ในปี 2001 Peter Hall และ David Soskice ได้ผลิตผลงานชิ้นสำคัญชื่อ ‘Varieties of Capitalism: The Institutional Foundations of Comparative Advantages’ ทั้งสองทำการศึกษาจากประเทศพัฒนาแล้ว พบว่าประเทศเหล่านี้มีรูปแบบทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และความแตกต่างเหล่านี้ได้สร้างให้เกิดการพัฒนาที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง
บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจ 3 แบบ ได้แก่ ระบบตลาดแบบเสรี ระบบตลาดแบบร่วมมือ และระบบตลาดแบบช่วงชั้น พร้อมกับชวนพิจารณาถึงวิธีการรับมือวิกฤต และผลกระทบที่แตกต่างกันในระบบเศรษฐกิจเหล่านี้ เพื่อเป็นบทเรียนต่อประเทศไทย
ระบบตลาดแบบเสรี vs. ระบบตลาดแบบร่วมมือ
Hall และ Soskice เสนอว่า เราสามารถทำความเข้าใจความหลากหลายของระบบเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้ว โดยจัดกลุ่มแยกออกเป็น 2 ระบบ ได้แก่ ‘ระบบตลาดแบบเสรี’ (Liberal Market Economy – LME) ซึ่งมีตัวแทนคือ สหรัฐอเมริกา และ ‘ระบบตลาดแบบร่วมมือ’ (Coordinated Market Economy: CME) ซึ่งมีตัวแทนคือ เยอรมนี
ระบบตลาดเสรีเน้นจัดสรรทรัพยากรผ่านกลไกราคา ช่องทางระดมทุนผ่านตลาดทุนมีลักษณะเปิดกว้าง ทำให้สิทธิความเป็นเจ้าของบริษัทกระจายตัวและเปลี่ยนแปลงไว บนโครงสร้างเช่นนี้ ผู้บริหารต้องการรักษาอัตราผลตอบแทนระยะสั้นและราคาหุ้นให้สูงขึ้นตลอดเวลา ส่งผลให้บริษัทต่างๆ มุ่งแข่งขันกันอย่างรุนแรงและเร่งสร้างขีดความสามารถทางธุรกิจ
กลุ่มทุนในระบบตลาดเสรีมักกำหนดความสัมพันธ์กับสหภาพแรงงานแบบปฏิปักษ์ กล่าวคือ บริษัทไม่สนับสนุนการรวมตัวแรงงาน และเน้นการจ้างงานแบบยืดหยุ่น (เลิกจ้างง่าย ต้นทุนถูก) ทำให้แรงงานต้องแข่งขันกันเองเพื่อรักษาตำแหน่งงานเอาไว้ พร้อมกันนั้นก็เรียนรู้ทักษะทั่วไป (general skills) ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลายอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มโอกาสในการหางานใหม่ได้ไวขึ้น
ขณะที่ระบบตลาดร่วมมือเน้นการจัดสรรทรัพยากรผ่านการตกลงต่อรองทางสังคม ผู้ลงทุนมักจะลงทุนในอุตสาหกรรมหนึ่งจนมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของสูงเพียงพอจะกำหนดทิศทางบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้การกำกับดูแลเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ในระยะยาวมากกว่าระบบตลาดเสรี
ความสัมพันธ์ภายในอุตสาหกรรมนั้นมีทั้งแบบแข่งขันและร่วมมือในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ แต่ละบริษัทมีอิสระและมุ่งขยายตลาดของตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความร่วมมือผ่านสมาคมการค้า (business associations) เพื่อช่วยเหลือกันในด้านเทคโนโลยี หรือกำหนดนโยบายภาพรวมที่ดีกับทุกฝ่าย
ในด้านแรงงานสัมพันธ์ ระบบตลาดแบบร่วมมือจะสนับสนุนการรวมตัวแรงงาน เพราะมองว่า เมื่อแรงงานรวมตัวมีเอกภาพ จะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจทำงานได้ดีขึ้น เช่น สามารถต่อรองและวางแผนค่าจ้างให้สูงขึ้นได้ในระดับพึงพอใจทั้งสองฝ่ายและวางแผนได้ล่วงหน้า ทำให้การปรับตัวค่าจ้างมีความแน่นอน (ไม่ผันผวน)
การร่วมมือระหว่างทุนและแรงงานนี้ มักมาพร้อมกลไกต่างๆ ที่คุ้มครองสิทธิ์แรงงาน ทำให้ระยะเวลาจ้างงานของระบบตลาดร่วมมือยาวนานมากกว่าระบบตลาดเสรี แรงงานจึงมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาทักษะเฉพาะอุตสาหกรรม (industry-specific skills) อย่างเข้มข้น
