จากนิยายเรื่อง “เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ (The God of Small Things)” และรวมบทความ “จุดจบแห่งจินตนาการ (The End of Imagination)” ผมประทับใจกับการเขียนหนังสือของอรุณธตี รอย เป็นที่สุด ทั้งลีลาการเปรียบเปรยและการบรรยายพรรณนาสิ่งต่างๆ ได้อย่างวิจิตรหวือหวา การร้อยเรียงเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามลำดับก่อนหลัง แต่ได้ผลรวมที่น่าอัศจรรย์และตราตรึงสะเทือนอารมณ์ รวมถึงฝีปากคมกล้าบาดลึกเชือดเฉือนใจ
“กระทรวงสุขสุดๆ” เป็นนิยายเรื่องที่สองของอรุณธตี รอย ทิ้งช่วงเว้นห่างจากเรื่องแรกถึง 25 ปี ตลอดเวลาที่หยุดสร้างวรรณกรรม เธอทำงานเป็นนักต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชนและปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างขันแข็งเข้มข้น มีผลงานเขียนที่ไม่ใช่เรื่องแต่งออกมาเป็นจำนวนมาก
การหวนกลับมาเขียนนิยายอีกครั้งของอรุณธตี รอย จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ผมตื่นเต้นยินดีมาก
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของผมหลังจากอ่าน “กระทรวงสุขสุดๆ” จบลงในเที่ยวแรก เต็มไปด้วยอาการเหวอ จับต้องอะไรไม่ติด และค่อนข้างไปทางผิดหวัง
ส่วนหนึ่งของความผิดหวังเป็นที่ตัวผมเองคาดหมายว่าจะได้รับรสการอ่านเช่นเดียวกับ “เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ” แต่ “กระทรวงสุขสุดๆ” นำพาไปอีกทางซึ่งแตกต่างกันอยู่มาก เหมือนอาหารคนละชนิด อีกส่วนหนึ่งที่มีน้ำหนักพอๆ กัน คือวิธีการเขียนของอรุณธตี รอยที่ ‘หนักมือ’ แบบไม่เกรงใจใคร
แต่ก็พูดได้อีกเช่นกันว่าตลอดการอ่านครั้งแรกด้วยความขัดเคืองไม่สบอารมณ์ ผมยังคงจับอกจับใจกับฝีมือการเขียนและชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ของอรุณธตี รอยไม่แปรเปลี่ยน จนนำไปสู่การอ่านซ้ำอีกครั้งเพื่อหาคำตอบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหตุอันใด?
คำตอบแรกที่พบ คือพล็อตหลักของ “กระทรวงสุขสุดๆ” บอกเล่า 2 เรื่องราว เหตุการณ์แรกเป็นเรื่องของตัวละครชื่ออัญจุม ผู้เกิดมาเป็นเพศชาย แต่มีอวัยวะเพศหญิงเพิ่มมาด้วย มีคำเรียกขานคนที่เป็นเช่นนี้ว่า ฮิจรา
