อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ถึงเพลานี้ก็ล่วงเลยผ่านมากว่าสามปีแล้วที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จะเต็มอกเต็มใจหรือกล้ำกลืนฝืนทนก็ตามที ต่างตกอยู่ภายใต้ระบอบปกครอง คสช. โดยได้แต่แลดู พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา กับพวกอันกอปรไปด้วยแม่น้ำ 5 สาย ซึ่งเน่าเสียเต็มไปด้วยมลพิษ ทั้งทหารและพลเรือน ชี้นำกำหนดอนาคตชาติบ้านเมืองโดยลำพังตามอำเภอใจ
ย้อนหลังกลับไปเมื่อสามปีก่อน บางคนอาจจะลืมเลือนไปเสียแล้วด้วยซ้ำว่าอะไรเกิดขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่การเมืองซึ่งควรเป็นเรื่องของการอาสา เสียสละ จัดสรรปันประโยชน์เพื่อคนส่วนใหญ่ กลับนำมาซึ่งความแตกแยกของคนในชาติ ประชาชนอ้างประชาธิปไตย-ความถูกต้อง เผชิญหน้าฆ่าฟันกันเอง
จนกลายเป็นเงื่อนไข เปิดโอกาสให้กองทัพ-ทหารก่อการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลพลเรือน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยง่ายดาย
และไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น กองทัพ-ทหารยังสามารถทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพรรคเดียวกันนี้ได้อย่างง่ายดายถึงสองครั้งสองคราในระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 10 ปี
เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
หากมิได้มองปรากฏการณ์ที่ผ่านมาในลักษณะของการเอาดีเข้าตัว ชั่วโยนให้คนอื่นเสียแล้ว ไม่อาจปฏิเสธไปได้เลยว่าทั้งหมดเกิดมาจากการที่สังคมไทยอ่อนแอทางปัญญาเป็นพื้นฐาน มีปัญหาการศึกษาที่ไม่ได้หมายถึงคุณวุฒิหรือปริญญา แต่เป็นเรื่องของความรู้ ตรรกะ หลักการ เหตุผล โครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรมประเพณี จริยธรรม ความเชื่อ ที่เป็นปฏิปักษ์ มิได้สอดรับกับความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์และอุดมการณ์ประชาธิปไตย
สำคัญที่สุดคือ ชนชั้นนำของไทยไม่พร้อมยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้ว หรือแทบทั้งหมด ล้วนผ่านการศึกษามาจากประเทศแม่แบบประชาธิปไตยทั้งสิ้น
มีอย่างที่ไหนบอกว่าปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ผู้คนในสังคมกลับปราศจากเสรีภาพแท้จริง ไม่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน อันถือเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับสังคมประชาธิปไตย นอกเหนือไปจากการเลือกตั้ง
ทำได้ถึงขนาดคิดจะเอาผิดประชาชนซึ่งเข้าไปติดตามข่าวสาร อ่านบทความทางอินเทอร์เน็ต
และด้วยเพราะชนชั้นนำและผู้ปกครองแอบอิงประโยชน์จากความไม่เป็นประชาธิปไตยในสังคมไทย ดังนั้น จึงหาแปลกประหลาดอันใดไม่ ที่สามปีของการรัฐประหารจะมิได้ก่อประโยชน์โพดผลแก่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศมากมายนัก
จะจัดระเบียบ จะปรับทัศนคติ จะปฏิรูปโน่น วางยุทธศาสตร์นี่ มีรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับปีพุทธศักราช 2560 ออกมาใช้บังคับ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาขึ้นมาสักกี่มากน้อย ว่าสิ่งที่ระบอบ คสช. ผลักดันดำเนินการส่งผลทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองวัฒนาสถาวรสืบไป
หากพินิจพิจารณาเจตนารมณ์หัวหน้าคณะรัฐประหารที่ว่า
“เพื่อยุติความขัดแย้งของคนในชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นภายใต้ระบบบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เป็นการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ผ่านกระบวนการดังกล่าว ซึ่งเดิมรัฐบาลปกติได้ใช้อำนาจนั้น โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ ในเวทีนานาชาติ บนพื้นฐานของการรักษาผลประโยชน์ชาติ และสร้างความ มั่นใจในการลงทุน การประกอบกิจการต่างๆ ของชาวต่างประเทศในประเทศไทย
สร้างเสถียรภาพในทุกมิติ ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างสมบูรณ์และยั่งยืน โดยได้รับความเชื่อมั่นจากทุกพวกทุกฝ่าย ประสานแนวคิด แสวงจุดร่วมของผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง โดยมุ่งผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ยกระดับการศึกษา สร้างมาตรฐานของการดำรงชีวิตของประชาชนในสังคมไทย ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างยั่งยืนตลอดไป”
จะหลับหูหลับตาด่าทอในลักษณะตีขลุมเหมารวมราวกับท่องคาถามหานิยม หยิบยกเอาข้อมูลแต่เพียงด้านเดียวขึ้นมาโฆษณาชวนเชื่อโจมตีกันก็คงจะเกินไป
สิ่งซึ่งพอเรียกได้ว่าระบอบ คสช. ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง เห็นจะเป็นการระงับยับยั้งการเผชิญหน้าของคนในชาติ แม้ไม่ถึงกับสามารถยุติความขัดแย้งได้ก็ตามที