เราสามารถสรุปความแตกต่างของทั้งสองระบบนี้ได้ตามตารางที่ 1
ตลาดแบบเสรี (LME) | ตลาดแบบร่วมมือ (CME) | |
หลักการจัดสรรทรัพยากร | กลไกตลาด ราคา | การตกลงร่วมกัน |
รูปแบบการถือหุ้น ลงทุน | กระจายตัวสูง ให้น้ำหนักต่อผลตอบแทนระยะสั้น และราคาหุ้น | ครองหุ้นเป็นสัดส่วนสูง และรับผิดชอบทิศทางระยะยาวของบริษัท |
ความสัมพันธ์ภายในกลุ่มทุน | แข่งขันรุนแรง | ร่วมมือผ่านสมาคมการค้า |
การจัดการแรงงานสัมพันธ์ | ไม่สนับสนุนสหภาพ | สนับสนุนสหภาพแรงงาน |
การส่งเสริมทักษะแรงงาน | ทักษะทั่วไปสูง – ยืดหยุ่น | ทักษะเฉพาะอุตสาหกรรมสูง |
ที่มา: ปรับจาก Hall and Soskice (2001) และ Schneider (2013)
เราอาจจะยกตัวอย่างข้อมูลจริงด้านแรงงานมาแสดงถึงความแตกต่าง เช่น ค่าความหนาแน่นของสหภาพแรงงาน (union density) ของประเทศตลาดเสรีมีค่าราว 28% ของผู้ทำงาน และประเทศตลาดร่วมมือมีค่า 48% ของผู้ทำงาน ส่วนค่ามัธยฐานของอายุงาน (median job tenure) ของแรงงานประเทศตลาดเสรีอยู่ที่ 5 ปี เทียบกับประเทศตลาดร่วมมือซึ่งมีค่าราว 7.4 ปี เป็นต้น (Schneider, 2013: 12)
เศรษฐกิจทั้งสองแบบล้วนนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้จะมีลักษณะเส้นทางที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ‘ตลาดเสรี’ ใช้กลไกราคาและการแข่งขันเป็นตัวขับเคลื่อน ทว่า ‘ตลาดร่วมมือ’ เน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มทุนและแรงงาน เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและทักษะเฉพาะของอุตสาหกรรม
หลังจากที่งานของ Hall and Soskice ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีในโลกวิชาการ Hall ก็พัฒนาข้อเสนอของเขาต่อโดยทำงานร่วมกับ Daniel W. Gingerich ผู้เชี่ยวชาญการเมืองเปรียบเทียบแห่ง University of Virginia นำการจำแนกเช่นนี้ไปใช้จัดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น กลุ่มระบบตลาดเสรีประกอบไปด้วยสหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย ในขณะที่ระบบตลาดร่วมมือประกอบด้วยออสเตรีย เบลเยียม และกลุ่มประเทศนอร์ดิก เป็นต้น
สมมติฐานการรับมือวิกฤตเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน
คุณลักษณะที่แตกต่างระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีและระบบตลาดแบบร่วมมือ นำมาสู่วิธีรับมือวิกฤตเศรษฐกิจที่แตกต่างกันออกไป
ภายใต้ระบบตลาดแบบเสรี ผู้เล่นทางเศรษฐกิจจะเผชิญหน้าวิกฤตโดยปรับตัวตามกลไกตลาด รัฐ-ธนาคาร-ตลาดทุน จะให้การช่วยเหลือบริษัทที่มีงบดุลและผลกำไรดีที่สุดเป็นสำคัญ ส่วนบริษัทเองก็จะเก็บรักษาพนักงานเอาไว้เฉพาะในส่วนที่จำเป็นและมีผลิตภาพสูง
ผลของการปรับตัวเช่นนี้ทำให้บริษัทต่างๆ (ที่ยังดำเนินงานอยู่) สามารถรักษาอัตราผลกำไรเอาไว้ได้ และมีผลิตภาพแรงงานเพิ่มสูงขึ้น ในระหว่างที่เกิดวิกฤต แต่ในระยะยาว เมื่อเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การจ้างงานจะฟื้นตัวช้า เพราะบริษัทต่างๆ ที่ปิดตัวลงจะไม่สามารถกลับมาเปิดได้ทันที พร้อมกันนั้น แรงงานต้องใช้เวลานานในการหางานใหม่
ส่วนในระบบตลาดแบบร่วมมือ นายจ้างและลูกจ้างสามารถอาศัยกลไกเชิงสถาบัน เช่น สหภาพแรงงาน และสมาคมการค้า เข้าเจรจาต่อรองกัน เพื่อเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขในระหว่างวิกฤตได้ เช่น นายจ้างสามารถตกลงที่จะจ้างงานต่อเนื่อง (หรือ จ้างงานเพิ่มขึ้น) แลกกับการที่แรงงานยอมลดเวลาทำงานลงและรับเงินเดือนน้อยลง เป็นต้น