เรื่องราวส่วนนี้ว่าด้วยชีวิตระหกระเหินของอัญจุม (ซึ่งต่อมาได้ผ่าตัดแปลงเพศ แต่หมอกำมะลอก็ทำให้ร่างกายของเธอไม่สามารถเป็นหญิงโดยสมบูรณ์) ในการดิ้นรนค้นหา ‘ที่ทาง’ ของตนเอง ซึ่งโดยกายภาพก็ยากลำบากต่อการใช้ชีวิตให้กลมกลืนไปกับสังคมรอบข้างเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งผนวกกับความเป็นสังคมอินเดียที่มีลักษณะเฉพาะตัวพิเศษกว่าที่อื่นใด ไม่ว่าจะเป็นการถือชั้นวรรณะ โลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ มีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเหลื่อมล้ำกันสุดกู่ ความเป็นชาวมุสลิมท่ามกลางมหาชนฮินดู (ซ้ำยังขัดแย้งไม่ลงรอยกันหนักหน่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุ 11 กันยายน ปี 2001 ความเกลียดชังต่อกันของทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งทวีความระอุรุนแรงมากขึ้นอีก)
ทั้งหมดนี้ทำให้ชีวิตของอัญจุมหนักหนาสาหัส ดังเช่นที่บทสนทนาตอนหนึ่งเล่าไว้ว่า
“เธอรู้มั้ย ทำไมพระเจ้าจึงสร้างฮิจรา” เธอ (ตัวละครชื่อนิมโม โครักขปุรี) ถามอาฟตาบ (ชื่อเดิมเริ่มแรกของอัญจุม) ตอนบ่ายวันหนึ่งขณะพลิกนิตยสารโว้ก ขาดๆ วิ่นๆ ฉบับปี 1967 มองภาพเหล่าสตรีผมสีบลอนด์ขาเปลือยที่โดนใจเธอนักหนา
“ไม่รู้สิ ทำไมล่ะ”
“การทดลองไง พระองค์ตั้งใจสร้างบางอย่าง สิ่งมีชีวิตที่หาความสุขไม่ได้ จึงทรงสร้างพวกเรา”
และอีกใจความสำคัญที่ว่า “ไม่มีใครเป็นสุขที่นี่หรอก มันเป็นไปไม่ได้ เพื่อนเอ๋ย คิดให้ดีเถิด คนปกติทั่วไปอย่างแกเขาเป็นทุกข์กันเรื่องอะไร ฉันไม่ได้หมายถึงแก แต่ผู้ใหญ่อย่างแก – อะไรที่ทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ ราคาข้าวของแพงขึ้น ค่าเล่าเรียนลูก ถูกผัวทุบตี เมียมีชู้ มุสลิม-ฮินดูตีกันปั่นป่วน สงครามอินโด-ปากี – ล้วนแต่เรื่องภายนอกที่จะคลี่คลายลงได้ในที่สุด แต่สำหรับพวกเรา สินค้าขึ้นราคา ค่าเล่าเรียนลูก ผัวทุบตี เมียมีชู้ ล้วนอยู่ภายในตัวเรา เหตุประท้วงอยู่ภายในตัวเรา สงครามอยู่ภายในตัวเรา อินโด-ปากีอยู่ภายในตัวเรา ไม่มีทางคลี่คลายลงได้ ไม่มีทาง”
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของอัญจุมเกิดขึ้นเมื่อเธอตกเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์จลาจลที่คุชราตปี 2002
อัญจุมเดินทางไปเพื่อสวดขอพรมัสยิดที่นั่น แล้วโดนลูกหลง ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงและการทารุณกรรม (นิยายไม่ได้เล่าลงรายละเอียดว่าเธอเผชิญสิ่งใด แต่แจงสภาพแตกสลายของเธอจากเหตุการณ์ดังกล่าว) จนขวัญกระเจิงและหวาดผวา กระทั่งต้องแยกออกมาใช้ชีวิตตามลำพังในสุสานที่อยู่ด้านหลังโรงพยาบาล แล้วก็มีเพื่อนฝูงญาติมิตร (ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บอบช้ำจากการมีชีวิต) ติดตามมาสมทบ ทั้งหมดช่วยกันเปลี่ยนแปลงต่อเติม จนกระทั่งที่แห่งนั้นกลายเป็นที่รู้จักในนาม “เกสต์เฮาส์สวนสวรรค์”
เนื้อเรื่องหลักที่สอง เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวชื่อตีโลกับผู้ชาย 3 คนที่หลงรักเธอ คือ มูซา (นักต่อสู้เพื่อเอกราชของแคชเมียร์), นาคา (นักข่าวหนังสือพิมพ์) และพิปลาภ ดาสคุปตา (เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยข่าวกรองอินเดีย)
กล่าวโดยรวบรัด เนื้อเรื่องส่วนนี้พูดถึงความรักและความเกี่ยวพันของตัวละครหลักทั้งหมด ครอบคลุมเวลาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยและต่อมาอีกเนิ่นนานร่วมๆ สามสิบปี
พูดอีกแบบ มันเป็นเรื่องที่เล่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าตีโลเดินทางมายังเกสต์เฮาส์สวนสวรรค์ได้อย่างไร
อรุณธตีเล่าเรื่องชีวิตของอัญจุมจนดำเนินไปถึงจุดที่กำลังเข้มข้นเข้าไคล แล้วจู่ๆ ก็ทิ้งค้างไว้เช่นนั้น เปลี่ยนมาเล่าเรื่องความรักของตีโล (อย่างยืดยาว จนผู้อ่านแทบจะลืมเรื่องที่เล่าค้างไว้)
นั่นเป็นการ ‘ขัดใจ’ เบื้องต้น แต่ที่ผมกล่าวไว้ว่า ‘หนักมือ’ คือ เรื่องราวรักสามสี่เส้านั้น ยังใช้วิธีบอกเล่าแบบจงใจให้สะดุด ขัดจังหวะ ไม่ปะติดปะต่อราบรื่น แทบจะเป็นการเล่าแบบทำลายพล็อต ด้วยการเกริ่นเหตุการณ์แค่ไม่กี่บรรทัด จากนั้นก็ไปขยายความ (หรืออาจจะพูดได้ว่าเฉไฉออกนอกเรื่อง) อย่างละเอียด
เทียบเคียงให้เข้าใจง่ายๆ ประมาณว่า กำลังเล่าถึง 1 แต่แทนที่จะล่อต่อไปยัง 2 ก็กลับแทรกขัดด้วย 1.1 (ซ้ำร้ายก่อนจะไปถึง 1.2 มันกลับกลายเป็น 1.1.1 เสียอีก)
วิธีลำดับเรื่องเช่นนี้มีปรากฏตั้งแต่ตอนเล่าเรื่องของอัญจุมแล้วนะครับ แต่ปริมาณยังไม่หนาแน่นเท่า และเรื่องที่แทรกผ่ากลางเข้ามายังพอข้องเกี่ยวกันอยู่บ้าง ต่างจากในช่วงที่สอง ซึ่งเต็มไปด้วยทางเบี่ยงทางอ้อมเยอะแยะมากมาย
อย่างไรก็ตาม ในการอ่านซ้ำ ผมเข้าใจว่าเจตนาแท้จริงของอรุณธตีอยู่ที่การแสดงรายละเอียดปลีกย่อยสารพัดสารพันที่แทรกเข้ามา นั่นคือเหตุการณ์ความขัดแย้งในแคชเมียร์ ซึ่งมีทั้งเหตุการจลาจล, การก่อการร้าย, การปราบปราม, การกดขี่ การทารุณกรรม, การเข่นฆ่านองเลือดอย่างเหี้ยมโหด, การสังหารหมู่ ฯลฯ
อรุณธตี รอยเล่ารายละเอียดเหล่านี้เหมือนนำเสนอภาพจิ๊กซอว์ที่เต็มไปด้วยชิ้นส่วนย่อยๆ จำนวนมากให้ผู้อ่านปะติดปะต่อด้วยตนเอง ไม่ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจกระจ่างชัดถึงความเป็นมาเป็นไป รวมถึงการแบ่งฝักฝ่ายจำนวนมากว่าใครเป็นใคร แต่ละฝ่ายมีความคิดความเชื่อเช่นไร
ถัดมาคือรายละเอียดเกี่ยวกับความขัดแย้งอันสลับซับซ้อนในแคชเมียร์ บอกเล่าด้วยรูปแบบการเขียนหลากหลายลีลา บางช่วงเหมือนสารคดีหรือรายงานข่าว บางช่วงก็มีลีลาเช่นวรรณกรรม บางช่วงก็เหมือนเอกสารราชการ
