อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
นี่หากยุวชนคนรุ่นหลังลูกหลานไม่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องต้องการเลือกตั้ง ปราศจากเสียซึ่งกระแสบีบคั้นกดดัน ป่านนี้ก็คงจะอมพะนำ ทำไขสือกันต่อไป
แต่ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะแสดงท่าทีความชัดเจนเป็นครั้งแรก ยืนยันการเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ก็ตามที
ทว่า นอกเหนือไปจากผู้คนแวดวงคสช.แล้ว ดูเหมือนจะมีก็เพียงแต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เท่านั้น ที่พูดจาเต็มปากเต็มคำ แสดงความเชื่อมั่นว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นดังวจีวาจาของหัวหน้าคณะรัฐประหาร
ขณะที่หลายคนคงยังไม่ปักใจเชื่อลมปาก พล.อ.ประยุทธ์ มากนัก ว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นจริงแท้แน่นอนในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
ที่เป็นเช่นนั้น เนื่องเพราะความน่าเชื่อถือความไว้วางใจในตัวผู้ปกครองคสช. อยู่ในระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เสื่อมทรุดลงไปเป็นอันมาก ถึงมากที่สุด
มีอย่างที่ไหน ขอเวลาอีกไม่นาน แต่เกือบสี่ปีเข้าไปแล้ว ยังไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจอธิปไตย คืนแก่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศเสียที
มิหนำซ้ำ กลับดำเนินความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจโดยไม่แยแสสนใจความรู้สึกของเพื่อนร่วมชาติ
สัญญาจะคืนความสุขให้กับประชาชนบ้าง อ้างแผ่นดินที่งดงามจะกลับคืนมาบ้าง ฯลฯ แล้วเป็นอย่างไร สุขกันลำพังเฉพาะกลุ่มชนชั้นนำ และคณะผู้ปกครองคสช. ตลอดจนสมุนบริวารเท่านั้นเอง ในขณะที่ชาวบ้านราษฎรลำบากยากแค้น ทุกข์ระทมกันถ้วนหน้า
จนแล้วยังถูกโกง เบียดบัง อมได้แม้กระทั่งเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและคนไร้ที่พึ่ง
บอกว่าจะทำอย่างซื่อตรง แต่กลับมีข่าวทุจริตคอร์รัปชันให้เห็นมิได้น้อยหน้า ย่อหย่อนไปกว่ารัฐบาลพลเรือนที่เคยก่นด่าว่าโกงบ้านกินเมือง แต่อย่างใด
ทำตัวเองทั้งสิ้น
แต่พอลูกหลาน คนรุ่นหลังทำหน้ากากล้อเลียนนายกรัฐมนตรีเป็นพิน็อกคิโอเข้าหน่อย ทำเป็นสนิมสร้อย ทนไม่ได้จะเป็นจะตายกันขึ้นมา
ที่กล่าวข้างต้น ใช่ว่ารัฐประหารไม่มีดีเอาเสียเลย มีบ้างอยู่เหมือนกัน ไม่ปฏิเสธว่าระบอบคสช. สามารถจัดการปัญหาบางประการที่นักการเมืองไม่อาจจะกระทำได้ เพราะมิพักต้องไปคำนึงถึงคะแนนเสียงความนิยม
แต่ก็หาได้ก่อเกิดประโยชน์โพดผลอะไรมากมายนัก เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับความเสียหายของประเทศชาติจากการเข้าครอบงำของระบอบทหาร โดยข้ออ้างว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาให้กับบ้านเมือง ปฏิรูปแผ่นดิน ซึ่งเอาเข้าจริงกลับเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
ดังนั้นจึงไม่แปลกประหลาดอันใดเลยที่ผู้คนจะครหานินทา มองการเข้ามาแทรกแซงการเมืองของกองทัพเป็นเพียงแค่เกมแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ สลับสับเปลี่ยนกันระหว่างทหารกับนักการเมืองเท่านั้นเอง
อ้างชาติบ้านเมืองไปเรื่อย สุดแท้แต่จะอ้าปากกระดกลิ้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วกระสันอยากจะเสพอำนาจรัฐเฉกเช่นนักการเมือง แต่ไม่ปรารถนาจะลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะไม่จัดเจน ลงไปก็พ่ายแพ้แก่นักเลือกตั้ง โดยหาได้มีเนื้อหาสาระใดอื่นเลยไม่
สบโอกาสเมื่อไรจึงต้องทำรัฐประหาร หาช่องทางสืบทอดอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง
กระนั้นก็ตามเถอะ ไม่ว่าเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปหรือไม่ก็ดี การออกมาพูดจาแสดงความชัดเจนของพล.อ.ประยุทธ์ อย่างน้อยที่สุดก็ส่งผลทำให้บรรยากาศทางการเมืองผ่อนคลายไปได้พอสมควรทีเดียว
สอดรับกับการเปิดรับจดแจ้งเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมือง เมื่อปรากฏมีผู้แสดงความจำนง ประสงค์จะจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่คับคั่งมากกว่าห้าสิบกลุ่ม