มาตรการเช่นนี้จะบรรลุได้ ก็ต่อเมื่อทั้งฝั่งบริษัทและแรงงานมีการจัดตั้งและมีตัวแทนตัดสินใจแทนฝ่ายตนได้อย่างเป็นระบบและมีเอกภาพ (ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของระบบตลาดแบบร่วมมือ)
ผลจากมาตรการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ทำให้ในระยะสั้น ระหว่างเกิดวิกฤต การว่างงานจะลดลงไม่มาก แต่ผลิตภาพต่อหัวแรงงาน (labor productivity) จะลดลงอย่างรุนแรง ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
เราอาจจะนึกภาพถึงมาตรการลดเวลาทำงานโดยสมัครใจ โดยเรายังคงรักษาการจ้างงานไว้ แต่ลดเวลาทำงานลงจาก 5 วันเหลือแค่ 3 วัน เพียงเท่านี้ ผลิตภาพเฉลี่ยของเศรษฐกิจก็ลดลงมากแล้ว
แต่การทำเช่นนี้จะส่งผลดีในระยะยาว เมื่อเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะแรงงานสามารถกลับมาทำงานเต็มเวลาได้ทันทีโดยไม่ต้องหางานใหม่ และยังลดปัญหาทักษะไม่ตรงกับงาน ทำให้การฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศเกิดขึ้นรวดเร็วตามไปด้วย
Natural Experiment:
วิกฤต Sub-Prime Loan กับการปรับตัวของสหรัฐอเมริกา และเยอรมนี
สมมติฐานต่อความแตกต่างของการรับมือวิกฤตเศรษฐกิจนี้ได้ถูกทดสอบในช่วงวิกฤตการเงินระหว่างปี 2007-2009 (Sub-Prime Loan Crisis) ซึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และลุกลามส่งผ่านวิกฤตไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีการเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจ อาทิ ช่องทางการค้า และการลงทุนกับสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด
ศ.Sir Christopher Pissarides นักเศรษฐศาสตร์ชาวไซปรัสแห่ง London School of Economics ได้สำรวจผลกระทบ และการปรับตัวทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตดังกล่าว และชี้ให้เห็นถึงทิศทางที่แตกต่างกันอย่างยิ่งระหว่างสหรัฐอเมริกา (ระบบตลาดแบบเสรี) และ เยอรมนี (ระบบตลาดแบบร่วมมือ) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
จากภาพที่ 1 เราจะพบว่าการแปลงโดยเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ในช่วงวิกฤตนั้นมีทิศทางและขนาดใกล้เคียงกัน คือลดลงราว 4% ทว่า เมื่อพิจารณาผลกระทบทางฝั่งแรงงาน ระยะเวลาทำงานรวม (total hours) ของแรงงานในสหรัฐอเมริกาหดตัวรุนแรงเกือบ 8% ส่วนเยอรมนีลดลงไม่ถึง 1% เท่านั้น สะท้อนถึงการปรับตัวของตลาดแรงงานที่แตกต่างกัน
Pissarides ชี้ถึงปัจจัยเชิงสถาบันที่ทำให้ตลาดแรงงานของสหรัฐอเมริกาปรับตัวรุนแรงกว่าเยอรมนีเอาไว้ว่า สหรัฐอเมริกามีกฎหมายค่อนข้างยืดหยุ่นต่อนายจ้างและบริษัทในการเลิกจ้างพนักงาน (employer-friendly flexibility) นอกจากนี้ ผู้บริหารของบริษัทต่างๆ มักถูกประเมินผลงานจากการประคองงบดุลบริษัทและราคาหุ้น ตลอดจนตัวผู้บริหารเองก็ได้รับค่าตอบแทนบางส่วนเป็นหุ้นของบริษัท ดังนั้น ผู้บริหารเหล่านี้จึงมักลดจำนวนพนักงานที่ไม่จำเป็นลงเพื่อลดต้นทุน และคงระดับอัตราผลกำไรในระยะสั้นเอาไว้
สถานการณ์กลับด้านกันในเยอรมนี Ulf Rinne และ Klaus F Zimmermann จาก Institute of Labor Economics (IZA) อธิบายว่า เยอรมนีมีกลไกเชิงสถาบันในการต่อรอง-ร่วมมือเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยเฉพาะการลดเวลาทำงาน การจ้างงานระยะสั้น (short-time work) การอุดหนุนเงินเดือน และการลงบัญชีสะสมเวลาทำงาน (working time account)