รวมไปถึงการจัดระเบียบสังคมบางเรื่องบางประเด็นที่ทหารมิได้เข้าไปมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องด้วย เช่น จัดระเบียบชายหาด ฟุตปาธ ประมง คิวรถตู้ วินมอเตอร์ไซค์ ตรวจผับ จับบ่อน ฯลฯ สร้างความสาแก่ใจให้กับชาวบ้านร้านตลาดไม่น้อย เพราะในสถานการณ์ปกติโดยทั่วไปแล้ว อำนาจรัฐไม่อาจจะเข้าไปแตะต้องยุ่งเกี่ยวดำเนินการใดๆ ได้ เนื่องจากไปเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นักการเมือง หรือหัวคะแนนในระบบเลือกตั้ง
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ยากที่จะยอมรับได้ ระบอบ คสช. ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างเสถียรภาพทางการเมือง แต่แทนที่จะนำพาประเทศชาติบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า กลับถอยหลัง ย้อนยุค ทวนกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก สถาปนาระบอบการเมืองหัวมังกุท้ายมังกรขึ้นมาฝากไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลาน
ประชาธิปไตยไม่ใช่ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่เชิง
ฝีไม้ลายมือในการบริหารราชการแผ่นดิน เก่งกล้าสามารถกว่ารัฐบาลพลเรือนหรือไม่อย่างไร ไม่ทราบ รู้แต่ว่าซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์กันราวกับซื้อผักซื้อปลา
คิดประสงค์สิ่งใด อยากได้ยานเกราะ รถถัง ปืนใหญ่ เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน หรือเรือดำน้ำ ก็ได้สิ่งนั้นสมดั่งใจปรารถนาทุกประการ
ไม่มีมารคอหอยมาทัดทาน ขัดขวางให้เป็นที่หงุดหงิดรำคาญใจ
วันดีคืนดีมีข่าวนายพลแห่กันไปนั่งเป็นกรรมการหรือบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ทำราวกับเป็นยุคจอมพลสฤษดิ์-จอมพลถนอมไปได้
เรื่องความโปร่งใส การทุจริตคอร์รัปชัน แม้จะไม่มีนักการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประมูลงานและการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐแล้วก็ตามที แต่ภาคเอกชนก็ยังคงต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ 30-40% แลกเปลี่ยนกับการได้รับงานเช่นก่อนหน้าที่จะมีรัฐประหารทุกประการ โดยไม่มีใครรู้เลยว่าส่วนที่นักการเมืองเคยได้ไปตกอยู่ที่แห่งหนใด
เป็นประเด็นให้ผู้คนซุบซิบนินทา กล่าวหาว่าก็แค่เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาทำมาหารับประทานเท่านั้นเอง
ด้านความมั่นคง ปรากฏเกิดเหตุระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ปกครองซึ่งกุมอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ทำได้เพียงแค่ขู่ฟ่อ
หยามหยันกันถึงขนาดวางระเบิดห้อง “วงษ์สุวรรณ” โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยไม่ไว้หน้าพี่ใหญ่แห่งระบอบ คสช. มีคนบาดเจ็บหลายสิบคน จนกระทั่งวันนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้ ไม่เจอแม้แต่เงาคนร้าย
ส่วนเศรษฐกิจ ผลงานฝีมือเป็นอย่างไรต่างเห็นเป็นที่ประจักษ์กันทั้งประเทศ
ตลกร้ายหัวร่อมิได้ร่ำไห้มิออกไปกับการกล่าวอ้างว่า เศรษฐกิจหดตัวฝืดเคืองเนื่องเพราะการปราบปรามทุจริต จัดระเบียบสังคม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดของรัฐบาล
สามปีที่ผ่านมา จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้า แต่สำหรับคณะรัฐประหารและบริวารแถบแม่น้ำทั้ง 5 สายที่กำลังเน่าเสีย ปนเปื้อนมลพิษ คงจะรู้สึกว่าวันคืนช่างแสนสั้นเสียเหลือเกิน
บางคนเริ่มอาลัยอาวรณ์ คร่ำครวญตั้งคำถามสามสี่ข้อให้ชาวบ้านราษฎรตอบล่วงหน้า ถ้าอย่างโน้น ถ้าอย่างนี้ โยนหินถามทางเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกระบวนการสืบทอดอำนาจในอนาคตวันข้างหน้าหากจะมี
ตรงกันข้ามกับนักการเมือง ตลอดจนบริวารว่านเครือ ซึ่งบูชายึดถือเอาการเลือกตั้งเป็นสรณะ อาจจะรู้สึกว่ากาลเวลาช่างยาวนาน แต่ละวันผ่านไปราวกับเป็นเดือน แต่ละเดือนผ่านไปราวกับเป็นปี
กระนั้นก็ตาม มนุษย์พันธุ์พิเศษจำพวกนี้มีความอดทนสูง รอคอยการเลือกตั้งกันอย่างสงบเสงี่ยม เจียมเนื้อ เจียมตัว
รัฐธรรมนูญจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อย่างไร ไม่แยแสสนใจ ขอให้ได้ลงสนามเลือกตั้งเท่านั้นเป็นพอ
วัฏจักร-วงจรที่นักการเมืองกับนักรัฐประหารสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาเสพอำนาจรัฐ เป็นเรื่องที่ชวนสมเพชเวทนาแทนประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาแหงนถ่อ รอคอยที่จะเห็นอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยมาชั่วชีวิต
บาดเจ็บล้มตายกันมามากมาย ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 พฤษภาทมิฬ 2535 ก็แล้ว ยังไม่มีวี่แววเลยว่า จะเห็นประชาธิปไตยแท้จริงสถาปนาขึ้นมาในบ้านนี้เมืองนี้
ตรงกันข้ามกลับล้าหลังและถดถอยเสียด้วยซ้ำ
ผู้คนร่วมยุคสมัย ซึ่งปัจจุบันต่างอายุอานามย่างเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต หากไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ คงสิ้นชีพตายไป โดยยากที่จะได้ลิ้มรสและสัมผัสบรรยากาศประชาธิปไตยที่แท้จริง ….