ตอนที่อ่านรอบแรก ภาคเรื่องเล่าเกี่ยวกับแคชเมียร์เป็นยาขมสำหรับผม และกลบกลืนส่วนที่เป็นเนื้อเรื่องไปแบบจมมิด แต่ในการอ่านรอบสอง ผมจับสังเกตด้วยวิธีตรงกันข้าม คือมุ่งไปที่รายละเอียดเกี่ยวกับแคชเมียร์เป็นหลัก และรู้สึกว่าเรื่องรักระหว่างตัวละครเป็นเพียงการแทรกหรือส่วนเสริม จนพบว่าการเล่าอ้อมค้อมระหว่างความเป็นไปส่วนบุคคลของตัวละครหลักกับเหตุการณ์วุ่นวายทางสังคม ท้ายสุดแล้วก็เกี่ยวโยงกัน คือทุกคนล้วนถูกกลืนกินบดขยี้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อไม่รู้จบนี้ได้อย่างไร
ควรต้องรีบบอกกล่าวด้วยครับว่า รายละเอียดมากมายเกี่ยวกับแคชเมียร์ในนิยายเรื่องนี้ ทั้งหนักอึ้งตึงเครียด ไม่รื่นรมย์ เต็มไปด้วยการสูญเสีย เศร้าหม่น โหดร้ายไร้มนุษยธรรม (นี่ยังไม่นับรวมถึงการปรากฏแบบขัดจังหวะรบกวน ‘เรื่องราว’ ที่ผู้อ่านกำลังอยากรู้เกี่ยวกับความเป็นไปในชีวิตของตัวละคร) แต่ด้วยฝีมือการเขียนและความเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งกาจ ก็ทำให้เรื่องปลีกย่อยยั้วเยี้ยทั้งหมดชวนอ่านชวนติดตามเหลือเกิน (อาจจะเหนื่อยหน่อย ตรงที่ต้องตั้งสมาธิกับการเริ่มเรื่องใหม่อย่างถี่ยิบ)
“กระทรวงสุขสุดๆ” เป็นนิยายที่ผู้เขียนทะเยอะทะยานและคิดการใหญ่นะครับ เป็นนิยายที่โดยรวมแล้วอาจกล่าวได้ว่า พยายามบรรจุปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอินเดียยุคหลังอาณานิคมลงไปในนิยายให้ครบครัน ทั้งความแตกต่างเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น ความไม่เท่าเทียมทางเพศ ความขัดแย้งระหว่างศาสนา ความเจริญและการไหลบ่าของกระแสทุนนิยม ปัญหาฉ้อราษฏร์บังหลวง สิ่งแวดล้อม การใช้อำนาจกดขี่อย่างไม่เป็นธรรม สิทธิเสรีภาพของผู้คน การต่อสู้เพื่อเอกราช (ที่แท้จริง) ฯลฯ
มีช่วงเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเล่าออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจและพิลึกพิลั่นสุดๆ คือการแจกแจงถึงกลุ่มผู้ประท้วงที่จันตัร มันตัร ซึ่งเป็นเสมือน ‘ตลาดนัดหรืองาน expo แห่งการประท้วง’ มากมายหลายหลากนับไม่ถ้วน ทั้งหัวข้อประเด็นในการต่อสู้เรียกร้อง และวิธีเรียกร้องความสนใจในการประท้วง (รวมถึงวิธีการเขียนของอรุณธตี รอย ที่เสียดสีเย้ยหยันอย่างเจ็บแสบ เต็มไปด้วยอารมณ์ขันขื่น)