ระบบหลังนี้น่าสนใจอย่างมาก กล่าวคือ นายจ้างจะยังจ่ายเงินเดือนเต็มให้แก่ลูกจ้าง แม้จะมาทำงานน้อยลง (โดยรัฐเข้ามาช่วยอุดหนุน) แต่ลูกจ้างจะบันทึกบัญชีเอาไว้ว่าจะต้องทำงานหนักขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว มาตรการเช่นนี้ ด้านหนึ่งจะลดการผลิตส่วนเกิน (over supplies) ของสินค้าในช่วงเศรษฐกิจขาลงได้ แต่ไม่ไปลดรายได้แรงงานและอุปสงค์มวลรวม ทำให้ในทางทฤษฎีแล้วเศรษฐกิจกลับเข้าดุลยภาพได้ไว
ผลของมาตรการเฉลี่ยทุกข์-เฉลี่ยสุขเหล่านี้ทำให้เยอรมนีรักษาการจ้างงานได้มากกว่าสหรัฐอเมริกา แต่จะมีชั่วโมงทำงานของแรงงานแต่ละคนลดลงมากกว่าสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
ภาพที่ 2 ยืนยันคำอธิบายนี้ กล่าวคือ การจ้างงานของสหรัฐอเมริกาในช่วงวิกฤตลดลงเกือบ 6% แต่การจ้างงานของเยอรมนีเพิ่มขึ้นราว 2% สวนทางเศรษฐกิจที่หดตัวลง ในขณะเดียวกัน ระยะเวลาทำงานเฉลี่ยของแรงงานแต่ละคนในเยอรมนี ก็ลดลงมากกว่าสหรัฐอเมริกา [1]
จุดแข็งที่แตกต่าง: ผลิตภาพ VS การประคองการจ้างงาน
จากรายละเอียดที่กล่าวมาทั้งหมด เราสามารถชี้จุดแข็งของระบบตลาดแบบเสรีและระบบตลาดแบบร่วมมือได้ดังนี้
ในแง่ผลิตภาพ (Productivity) เมื่อเจอวิกฤตใหญ่ๆ ระบบตลาดเสรีแบบสหรัฐอเมริกาจะขับเน้นผลิตภาพแรงงาน (และการใช้ทุน) ออกมามากกว่าระบบตลาดร่วมมือแบบเยอรมนี เพราะใช้กลไกแข่งขันกันเองภายในและสภาวะหนีตาย (death drive) เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการปรับตัว พลังการผลิตจึงสูงขึ้นหลังวิกฤต (ภาพที่ 3 เส้นทึบ-วงกลมขาว)
ทว่า ในระบบตลาดแบบร่วมมือของเยอรมนี การพยายามเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข เช่น การจ้างงานต่อเนื่องแต่ลดเวลาทำงานลง จะทำให้ผลิตภาพลดลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่า ภายหลังวิกฤตผ่านพ้นไป ผลิตภาพจะกลับมาสูงขึ้นก็ตาม แต่เยอรมนีก็ยังไม่สามรถจะเพิ่มผลิตภาพได้สูงมากเท่ากับกรณีของสหรัฐอเมริกาและมีความผันผวนสูงกว่า (ภาพที่ 3 เส้นทึบ-สี่เหลี่ยมดำ)
ในแง่การจ้างงาน ระบบตลาดเสรีสามารถประคองการจ้างงานได้ต่ำกว่าระบบตลาดแบบร่วมมืออย่างชัดเจน ในขณะที่ดัชนีการจ้างงานของสหรัฐอเมริกาลดลงอย่างต่อเนื่อง เยอรมนีสามารถประคองการจ้างงานเอาไว้ได้ และสามารถเพิ่มการจ้างงานได้เล็กน้อยในภาวะวิกฤตเสียด้วยซ้ำ (ภาพที่ 4)
ประเด็นนี้มีนัยยะยาวไกลไปถึงเรื่องความเร็วของการฟื้นฟูเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของตลาดแรงงานด้วย เพราะการยอมสูญเสียตำแหน่งงานในระยะสั้นแบบระบบตลาดเสรี จะทำให้การกลับเข้าสู่งานทำได้ยากขึ้น มากกว่าการรักษาตำแหน่งงานเอาไว้ (และลดเวลาทำงานแทน)
งานศึกษาของ Pissarides พบว่า ถึงแม้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัวกลับมาจนมีอัตราตำแหน่งงานว่าง (vacancies) ต่ำเทียบเท่ากับก่อนเกิดวิกฤตแล้ว แต่อัตราการว่างงานก็ยังสูงกว่าก่อนเกิดวิกฤต (ส่วนต่างราว 2%)
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น การหายไปของตำแหน่งงานเก่า และการเปิดตำแหน่งงานใหม่ เกิดขึ้นในพื้นที่และภาคอุตสาหกรรมที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้แม้จะมีตำแหน่งว่างอยู่ แต่แรงงานกลับเข้างานได้ยาก เพราะต้องย้ายที่อยู่ หรือต้องฝึกฝนทักษะใหม่ (frictional rigidities in job search) เป็นต้น
ประเทศไทยและระบบตลาดแบบช่วงชั้น
เมื่อเราเห็นถึงข้อดีข้อเสียของระบบตลาดทั้งสองแบบแล้ว คำถามที่เกิดขึ้นในใจก็คือ ประเทศไทยมีระบบตลาดแบบใด?