มากันโดยพร้อมเพรียง ทั้งหน้าเก่าและคนใหม่ ท่ามกลางสายตาผู้คนที่จับจ้อง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กลุ่มการเมือง คณะ หรือพรรคใด พอจะเป็นความหวังให้ประชาชนพึ่งพาได้บ้าง กลุ่มไหนมีใครอยู่เบื้องหลัง เป็นนอมินีให้กับผู้ใดหรือเปล่า
ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยว ที่เห็นลิบลับลอยมาแต่ไกล มีทั้งขอนไม้ หมาเน่า และก้อนปฏิกูล
จะขาดไปก็แต่เพียงพรรคกปปส. ซึ่งชื่อเต็มเหยียดยาวราวกับขบวนรถไฟว่า พรรคมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ยังไม่มาตามนัดเสียที
หรือจะรอเพิ่มชื่อพรรค พ่วงว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรีเข้าไปด้วยก็ไม่ทราบ
ที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นเหล่าบรรดาคนดีตามมาตรฐาน “ไทยนิยม” ซึ่งปวารณาตน แสดงตัวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมิพักต้องลงสมัครรับเลือกตั้งให้ลำบากยากเย็น โดยไม่แยแสไยไพว่าใครจะเย้ยหยันดูแคลนเป็นเพียงแค่พรรคเฉพาะกิจเฉพาะกาล
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีกลุ่มการเมืองคนรุ่นใหม่ ซึ่งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจ ทายาทกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท เจ้าของฉายาไพร่หมื่นล้าน หลานชายนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กับนายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ และคณะ เป็นผู้ก่อการ ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึง สร้างความหวือหวา ฮือฮา กระแสแรงในหมู่หนุ่มสาว ชนชั้นกลาง
เป็นความหวังให้กับใครหลายคน ในฐานะทางเลือกใหม่ล่าสุดที่อุบัติขึ้นมาในสังคมไทย ท่ามกลางความขัดแย้งของเพื่อนร่วมชาติ การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนสีเสื้อต่างกัน นำมาสู่ข้ออ้างทำรัฐประหาร และดำเนินความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจต่อไปอยู่ในขณะนี้
ที่ผ่านมา อาจจะเคยมีพรรคการเมืองใหม่ๆ สร้างปรากฏการณ์ จุดประกายความหวังให้กับผู้คน ในสังคมไทยมาแล้วหลายครั้งหลายครา
ไม่ว่าจะเป็นพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย หรือพรรคพลังใหม่ ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 พรรคพลังธรรม ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 หรือพรรคไทยรักไทย ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2540 โดยหวังจะเป็นคัมภีร์นำไปสู่การปฏิรูปทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอยู่ไม่น้อยในระหว่างพรรคการเมืองดังกล่าวเหล่านั้น กับกลุ่มการเมือง ซึ่งมีการจดแจ้งเตรียมการจัดตั้ง ทั้งในเรื่องของพื้นฐานที่มา บุคลากร อุดมการณ์ความคิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับภาพความเคลื่อนไหวของหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่รวมตัวผลักดันจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาโดยมีเป้าหมายแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติ
ความคิด อุดมการณ์ทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งท้าทายผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเชื่อมั่นศรัทธาภักดีต่อระบอบเก่าไม่เสื่อมคลาย
เคยสื่อสารถกแถลงแสดงทัศนะที่น่าสนใจถึงทิศทางความเปลี่ยนแปลงอันควรจะเป็นของสถาบันหลักๆ ที่สำคัญในสังคมไทย
มีการอ้างอิงพูดถึงแนวทางของพรรคการเมืองซ้ายใหม่ในยุโรป
น่ารับฟังเสียทั้งสิ้น ท่ามกลางความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ยามเมื่อมีสถานะเป็นนักการเมืองซึ่งเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา
จะหมอบกราบไปพูดไปก็คงดูกระไรอยู่
หากจัดตั้งพรรคการเมืองได้สำเร็จ สามารถขับเคลื่อนอุดมการณ์ความเชื่อเช่นที่เคยสื่อสาร แสดงออกต่อสาธารณะ
ก็ต้องถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลตามมาในวันข้างหน้า โดยยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
เกิดมาจนอายุปูนนี้ จะได้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรกกับเขาเสียที