อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ชั่วชีวิตนี้ผ่านผู้ปกครองมาก็มากหน้าหลายตา ประสบพบเห็นการทำรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญก็หลายครั้ง เจอะเจอกับเหตุการณ์จลาจล ประชาชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านผู้ปกครองทรราชก็หลายหน คงไม่เกินเลยแต่ประการใดที่จะกล่าวว่า ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา ที่คณะราษฎรได้ก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมุ่งมาดปรารถนาที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย
นับแต่นั้น ไม่น่าจะมีปรากฏการณ์ความเป็นไปทางการเมืองใดเลวร้ายไปกว่าการที่ประเทศชาติบ้านเมืองตกอยู่ภายใต้ระบอบปกครองกึ่งเผด็จการทหารกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกแล้ว
เพราะที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการเมืองไทยจะวนเวียนอยู่ในวังวนของการเลือกตั้ง ซื้อเสียง รัฐประหาร และยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยไม่แตะต้องบางหมวดบางมาตรา ดำเนินการเสร็จสรรพแล้วกลับมาเลือกตั้งอีกครา ก่อนที่กองทัพจะทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
เป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จักจบสิ้น
กระนั้นก็ตาม การแก่งแย่งอำนาจช่วงชิงผลประโยชน์ระหว่างนักการเมืองกับทหารยังคงเป็นไปอย่างพื้นๆ ไม่ได้มีเหลี่ยมคูอะไรสลับซับซ้อนมากมายนัก
ไม่เผด็จการพลเรือนก็เผด็จการทหารเปลี่ยนหน้ากันเข้ามากุมอำนาจรัฐ
อาจจะแอบอ้างปาฏิหาริย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้างเพื่อแหกตาประชาชน เพิ่มความขลัง สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเองก็เท่านั้น
บางคนบนความเลวร้ายยังพอมีเรื่องราวอันเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติบ้านเมืองให้พูดถึงอยู่บ้าง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับเทคโนแครต นำไปสู่พัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละยุคแต่ละสมัย ดังเช่นกรณีของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
อย่าได้ไปเปรียบเทียบกับเผด็จการน้องเล็กคนสุดท้องเข้าเชียวว่า ทำประโยชน์โพดผลอะไรฝากไว้ให้กับลูกหลานคนรุ่นหลังบ้าง นอกเหนือไปจากหนี้สาธารณะและเพลงให้สัญญาลมๆ แล้งๆ บนยูทูป
จะว่าไปแล้ว ก่อนนั้นไม่ว่าจะเป็นทรราชมาจากกองทัพหรือเผด็จการมาจากการเลือกตั้ง ดูจะยังพอมีสติ จิตสำนึก หิริโอตัปปะหลงเหลืออยู่บ้าง แม้อาจจะน้อยนิด แต่ก็รู้ว่าความเหมาะสมอยู่ตรงไหน อะไรยอมได้ อะไรยอมไม่ได้ สิ่งไหนจะเป็นผลร้ายสืบไปในภายภาคหน้า สิ่งใดจะก่อให้เกิดผลกระทบระยะยาวไกลไปถึงลูกหลานยุวชนคนรุ่นหลังที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า
จะเลวร้ายอย่างไรก็ไม่ถึงกับยอมให้ใครนำพาชาติบ้านเมืองหวนคืนสู่ระบอบเก่า
มาเปลี่ยนไปในระยะหลังนี่เอง เริ่มตั้งแต่ยุคของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พร้อมยอมทุกอย่าง กระทั่งเอาหลักการประชาธิปไตยไปแลกเปลี่ยน โดยหวังว่าจะเป็นมรรคผ หนทางให้ตัวเองได้เสวยสุขเสพอำนาจต่อไปยาวนาน
สุ่มเสี่ยงปล่อยยักษ์ออกจากขวดแก้ว โดยไม่คิดใคร่ครวญเลยว่าจะสร้างปัญหา เป็นภาระให้กับเยาวชนลูกหลานหรือไม่อย่างไรในวันข้างหน้า
ไม่ใช่สมัยนี้หรอกหรือ ที่กองกำลังส่วนตัวซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา
มิพักพูดถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ทุกวันนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนากับเขาบ้างก็เท่านั้นเอง อ้างผู้คนกำลังจะตีกันมาเป็นเหตุก่อรัฐประหาร สืบทอดอำนาจด้วยการทำปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครองมาอยู่ภายใต้ระบอบกึ่งเผด็จการทหารกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ขุนยักษ์จนอ้วนพี ปรนเปรอบำเรอให้ทุกอย่างโดยไม่รู้จักบันยะบันยัง ไม่แยแสสนใจเลยว่าชาวบ้านราษฎรเขาอยู่กันอย่างไร ลำบากยากแค้นกันแค่ไหน
นำพาชาติบ้านเมืองถอยหลังเข้ารกเข้าพง ยิ่งกว่ายุคไหนสมัยใด
