท General Electric, Good Year, IBM, AT&T, Arthur D. Little, Bell Atlantic, Dell, Anheuser-Busch, Disney, Ford, GM, Intel, MasterCard, McDonnell Douglas, Oracle, SBC, Sears Roebuck, Sprint, Sun Microsystem หรือ Xerox เป็นต้น ( Dan Schiller, 1999 บทที่ 4)[3]) บริษัทเหล่านี้จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเริ่มจากส่งเสริมการเรียนด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (basic science) ในมหาวิทยาลัย ต่อจากนั้นก็จะให้ทุนสนับสนุนการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เคมี วิศวกรรม วิศวกรรมเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีด้านข้อมูล และเทคโนโลยีการสื่อสารมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งมาถึงยุคที่ระบบการศึกษาแบบออนไลน์กลายเป็นรูปแบบการศึกษาหลักของสหรัฐอเมริกา Schiller ก็พบว่าพัฒนาการของรูปแบบการศึกษาดังกล่าวมความเชื่อมโยงกับการเติบโตของบรรษัทด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีการสื่อสาร ฯลฯ Schiller จึงสรุปได้ว่าระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกาก็ตกอยู่ภายใต้ทุนนิยมดิจิทัลด้วยเช่นกัน
สหรัฐอเมริกาในฐานะศูนย์กลางของระบบทุนนิยมดิจิทัล
พัฒนาการของทุนนิยมดิจิทัลเกิดจากความพยายามอย่างมหาศาลของบรรษัทธุรกิจข้ามชาติ (transnational business firms) และบรรดาเทคโนโลยีต่างๆ ที่เป็นอิสระจากรัฐ ซึ่งช่วยกันผลักดันนโยบายโทรคมนาคมให้เป็นไปตามแนวทางลัทธิเสรีนิยมใหม่ โดยจุดเริ่มต้นที่ประมาณ 40 ปีที่แล้ว ในตลาดขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
การเริ่มต้นของระบบเครือข่าย (networking) ต่างๆ เป็นตัวผลักดันให้นโยบายโทรคมนาคมเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย บวกกับการที่ผู้รับผิดชอบในหน่วยงานต่างๆ ของแต่ละมลรัฐในสหรัฐอเมริกา พยายามเดินหน้าพัฒนาระบบต่างๆ โดยในช่วงเวลานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงหลักของการกำกับดูแลอุตสาหกรรมโทรคมนาคมแห่งชาติ ด้วยการนำระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อผสมผสานความต้องการของบรรษัทเอกชนและการวางแผนทางยุทธศาสตร์การทหารของกองทัพสหรัฐอเมริกาเข้าด้วยกัน
ในช่วงสองทศวรรษระหว่างปี 1980-2000 การผลักดันการพัฒนาระบบเครือข่ายในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเพื่อเป้าหมายการตลาดถูกเร่งรัดขึ้นอย่างเด่นชัด ด้วยแรงผลักดันอย่างไม่หยุดยั้งของบรรษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา การริเริ่มต่างๆขององค์กรเหนือรัฐ (supranational) ภายในสหภาพยุโรปและองค์การการค้าโลก การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวเนื่องระหว่างผู้นำของชาติต่างๆ หลังการล่มสลายของสังคมนิยมโซเวียต และที่สำคัญคือด้วยแรงระเบิดและศักยภาพของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเอง ซึ่งมีส่วนหนุนเสริมลัทธิเสรีนิยมใหม่ และผลักดันการเติบโตของทุนนิยมดิจิทัลในช่วงนั้นให้เข้มแข็งและก้าวกระโดด
ช่วงเวลานั้น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านโทรคมนาคมเป็นเอกชน (telecommunication privatization) เกิดขึ้นทั่วโลกนับจากกรุงบัวโนไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในทวีปลาตินอเมริกา ไปจนถึงถึงกรุงบูดาเปส ประเทศฮังการี ในทวีปยุโรปตะวันออก โดยมีเครือข่ายอธิปไตยแห่งชาติทั่วโลกที่ทำหน้าที่จัดระบบและกติกาให้สอดคล้องกับการแปรรูปเป็นของเอกชน (Dan Schiller, 1999: 203)
พาหะของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงนั้นคือ World Wide Web ที่ได้แปลงองค์ (refashion) เป็นตัวกลาง (medium) ของผู้บริโภค ทั้งในด้านความแข่งขันกระจายสินค้าและในแง่เนื้อหาดั้งเดิม World Wide Web เข้ามาท้าทายวิถีทางแนวใหม่ด้วยการบูรณาการแนวดิ่ง (vertical) ของอภิบรรษัทด้านสื่อ (mega media firms)
ดังนั้น การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นระหว่างบรรดาบริษัทคอมพิวเตอร์ชั้นนำอย่าง Microsoft และ Intel หรือการแข่งขันระหว่าง media power house อย่าง Time Warner และ Disney แสดงให้เห็นว่า World Wide Web ตอบสนองระบบทุนนิยมได้มากและสามารถทำกำไรมาก