ประจักษ์ ก้องกีรติ และวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร (2018) ระบุว่า ประเทศไทยมีลักษณะเป็นระบบตลาดหรือระบบทุนนิยมแบบช่วงชั้น (Hierarchical Market Economy – HME) ซึ่งเป็นลักษณะร่วมของประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ จำนวนมากโดยเฉพาะในลาตินอเมริกา
ตารางที่ 2 แสดงลักษณะของระบบตลาดแบบช่วงชั้น เปรียบเทียบกับระบบตลาดเสรีและระบบตลาดแบบร่วมมือ โดยมีรายละเอียดดังนี้
การจัดสรรทรัพยากรของตลาดแบบช่วงชั้นดำเนินไปตามผู้ทรงอำนาจทางเศรษฐกิจ-การเมือง (directive allocation) จึงมีความแตกต่างจากมือที่มองไม่เห็นของตลาดเสรี (invisible hand) และไม่ใช่มือที่จับจูงกันเดินทางฝ่าฟันปัญหาแบบตลาดแบบร่วมมือ (hand in hand) แต่อุปมาเหมือน ‘กำปั้นเหล็กของผู้มีอำนาจ’ (iron fist)
รูปแบบการถือหุ้นและการลงทุนมักกระจุกตัวสูงและบริหารโดยสายตระกูล (family-owned conglomerates) หรือบรรษัทข้ามชาติ บริษัทเหล่านี้จะมีขนาดใหญ่ ครอบครองส่วนแบ่งตลาดในสินค้าสำคัญ จนเกิดเป็นการผูกขาดร่วม หรือผู้ค้าน้อยราย (oligopoly) [2]
เมื่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่มีอำนาจมากและต้องการใช้แรงงานราคาถูกเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ กลุ่มทุนเหล่านี้จึงต่อต้านสหภาพแรงงาน และหลีกเลี่ยงมาตรการคุ้มครองแรงงาน ผลคือแรงงานไม่ได้รับสัญญาจ้างทางการ มีขนาดการจ้างงานนอกระบบที่ใหญ่และมีความเปราะบางสูง แรงงานกลุ่มนี้มีมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีงานทำประเทศไทย (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2020)
ตลาดแบบเสรี (LME) | ตลาดแบบร่วมมือ (CME) | ตลาดแบบช่วงชั้น (HME) | |
หลักการจัดสรรทรัพยากร | กลไกตลาด ราคา | การตกลงร่วมกัน | การสั่งการตามลำดับชั้น |
รูปแบบการถือหุ้น ลงทุน | กระจายตัวสูง | ครองหุ้นเป็นสัดส่วนสูง และรับผิดชอบทิศทางระยะยาวของบริษัท | กระจุกตัวกับสายตระกูล |
ความสัมพันธ์ภายในกลุ่มทุน | แข่งขันรุนแรง | ร่วมมือผ่านสามคมการค้า | ผูกขาดร่วม ผู้ค้าน้อยราย |
การจัดการแรงงานสัมพันธ์ | ไม่สนับสนุนสหภาพ | สหภาพร่วมมือกับกลุ่มทุน | ไม่สนับสนุนสหภาพ |
การส่งเสริมทักษะแรงงาน | ทักษะทั่วไปสูง – ยืดหยุ่น | ทักษะเฉพาะอุตสาหกรรมสูง | การส่งเสริมทักษะน้อย และจ้างงานนอกระบบ |
ที่มา: ปรับจาก Hall and Soskice (2009) และ Schneider (2013)
ระบบตลาดแบบช่วงชั้นดังที่เห็นนี้มักเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ที่พึ่งพิงรายได้จากการส่งออกสินค้าแรงงานเข้มข้น (exports labor-intensive products) ซึ่งต้องการกลุ่มทุนการผลิตที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้ได้ความประหยัดต่อขนาด (economy of scale) และขณะเดียวกัน ก็ต้องการต้นทุนค่าจ้างที่ถูก ทั้งสองด้านนี้จึงก่อรูปให้เกิดสถาบันทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อทุนขนาดใหญ่ และการขูดรีดแรงงาน เช่น กดค่าจ้าง ละเลยการดูแลสวัสดิการและการคุ้มครองแรงงาน และการต่อต้านสหภาพแรงงาน เป็นต้น
กลุ่มทุนที่มีบทบาทสำคัญกลุ่มที่สองในระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นก็คือกลุ่มทุนที่พึ่งพิงอำนาจรัฐ ได้แก่ กลุ่มทุนสัมปทาน และกลุ่มทุนที่พึ่งพิงใบอนุญาตจากรัฐ กลุ่มเหล่านี้จะดำรงความได้เปรียบในตลาดได้ก็โดยผ่านนโยบายต่างๆ ของรัฐ มากกว่าที่จะเกิดจากความสามารถทางเทคโนโลยี หรือความสามารถด้านการแข่งขันในตลาด นัยนี้ จึงสอดคล้องกับกลไกการจัดสรรทรัพยากรแบบสั่งการ
ระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นที่ขับเคลื่อนไปด้วยทุนทั้งสองลักษณะนี้ จึงมีศักยภาพที่จะสร้างให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ผ่านการขูดรีดภายใน และส่งออกเพื่อนำเข้าส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากภายนอก แต่ไม่ได้ส่งเสริมทางเทคโนโลยี ไม่พัฒนาศักยภาพของคนในสังคมในวงกว้าง และสร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูง กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ ‘ระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นสร้างให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจได้’ แต่เป็นการเติบโตที่ ‘ไม่พัฒนา’ (growth without development)
สิ่งที่อยากเน้นย้ำ ณ จุดนี้ก็คือ ถึงแม้ระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นจะก่อให้เกิดปัญหามากมาย แต่ก็มีความคงตัวเปลี่ยนแปลงได้ยาก (durable) เหตุเพราะ มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ (และพันธมิตรทางการเมืองของพวกเขา) ได้ประโยชน์ จึงมุ่งรักษาโครงสร้างดังกล่าวเอาไว้อย่างแข็งขั้น
การรับมือวิกฤตแบบช่วงชั้น และการฟื้นตัวแบบอกแตก
เมื่อระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นเผชิญกับวิกฤต กลไกจัดการจะมีลักษณะดังนี้
ข้อแรก เมื่อเจอวิกฤต กลไกตลาดของระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นยังทำงานไม่ดีเท่ากับระบบตลาดแบบเสรี ทำให้ไม่ส่งเสริมผลิตภาพ ขณะเดียวกัน กลไกความร่วมมือระหว่างแรงงานและนายจ้างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่สามารถเจรจาเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขและประคองการจ้างงานได้ดีเท่าระบบตลาดร่วมมือ
การที่กระบวนการตัดสินใจแก้วิกฤตใช้อำนาจสั่งการตามลำดับชั้น ซึ่งจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถืออำนาจสูงสุดในโครงสร้างช่วงชั้นทางเศรษฐกิจการเมืองเป็นเกณฑ์ตัดสินใจร่วม (หรือกระทั่งการตัดสินใจหลัก) จึงทำให้การตัดสินใจต่างๆ ถูกทำให้ออกห่างจากอุดมคติ ไม่ว่าจะมองจากฝั่งประสิทธิภาพหรือความเป็นธรรมก็ตาม
ข้อสอง เนื่องจากการจ้างงานนอกระบบมีขนาดใหญ่ และสหภาพแรงงาน (นอกจากรัฐวิสาหกิจ) อ่อนแอ บริษัทต่างๆ มีความคล่องตัวที่จะลดการจ้างงานอย่างฉับพลัน [3] ในกรณีดังกล่าว ภาคเกษตรก็จะกลายเป็นตัวดูดซับแรงงานส่วนเกินอีกทอดหนึ่ง เมื่อแรงงานในภาคเกษตรเพิ่มขึ้นแต่ปัจจัยการผลิตเช่นที่ดิน มีจำกัดเท่าเดิม ผลิตภาพแรงงานในภาคเกษตรก็จะลดลงเป็นลูกโซ่
