ท่านผู้อ่านที่กำลังตื่นเต้นเร้าใจไปกับซีรีส์ The Chestnut Man(2021) หรือจะเป็นซีรีส์ Deadwind (2018-2021) หรือ Trapped (2015) ในเน็ตฟลิกซ์ ก็คงจะได้ซึมซับบรรยากาศอันมืดหม่นมัวหมอง ภูมิประเทศภูมิอากาศของดินแดนนอร์ดิค คนผู้ไม่คุ้นตา ภาษาอันไม่คุ้นหู พร้อมๆ การคลี่คลายปมฆาตกรรมรหัสคดีเร่งจังหวะชีพจร
แน่นอนว่าเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าส่งออกของภูมิภาคนาม นอร์ดิค นัวร์ (Nordic Noir)
หากจะกล่าวอย่างรวบรัดสักหน่อย แฟนนอร์ดิค นัวร์ทั้งหลายจะเห็นว่ามีองค์ประกอบบางประการร่วมกันในงานแนวนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครต่างๆ จะเป็นคนธรรมดา (ในความหมายว่าไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศ) ไม่มีพาหนะ อาวุธ หรือเครื่องไม้เครื่องมือทำงานล้ำสมัยอะไร ไม่ได้ฝึกการรบประชิดตัวไปมากกว่าโรงเรียนฝึกตำรวจ
เราจะเห็นตัวละครหลัก เป็นตำรวจผู้มีมวลความหดหู่อยู่รอบตัว ชีวิตครอบครัวของพวกเขาหรือเธอดูจะไม่สมบูรณ์อะไรนัก บ้างผ่านการหย่าร้าง บ้างมีปมอะไรจากวัยเด็ก บ้างเป็นโรคบางอย่างทั้งทางร่างกายหรือทางจิต ความทรงจำบางอย่างจะกลับมาทำร้ายพวกเขาหรือเธอเสมอๆ เมื่อพบเข้ากับกรณีฆาตกรรมอันโหดร้าย มีเงื่อนงำ – เหล่านี้ต่างประกอบขึ้นกันเป็นตัวละครอันเว้าแหว่ง ผุพัง
นอกจากนี้ ประเด็นที่สำคัญที่จะเห็นปรากฏในงานแนวนอร์ดิค นัวร์ คือประเด็นเรื่องเพศ ความไม่เท่าเทียมทางเพศ และเรื่องเด็ก ไม่ว่าจะฝั่งตำรวจผู้สอบสวนกรณีการฆาตกรรม หรือทางฝั่งผู้ตาย ซึ่งในหลายกรณีเป็นผู้หญิง หรือเป็นเด็ก
ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่สำคัญ คือเราจะเห็นความเป็นการเมืองในงานแนวนี้ โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์สังคม ซึ่งเป็นรัฐสวัสดิการ อันเป็นประเด็นที่ผมจะกลับมาในตอนท้าย
ที่มา
ประวัติของนิยายแนวสืบสวนสอบสวนในสแกนดิเนเวียนั้น อันที่จริงสามารถย้อนไปได้ไกลทีเดียวครับ เราจะเห็นการเขียนเรื่องแต่งว่าด้วยการฆาตกรรมตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 แม้ว่าในการศึกษาวรรณกรรมโลก งานในแนวนี้จะถูกอ้างจุดกำเนิดไปถึง The Murders in the Rue Morgue (1841) ของ เอ็ดการ์ แอลลัน โพ (Edgar Allan Poe, 1809-1849) แต่เราจะเห็นงานร่วมสมัย หรือก่อนหน้าที่โพจะเขียนงานนี้ จากนักเขียนชาวสแกนดิเนเวียจำนวนหนึ่งแล้ว
แต่ถ้าจะให้เป็นทางการ มีผู้เสนอว่าจุดเริ่มต้นของนอร์ดิค นัวร์มาจากสตอคโฮล์มครับ เป็นงานของ Prins Pierre (นามปากกาของ เฟรดริค ลินด์โฮล์ม -Fredrik Lindholm, 1861-1938) เรื่อง Stockholms-detektiven (The Stockholm Detective) ตีพิมพ์ในปี 1893 ซึ่งเข้าองค์ประกอบการเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนครบครัน
ในช่วงทศวรรษต่อๆ มานิยายในแนวนี้จึงวัฒนาเป็นแนวทาง ซึ่งตอบสนองกับตลาดหนังสือในเวลานั้นด้วย จึงมีการเรียกนักเขียนในยุคปลายศตวรรษที่ 19 ถึงช่วงประมาณทศวรรษที่ 1930 นี้ว่าเป็นรุ่นแรก (first generation)