พัฒนาการที่เป็นเครือข่ายและพลังของเทคโนโลยีทำให้ทุนนิยมดิจิทัลไม่มีข้อจำกัดทางสังคม เศรษฐกิจ และรัฐชาติ จนเริ่มก้าวเข้าไปสู่พื้นที่ชีวิตประจำวันของผู้คนผ่านบริการที่คุ้นเคยต่างๆ โดยเฉพาะการบันเทิงที่บ้าน (home entertainment)
สำหรับ Schiller สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่อย่างยิ่งไม่ใช่ตัว ‘บริการ’ หากแต่คือการเปลี่ยนแปลงกติกากำกับดูแลของรัฐต่อบรรษัทเทคโนโลยี โดยเขาเสนอว่า ระบบนี้เกิดขึ้นได้เป็นครั้งแรก เมื่อบรรษัทสามารถมุ่งทำกำไรสูงสุดโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับระบบสังคมนิยมในโลกที่เป็นอุดมการณ์และระบบการเมืองสกัดกั้นภายใต้ระบบทุนนิยม และในความเป็นจริง ทุนนิยมดิจิทัลก็สามารถเกิดขึ้น พัฒนา และเฟื่องฟูได้แม้ในประเทศสังคมนิยมหรือประเทศที่ถูกปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ (Dan Schiller, 1999: 205)
นอกจากนี้ ทุนนิยมดิจิทัลยังเป็นอิสระเหนือรัฐและสังคมในเชิงกายภาพ (physical) อีกด้วย กล่าวคืออำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและข้อจำกัดทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ใช่อุปสรรคต่อการพัฒนาของทุนนิยมดิจิทัลแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่บรรษัทเหล่านี้สามารถก้าวสู่ภาคสังคมได้ด้วย ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราจึงเห็นทุนนิยมดิจิทัลมีฐานะเป็นหุ้นส่วนใหญ่ (senior partner) ของสถาบันที่ไม่ใช่ธุรกิจ เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ สังคมนักวิชาชีพ และหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ และในทุกวันนี้ ทุนนิยมดิจิทัลก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่หุ้นส่วนเท่านั้น แต่ยังสามารถพัฒนาไปสู่การยึดบทบาทของสถาบันเหล่านั้นโดยตรง (direct take over) ทุนนิยมดิจิทัลจึงเข้ามาทำหน้าที่ผลิตซ้ำทางสังคมแทนที่สถาบันทางสังคมแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา มากขึ้นเรื่อยๆ (Dan Schiller, 1999: 206)
ทุนนิยมดิจิทัลครองอำนาจนำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบการศึกษา อุตสาหกรรมบันเทิงในบ้าน ระบบสาธารณสุข ตลาดทุน ระบบป้องกันประเทศ การทูตและนโยบายต่างประเทศ ไปจนถึงซอฟต์พาวเวอร์ของสหรัฐอเมริกา รวมถึงชาติมหาอำนาจอื่นๆ ในยุโรปและเอเชีย
ไม่เพียงเท่านั้น ทุนนิยมดิจิทัลยังเป็นจักรวรรดินิยมในศตวรรษที่ 21 ที่ล่าเมืองขึ้นทั่วโลก รวมทั้งบ้านเราด้วย นี่เป็นเรื่องที่ยังคงต้องจับตากันต่อไป
อ้างอิง
Dan Shilley, Digital Capitalism: stagnation and contention? October 13, 2015 https://www.opendemocracy.net/en/digital-capitalism-stagnation-and-contention/
Dan Schiller, Digital Capitalism : Networking the Global Market System, Massachusetts Institute of Technology, 1999
Robert W. Cox, “Critical Political Economy” in B. Hettne (ed.) International Political Economy: Understanding Global Disorder (London: Zed Books, 1995).
Susan Strange, The Retreat of the State: The Diffusion of Power in the World Economy (Cambridge Studies in International Relation 1996).
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ รายงานผลการศึกษาขั้นต้น โครงการ ‘ศึกษาผลกระทบของ OTT ต่อกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์และแนวทางส่งเสริมและกำกับดูแล’, คณะผู้วิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มิถุนายน 2563
↑1 | Massachusetts Institute of Technology, 1999 |
---|---|
↑2 | ชื่อบท Going Global : The Neoliberal Project in Transitional Telecommunication |
↑3 | Dan เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า corporate university มีการค้นพบว่า ในปี มีบริษัทเอกชนราว 400 บริษัทในสหรัฐอเมริกาสร้างสิ่งที่เรียกว่า college, university, institute หรือ education center (Dan Schiller, 1999 : 150-151 |