เมื่อนำแนวโน้มทั้งสองประการนี้มาประกอบกันจะพบว่า การเลือกปฏิบัติและการสั่งการเป็นลำดับชั้นแม้ในยามวิกฤต จะทำให้ทุนใหญ่ได้รับการปกป้อง และทุนขนาดกลางและขนาดย่อมอ่อนแอลง และแรงงานนอกระบบและเกษตรกรซึ่งเปราะบางอยู่แล้ว ถูกผลักให้ต้องดูแลตนเองอย่างเปลือยเปล่า
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจึงมีลักษณะอกแตก (bifurcated) กล่าวคือ ทุนขนาดใหญ่จะใหญ่ขึ้นและมีอำนาจในโครงสร้างช่วงชั้นทางเศรษฐกิจมั่นคงขึ้น ส่วนทุนและแรงงานที่อยู่ส่วนล่างของโครงสร้างตลาดแบบช่วงชั้นก็จะยิ่งหดเล็ก เปราะบางมากยิ่งขึ้นไปอีก [4]
เราอาจจะเห็นภาวะอกแตกเช่นนี้ได้โดยการย้อนกลับไปพิจารณาปรากฏการณ์ช่วงวิกฤต Sub-Prime Loan ถึงแม้ประเทศไทยจะอยู่ที่ชายขอบของวิกฤต และไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากเท่าสหรัฐอเมริกา-เยอรมนี ทว่า ก็ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจ (annual GDP growth) ลดลงจาก 5.43% ในปี 2007 ลงมาอยู่ที่ 1.72% ในปี 2008 และถดถอยติดลบราว -0.69% ในปี 2009 (World Bank, accessed 23 July 2021)
วิกฤตดังกล่าวกระทบกับผู้ที่เปราะบางที่สุดของไทย รายงานธนาคารโลกชี้ว่า ครัวเรือนที่มีรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายด้านอาหารและที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญเพิ่มสูงขึ้นในปี 2007 และอัตราความยากจนของไทยเพิ่มสูงขึ้นปี 2008 นับเป็นการเพิ่มสูงขึ้นครั้งแรกหลังวิกฤตต้มยำกุ้งเป็นต้นมา (Yang et al., 2020) ทว่า ความมั่งคั่งของ 10 ตระกูลที่รวยที่สุดของไทยกลับรวยขึ้นราว 120,000 ล้านบาท (Hewison, 2019) [5]
ปรับใหญ่ประเทศไทย ไปให้พ้นจากระบบตลาดแบบช่วงชั้น
ระบบตลาดทั้งแบบเสรี ตลาดร่วมมือ และตลาดแบบช่วงชั้น ใช้ระยะเวลายาวนานหลายทศวรรษ ก่อรูปและถักทอประสานกันขึ้นมาจากองค์ประกอบย่อยมากมาย จนกลายมาเป็นสภาพเช่นที่เห็นในปัจจุบัน องค์ประกอบย่อยแต่ละส่วนล้วนเกี่ยวพันส่งเสริมกัน จึงเปลี่ยนแปลงได้ยาก (durable)
กระนั้นก็ตาม ข้อเสียมากมายของระบบตลาดแบบช่วงชั้นได้กระตุ้นเตือนพวกเราถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องปรับตัวจนหลุดพ้นจากโครงสร้างปัจจุบัน และก้าวเข้าสู่โครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบใหม่ ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ อยากให้ความหวังแก่ผู้อ่านทุกท่านว่า การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้เพราะเคยเกิดขึ้นแล้วในเกาหลีใต้และไต้หวัน โดยค่อยๆ ปรับจากระบบตลาดแบบช่วงชั้นในช่วงทศวรรษที่ 1950s-1980s มาสู่ระบบตลาดแบบเสรี-ร่วมมือในช่วง 1990s เป็นต้นมา ผู้เขียนหวังว่าจะมีโอกาสนำประสบการณ์ปรับตัวของระบบเศรษฐกิจเหล่านี้มาเล่าโดยละเอียดแยกเป็นอีกบทความหนึ่ง ในอนาคตอันใกล้นี้
Works Cited
BBC. 2020. April 17. Accessed July 23, 2021. https://www.bbc.com/thai/thailand-52147660.
Brand Inside. 2021. July 9. Accessed July 23, 2021. https://brandinside.asia/thai-richest-by-forbes-2021/.