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าแก่นเรื่องใหญ่ของ “กระทรวงสุขสุดๆ” มีอยู่ 2 ประเด็น คือการสะท้อนภาพปัญหาความขัดแย้งในแคชเมียร์ (รวมทั้งน้ำเสียงท่าทีแสดงความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ของอรุณธตี รอยที่มีต่อรัฐบาลอินเดีย ซึ่งปรากฏในนิยายอย่างไม่ปิดบังอำพราง) และอัตลักษณ์ทางเพศ
ทั้ง 2 แง่มุมเล่าอย่างสะท้อนชัด ทั้งการสื่อสารกับผู้อ่านอย่างตรงไปตรงมาผ่านบทสนทนาระหว่างตัวละครและการเล่าบรรยาย ขณะเดียวกันก็ทิ้งร่องรอยเปิดกว้างไว้หลายแห่งในเชิงเปรียบเปรยให้ผู้อ่านตีความ
มีแง่มุมหนึ่งซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจ นั่นคือปมเกี่ยวกับการโหยหาความเป็นแม่ของอัญจุมและตีโล รายแรกนั้นสืบเนื่องมาจากอุปสรรคทางเพศสภาพ ขณะอีกคนเป็นผลมาจากความสัมพันธ์อันผันผวนซับซ้อนกับแม่ของเธอ (ตีโลมีแม่แท้ๆ เป็นแม่บุญธรรม ซึ่งไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นลูกโดยเลือดเนื้อเชื้อไข)
ในอีกฟากหนึ่ง นิยายก็มีอีก 2 ตัวละครสำคัญเป็นเด็กหญิงกำพร้าที่ถูกนำมาทิ้ง คือ ไซหนับและมิสเจบีนที่สอง ทั้งคู่มีบทบาทต่อการเดินเรื่อง รายแรกเป็นการค้นพบความสุขในชีวิตของอัญจุม เป็นสาเหตุชักนำให้เธอเดินทางสู่คุชราต กระทั่งแตกสลายย่อยยับ และค้นพบ ‘ชีวิตใหม่’ ส่วนเด็กหญิงคนหลังเป็นจุดเชื่อมต่อจากเรื่องของอัญจุมไปสู่ชีวิตของตีโล แล้วชักนำเส้นทางของทั้งสองให้โคจรมาบรรจบกัน
นี่ยังไม่นับรวมถึงบทบาทในการตอบสนองความเป็นแม่ของอัญจุมและตีโล
มีความตอนหนึ่ง (หน้า 370) เล่าไว้ว่า “…ผู้คนหลายพันคนตะโกนก้องซอยแคบๆ นั้น อาซาดี! อาซาดี! (เอกราช! เอกราช!) มิสเจบีนกับแม่ตะโกนสมทบกับพวกเขาด้วย บางครั้งแทนที่จะตะโกน อาซาดี! มิสเจบีนตะโกนด้วยความซุกซนแบบเด็กๆ ว่า มาตาจี! (แม่) – เพราะสองคำนี้เสียงใกล้เคียงกัน…”
พูดง่ายๆ ก็คือ เอกราชกับความเป็นแม่นั้นอาจมีความหมายนัยยะข้องเกี่ยวกันในเชิงเปรียบเปรย (ความเป็นลูกกำพร้า-ความเป็นแม่ที่ไม่สมหวัง และเอกราชที่ไม่เคยมีอยู่จริงในความหมายที่แท้จริง)
ตรงนี้ผมมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในทางตรงข้าม ตัวละครหลักฝ่ายชายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมูซา, นาคา, พิลาป ดาสคุปตา หรือแม้กระทั่งอัญจุม เมื่อครั้งที่ยังเป็น ‘เขา’ ในชื่ออาฟตาบ ทุกคนล้วนขัดแย้ง ดื้อแพ่ง และต่อต้าน ไม่ยอมดำเนินชีวิตตามร่องรอยที่พ่อกำหนดไว้ให้ (สอดคล้องกับเรื่องราวว่าด้วยการดิ้นรนต่อสู้ของชาวแคชเมียร์ เพื่อให้หลุดพ้นเป็นอิสระจากการปกครองของรัฐบาลอินเดียเหมือนกันนะครับ)