นักเขียนรุ่นต่อมาจะตีพิมพ์งานในช่วงตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองไปถึงช่วงทศวรรษ 1960 แนวทางของงานในช่วงนี้จะมีลักษณะเหมือนจริงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต่างจากงานในรุ่นแรกที่จะยังมีมิติของการผจญภัย หรือความลึกลับ
ในรุ่นนี้คนที่โดดเด่นคือ สตีก เทรนเตอร์ (Stieg Trenter, 1914-1967) ผู้ถือว่าเป็นหนึ่งในนักเขียนบุกเบิกงานในแนวทางนี้ เขาเขียนงานจำนวนมากตลอดหลายสิบปี
เสาหลักอีกคนหนึ่งในรุ่นนี้เป็นนักเขียนหญิงคือ มาเรีย แลง (นามปากกาของ ดักมาร์ ลังเกอ -Dagmar Lange, 1914-1991) ซึ่งนับว่าเป็นนักเขียนหญิงคนสำคัญแรกๆ ของสวีเดนที่ช่วยบุกเบิกงานแนวสืบสวนสอบสวน ข้อเด่นของนิยายมาเรีย แลงนั้นคือการนำประเด็นเรื่องความรักและเพศวิถีเข้ามาอยู่ในนิยาย เช่น ในนิยาย Mördaren ljuger inte ensam (The murderer does not lie alone, 1949) ซึ่งติดอันดับขายดี เป็นเรื่องของการฆาตกรรมด้วยความหึงหวงของตัวละครที่เป็นเลสเบี้ยน เป็นต้น
บุกเบิกสู่นอร์นิค นัวร์สมัยใหม่
จะว่าไปแล้ว จุดเปลี่ยนที่ถือเป็นกำเนิด หรือเป็นต้นธารของงานที่จะกลายเป็นสกุลนอร์ดิค นัวร์ในปัจจุบันนั้น เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา หรืออาจจะเรียกอย่างลำลองว่าเป็นรุ่นที่สามก็ได้
เหตุผลสำคัญประการหนึ่ง คือทศวรรษนั้นถือเป็นช่วงที่รัฐสวัสดิการภายใต้รัฐบาลสังคมนิยมประชาธิปไตยเติบโตที่สุด รูปแบบ Swedish Model ที่มีการพูดถึงกันนั้น คือการพูดถึงรูปแบบของรัฐอย่างสวีเดนในช่วงทศวรรษที่ว่านี้นั่นเอง
คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่ในช่วงทศวรรษนี้มีนักเขียนสองคนที่ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ปู่ย่าตายายของนอร์ดิค นัวร์’ หรือ ‘คู่ผู้ให้กำเนิดนอร์ดิค นัวร์’ และทำให้งานแนวนี้โด่งดังไปในระดับนานาชาติคือ เมย์ เชอวัล (Maj Sjöwall, 1935-2020) และ แพร์ วาห์เลอ (Per Wahlöö, 1926-1975)
ชุดงานที่โด่งดังไปทั่วโลก ของทั้งสองคือตำรวจสืบสวนนามมาร์ติน เบก (Martin Beck) จำนวน 10 เล่มที่เขียนในช่วงปี 1965-1975 จุดสูงสุดของรัฐสวัสดิการสวีเดนพอดี
มาร์ติน เบก เป็นตำรวจธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีจิตสำนึกทางสังคม มีทักษะและสัญชาตญาณในการสืบสวนสอบสวน แต่เขาจะทำงานร่วมกับทีม และต่างคนในทีมต่างก็มีทักษะต่างๆ กันออกไป ต่างช่วยกันไขคดีฆาตกรรมจนสำเร็จในที่สุด
นอร์ดิค นัวร์ วิพากษ์รัฐสวัสดิการในทศวรรษ 1960
และสิ่งที่ทำให้งานของเชอวัลและวาห์เลอแผ้วถางบุกเบิกนอร์ดิค นัวร์สมัยใหม่นั่นก็คือเรื่องการเมืองที่เข้ามาอยู่ในทุกงานของทั้งสอง
นิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องแรก Roseanna (1965) ว่าด้วยนักท่องเทียววัยรุ่นสาวชาวอเมริกันที่มาตายตอนท่องเที่ยวสวีเดน เรื่องไปลงเอยที่ฆาตกรเป็นคนเกลียดชังผู้หญิง (misogynist) ซึ่งสะท้อนปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางเพศที่อยู่ในสังคมสวีเดน
หรือเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากคือ Polis, polis, potatismos! (1970 แปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ Murder at the Savoy) เป็นกรณีฆาตกรรมคนรวยในโรงแรมหรูเมืองมัลโม (Malmö) อันมีเหตุจูงใจเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ ผู้ฆ่าและผู้ตายไม่รู้จักกันส่วนตัวมาก่อนเลย
เนื้อเรื่องปูฉากการที่ระบบอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนไปให้เอกชนลงทุนในสวีเดน ทำให้คุณภาพการอยู่อาศัยของคนเลวร้ายลง และต้องย้ายออกไปอยู่ชานเมือง ในอพาร์ตเมนต์ที่คุณภาพต่ำและห่างไกล เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ได้เงินภาษีมาสะสมความร่ำรวยในนามของรัฐสวัสดิการ
แน่นอน ผู้ตายเป็นนายทุนเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์
นี่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐสวัสดิการ ในช่วงเวลาที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว รัฐสวัสดิการประสบความสำเร็จที่สุดด้วยซ้ำไป
เข้าสู่ยุคโด่งดังนานาชาติ
และนี่เป็นการวัฒนาไปของงานในแนวนอร์ดิค นัวร์ ที่เริ่มทำให้ผู้อ่านตั้งคำถามว่า “สรุปแล้วเราจะโทษใคร เราจะโทษฆาตกรอย่างเดียวได้หรือ”
ท่ามกลางนักเขียนจำนวนมากที่อาจจะไม่มีพื้นที่ในที่นี้ ผมเดาเอาว่าผู้อ่านจำนวนมากคงจะต้องรู้จักงานนอร์ดิค นัวร์จากงานไตรภาคของ สตีก ลาร์สสัน (Stieg Larsson, 1954-2004) ภาษาอังกฤษในนาม Millennium Trilogy ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก
งานของสตีก ลาร์สสันพานอร์ดิค นัวร์ไปสู่ยุคสมัยใหม่เข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นตัวละครหลักหญิงลิซเบธ ซาลันเดอร์ ที่ตกอยู่ภายใต้ระบบราชการอันฉ้อฉล ระบบชายเป็นใหญ่ที่กดทับ ระบบทางสังคมที่ไม่เป็นธรรม ความไม่เท่าเทียมระหว่างชนบทและเมือง คนจนและคนรวย ความรุนแรงและการลอยนวลพ้นผิด ฯลฯ
แต่แทนที่ตัวเอกจะมีมวลความหดหู่อยู่รอบตัวตามแบบฉบับดั้งเดิม เธอกลับกลายเป็น ‘พยัคฆ์สาว’ เปลี่ยนการกดขี่เหล่านี้เป็นไฟให้เธอตามหาความยุติธรรม ซึ่งถือเป็นการโอบรับเอาแนวทางนิยายของโลกแองโกล-และโดยเฉพาะ-อเมริกันเข้ามา และนั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำไมนิยายไตรภาคนี้จึงโด่งดังไปทั่วโลก
นี่เป็นเพียงน้ำจิ้ม เผื่อผู้อ่านท่านใดอยากจะลองหาอะไรดูในสตรีมมิ่ง ผมแนะนำนอร์ดิค นัวร์
เพราะสุดท้ายเราควรจะโทษใคร หรืออะไรกันแน่ เราจะโทษฆาตกรอย่างเดียวได้หรือ
อ้างอิง
– Sara Kärrholm, “Criminal Welfare States, Social Consciousness, and Critique in Scandinavian Crime Novels” in Rebecca Martin (ed) Critical Insights: Crime and Detective Fiction, 2013, 132-151.
– Kerstin Bergman, Swedish Crime Fiction: The Making of Nordic Noir (2014)
– Ian Macdougall, The Man Who Blew Up the Welfare State, n+1, February 27, 2010