Hall, Peter, and David Soskice. 2009. “An introduction to Varieties of Capitalism.” In Debating Varieties of Capitalism: A Reader, by Bob Hancké. Oxford University Press.
Hewison, Kevin. 2019. “Crazy Rich Thais: Thailand’s Capitalist Class, 1980-2019.” Journal of Contemporary Asia 1-16.
Pissarides, Christopher. 2012. Unemployment in the Great Recession. November 8. https://www.youtube.com/watch?v=7CGlYAg0fHA.
Prajak, Kongkirati, and Kanchoochat Veerayooth. 2018. “The Prayuth Regime: Embedded Military and Hierarchical Capitalism in Thailand.” TRaNS: Trans –Regional and –National Studies of Southeast Asia 6 (2): 279-305. doi:doi:10.1017/trn.2018.4.
Rinne, Ulf, and Klaus Zimmermann. 2012. “Another economic miracle? The German labor market and the Great Recession.” IZA Journal of Labor Policy 1 (3): 1-21.
Schneider, Ben Ross. 2013. Hierarchical Capitalism in Latin America: Business, Labor, And The Challenges Of Equitable Development. Cambridge: Cambridge University Press.
World Bank. n.d. GDP growth (annual %) – Thailand. Accessed July 23, 2021. https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=TH.
Yang, Judy’, Shiyao Wang, and Reno Dewina. 2020. Taking the Pulse of Poverty and Inequality in Thailand. World Bank.
ชาคร, เลิศนิทัศน์, and จิตสุชน สมชัย. 2020. ความเปราะบางของประชาชนกลุ่มเปราะบางภายใต้โควิด-19. June 2. https://tdri.or.th/2020/06/impact-of-covid19-on-vulnerable-groups/.
ธนาคารแห่งประเทศไทย. 2560. BOT Symposium 2017: Innovating Thailand. Accessed July 23, 2021. https://www.pier.or.th/?conferences=bot-symposium-2017-innovating-thailand.
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. 2020. สรุปผลที่สำคัญ การสำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2563. กรุงเทพ: สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
[1] นอกจากนี้ มาตรการของรัฐที่เข้ามาช่วยอุดหนุนค่าจ้างผ่านผู้ประกอบการ (wage subsidies) ในเยอรมนีก็มีส่วนอย่างสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและลูกจ้าง ตกลงร่วมกันที่จะรักษาระดับการจ้างงานเอาไว้ได้เป็นผลสำเร็จ
[2] ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับระดับการผูกขาดในแต่ละอุตสาหกรรมได้จากอกสารประกอบการสัมมนาของฉัตร คำแสง และพัชรสุทธิ์ สุจริตตานนท์ ในงาน BOT Symposium 2017: Innovating Thailand
[3] ในหลายภาคอุตสาหกรรม ทุนขนาดใหญ่จำนวนน้อยรายเหล่านี้ มิได้เป็นของนายทุนสัญชาติไทย แต่เป็นบรรษัทข้ามชาติ ดังนั้นจึงไม่ได้มีพันธะที่จะต้องดูแลหรือให้ความสำคัญกับแรงงานไทย เว้นแต่จะถูกกดดันจากนโยบายรัฐ
[4] ลักษณะอกแตกเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้นหากวิกฤติดังกล่าวมีขนาดใหญ่มากจนกระทั่งสั่นคลอนโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งระบบอย่างฉับพลันทันด่วน หรือมีช่องทางส่งผ่านวิกฤติที่เข้าปะทะส่วนบนของโครงสร้างโดยตรง
[5] ถึงแม้วิกฤติรอบล่าสุดอย่าง Covid-19 Crisis จะยังไม่จบลง แต่เราก็เห็นเค้าลางสภาวะอกแตกเช่นนี้ได้ระดับหนึ่ง โดยพิจารณาจาก การคาดการณ์ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง (ดูชาคร และ สมชัย, 2020) และการลดลงของรายได้และการว่างงานทั้งระบบเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นมาก แต่ยังมีมหาเศรษฐีไทย 8 รายที่มีความมั่งคั่งสินทรัพย์สูงขึ้นในปี 2020 (BBC, 2020) และในการจัดอันดับล่าสุดของ Forbes ปี 2021 มหาเศรษฐีไทยก็ยังคงมีการเติบโตของความมั่งคั่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 5 อันดับแรก (ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์เป็นครึ่งหนึ่งของ top 50 เศรษฐีไทย) มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 440,000 ล้านบาทโดยประมาณ (Brand Inside, accessed 23 July 2021)