มีคนจับประเด็นคล้ายๆ กับที่ผมตั้งข้อสังเกตข้างต้น และขยายความไว้ละเอียดกว่า ท่านที่สนใจสามารถอ่านได้จากบทความชื่อ “กระทรวงสุขสุด ๆ:การเมืองของลูกกำพร้าบนแผ่นดินแม่ภายใต้อำนาจปิตาธิปไตย” โดย ณิศวร์ฐิตะ ทองน้อย ที่เว็บไซต์ The Momentum
แง่มุมเปรียบเปรยต่อมาที่โดดเด่น คือการเปรียบเปรยตัวละครอัญจุมว่าเป็น ‘อินโด-ปากี’ มีความขัดแย้งเหล่านี้อยู่ภายใน และไม่อาจสะสางคลี่คลาย โดยนัยนี้ ในอีกเส้นเรื่องหนึ่ง ตัวละคร ตีโล, มูซา, นาคา และพิลาป ดาสคุปตา ก็ผ่านเหตุผจญชีวิต จนกระทั่งเป็น ‘อินโด-ปากี’ ด้วยเช่นกัน (ในบทความที่ผมอ้างถึงย่อหน้าข้างต้น อธิบายไว้ว่า “อรุณธตี รอยวางตัวละครทั้งสี่ตัว—ตีโล มูซา พิปลาภ และนาคา ไว้คนละเหลี่ยมมุมทางการเมืองและทางประวัติศาสตร์ ต่างคนต่างถูกคมเขี้ยวของสงครามและความขัดแย้งบดขยี้กลืนกินไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทุกคนจึงกลายเป็น ‘แคชเมียร์’ ในแบบของตัวเอง)
“กระทรวงสุขสุดๆ” เต็มไปด้วยเรื่องราวร้องทุกข์และปัญหาขัดแย้งนานัปการที่ดูจะสิ้นหวังไร้ทางออก มองไม่เห็นลู่ทางแก้ไข แต่ถึงที่สุดแล้ว นิยายเรื่องนี้ก็สรุปลงเอยอย่างมีความหวัง
มีข้อความ 2-3 แห่ง ซึ่งผมจดไว้เมื่ออ่านเจอ ด้วยเหตุว่าคมคาย คือ “เจ้าหน้าที่เทศบาลนำหมายมาแปะประตูหน้าบ้านของอัญจุม แจ้งห้ามผู้บุกรุกที่ดินอยู่อาศัยในที่สาธารณะ ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เธออยู่ในสุสาน สิ่งก่อสร้างจะถูกรื้อถอนภายในหนึ่งสัปดาห์ เธอบอกพวกเขาว่าเธอไม่ได้อยู่ในสุสาน แต่ตายลงเรื่อยๆ อยู่ในนั่น” และอีกแห่งหนึ่ง “ทุกวันนี้ในแคชเมียร์คุณต้องตายเพื่อให้มีชีวิตรอด”
ทั้ง 2 ข้อความนี้ ดูเผินๆ เหมือนการเล่นสำนวนโวหารนะครับ แต่เทียบเคียงประกอบกับเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ผมคิดว่านิยายเรื่องนี้สะท้อนถึงการตายดับของสภาพจิตใจแบบหนึ่ง และการเกิดใหม่ด้วยความคิดอ่านอีกแบบหนึ่งผ่านหลายๆ ตัวละครในหลายวาระ (รวมถึงการถูกฆ่าซ้ำสองหลังจากเสียชีวิตแล้ว)
คลับคล้ายกัน ตลอดเรื่องมีฉากงานศพอยู่มากมายหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานศพของหลายๆ คนที่ผ่านการทำพิธีฝังศพครั้งที่สอง
ตามความเข้าใจของผม งานศพเหล่านี้สะท้อนถึงความเจ็บปวดทุกข์ตรมที่ตัวละครต้องเผชิญและการหลุดพ้นเพื่อเริ่มต้นใหม่
ที่สำคัญคือ สถานที่อันเป็นหัวใจหลัก เป็นที่ตั้งของ “กระทรวงสุขสุดๆ” ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามของโลกภายนอก (คือประเทศอินเดีย) ได้แก่ เกสต์เฮาส์สวนสวรรค์นั้น
ก็เป็นการเกิดใหม่จากบริเวณเดิมที่เคยเป็นและอาจจะยังเป็นสุสาน [1]
↑1 | ตัวอย่าง footnote |
---|