เอาฝ่ามือปิดแผ่นฟ้า คำก็ก้าวล่วง อีกคำก็ไม่บังควร ทั้งๆ ที่โลกเราทุกวันนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงความจริงได้ด้วยเพียงปลายนิ้ว หากไม่หลอกตัวเองและผู้อื่นแล้ว แต่ละคนย่อมรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่า อะไรเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ ใคร ไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร
ในยามวิกฤตมีผู้ใด ใครอยู่เคียงข้างประชาชนบ้าง
เป็นไงละที่เที่ยวไล่คนอื่นไปอยู่ต่างประเทศโดยอ้างว่าเป็นพวกชังชาติบ้าง คุยเขื่องว่าแม้แต่ต่างชาติยังอยากมาอยู่เมืองไทยบ้าง
แล้วมีอย่างที่ไหนเพียงแค่คำว่า “หมดศรัทธา” ยังบ้าจี้ บังคับให้ผู้คนรัก พูดความจริงออกมาไม่ได้ แม้จะสุภาพหรือปรารถนาดีอย่างไรก็ตามที
เพียงแต่ไม่มีใครอนาทรร้อนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ลิ้นจุกปากร้องไม่ออกเพราะสมประโยชน์ หรือตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบปกครองที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำทั้งหลาย เศรษฐีนายทุน นักการเมือง ข้าราชการ ทหารตำรวจ
ขณะที่คนชั้นกลาง ชนชั้นล่างได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ก้มหน้าก้มตาอยู่กันไปตามประสายถากรรม ลำพังหาเลี้ยงครอบครัวเอาตัวรอดไปวันๆ ก็ยุ่งยาก ลำบากพออยู่แล้ว จะไปหาเรื่องให้เปลืองตัวอีกทำไม
แต่คงไม่ใช่ยุวชนลูกหลาน นักเรียน นิสิตนักศึกษา ที่ยังมีจิตวิญญาณอิสระเสรี ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรด้วยจากระบอบปกครองกึ่งเผด็จการทหารกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตรงกันข้าม เยาวชนเหล่านี้นี่แหละที่เป็นกลุ่มคนซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยตรงในอนาคตวันข้างหน้า จากมรดกอัปยศที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังตามล้างตามเช็ด
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่จะเกิดแฟลชม็อบสาปส่งเผด็จการ นักเรียนนักศึกษาลุกฮือขึ้นประท้วงต่อต้านรัฐบาล ลุกลามออกไปทั่วประเทศ
ยิ่งมีกรณีของนายวรายุทธ หรือบอส อยู่วิทยา เข้ามาผสมโรง สะท้อนให้เห็นถึงเอกสิทธิ์อภินิหารของชนชั้นนำในสังคมไทยที่สามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งย่ำยีกฎหมายกบิลเมือง เย้ยหยันกระบวนการยุติธรรม ทำผิดให้กลายเป็นถูก โดยมีตำรวจและอัยการเป็นเครื่องมือ ดำเนินการกันเป็นขบวนการ ฯลฯ ด้วยแล้ว ยิ่งเหมือนเป็นเชืิ้อเพลิงหนุนนำ สร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวยิ่งขึ้น
กลายเป็นครั้งแรกสำหรับสังคมไทยเลยก็ว่าได้ ที่มีการหยิบยกเอาประเด็นเกี่ยวด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาอภิปราย วิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นกันกลางม็อบ
ปรากฏข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับการเมืองให้เกิดความชัดเจน สอดรับกับหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริง
จริงอยู่ว่าข้อเรียกร้องแทบทั้งหมด ยากจะเป็นไปได้ในเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศยุบสภา หยุดคุกคามประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้ผู้คนในระบอบเก่าได้ฉุกคิดใคร่ครวญหนักกว่าครั้งใด
ที่เคยผลุนผลันฉุนเฉียวโมโหง่ายก็สงบปากสงบคำ แสดงท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ในบางประเด็นเสียด้วยซ้ำ
เป็นฝันร้ายหลอกหลอนผู้คนในระบอบปกครองกึ่งเผด็จการทหารกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตลอดไปนับแต่นี้
แม้จะยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไร จะเกิดอุบัติเหตุประการใดขึ้นมาหรือไม่ แต่อย่างน้อยแฟลชม็อบก็ได้นำมาซึ่งความปกติใหม่ หรือ New Normal ยกมาตรฐานสิทธิเสรีภาพของประชาชนขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ปล่อยให้เป็นการเคลื่อนไหวของหนุ่มสาวพลังบริสุทธิ์ต่อไปเถิด ให้พวกเขาสร้างสังคมใหม่ขึ้นมาตามใจปรารถนา โดยไม่สมควรที่ใครจะเข้าไปแทรกแซงหรือขัดขวางพัฒนาการทางประชาธิปไตยที่กำลังเกิดขึ้น
บ้านนี้เมืองนี้จะอยู่กันแบบเดิมๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนจริงๆ อย่าได้หลอกลวงตัวเองต่อไปอีกเลย