15 สิงหาคม 2021 กลายเป็นจุดพลิกผันในชีวิตครั้งใหญ่ของประชาชนอัฟกานิสถานทั่วประเทศ เมื่อกลุ่มตาลีบันบุกยึดกรุงคาบูล หวนคืนสู่อำนาจอีกครั้งอย่างง่ายดาย
สำหรับคนอัฟกัน การกลับมาครั้งนี้ของตาลีบันไม่ต่างจากการหมุนนาฬิกาของประเทศเดินกลับหลัง คนอัฟกันต้องกลับไปเผชิญความโหดร้ายไม่เป็นธรรมอีกครั้งหลังหลุดพ้นมาได้ 20 ปี และกลุ่มคนที่อาจต้องทนทุกข์ทรมานที่สุดหนีไม่พ้นผู้หญิง แม้ตาลีบันจะเคยให้คำมั่นว่าจะเคารพสิทธิสตรี แต่ภาพที่เห็นตอนนี้กลับขัดแย้ง เพราะผู้หญิงถูกตั้งข้อกีดกันมากมาย ถึงแม้จะไม่สุดโต่งเท่าตาลีบันยุคแรก แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงอัฟกันพึงประสงค์
ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนได้ชัดคือโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีรักษาการชุดใหม่ที่ไร้เงาผู้หญิงแม้แต่คนเดียว จัดว่าถอยหลังจากช่วง 20 ปีที่ผ่านมาที่อัฟกานิสถานได้เห็นผู้หญิงทยอยขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาล อันเป็นสัญญะถึงก้าวย่างครั้งสำคัญในการส่งเสริมบทบาทสตรี หนึ่งในผู้หญิงที่สามารถคว้าโอกาสก้าวขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีในยุคนั้นคือมูเนรา ยูซุฟซาดา (Munera Yousufzada)
หลังตาลีบันลงจากอำนาจในปี 2001 มูเนราได้เริ่มเส้นทางอาชีพในอัฟกานิสถานในฐานะนักเคลื่อนไหวทางสังคม ก่อนที่เธอจะขยับเข้าสู่เส้นทางการเมืองด้วยตำแหน่งรองผู้ว่าการกรุงคาบูล ตามด้วยการได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการกิจการด้านการเมืองและสังคมภายใต้สำนักงานประธานาธิบดี จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี 2012 เมื่อเธอได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีฮามิด คาร์ไซ (Harmid Karzai) ซึ่งนับเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับตำแหน่งนี้
เพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ตาลีบันจะบุกยึดกรุงคาบูล เธอได้เดินทางออกนอกประเทศโดยไม่คาดคิดว่าเธอจะเดินทางกลับไปไม่ได้อีก และวันที่ 15 สิงหาคม ก็เป็นวันที่เธอต้องใจสลายเมื่อเห็นเพื่อนร่วมชาติกว่า 35 ล้านคนต้องกลับสู่อุ้งมือของตาลีบันอีกครั้ง
หลังผ่านพ้นจากวันนั้นมาครบ 1 เดือนเต็ม เรามีโอกาสได้พูดคุยกับมูเนรา ฟังความรู้สึกและมุมมองของเธอต่อสถานการณ์ความพลิกผันในประเทศบ้านเกิดที่เธอจากมา พร้อมชวนเธอเล่าย้อนถึงวันคืนของอัฟกานิสถานในห้วงเวลา 20 ปีก่อนหน้า อันเป็นช่วงเวลาที่เธอมีโอกาสรับใช้ชาติในฐานะรัฐมนตรี และได้เฝ้าเห็นพัฒนาการของประเทศหลายด้าน ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลงอีกครั้งด้วยมือของตาลีบัน
สถานการณ์ของอัฟกานิสถานจากที่คุณเห็นตอนนี้เป็นอย่างไร
ณ ขณะที่ฉันพูดอยู่ตอนนี้ กลุ่มตาลีบันได้เข้ามายึดครองอัฟกานิสถานเป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ แล้ว สำหรับความรู้สึกของคนอัฟกันทุกคนในตอนนี้ เวลา 1 เดือนยาวนานมากราวกับ 1 ปี ประชาชนที่นั่นกำลังเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ หลายคนกำลังหิวโหย ไม่มีงานทำ ประชาชนก็ถูกละเมิดสิทธิกันเยอะมาก หลายคนถูกบีบบังคับให้ย้ายเมืองย้ายที่อยู่กันแบบไม่เต็มใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงก็ต้องเจอกับข้อจำกัดมากมาย สถานการณ์ตอนนี้เข้าขั้นแย่มาก
ในวันที่ 15 สิงหาคม ทันทีที่คุณรู้ว่ากรุงคาบูลตกอยู่ภายใต้การยึดครองของกลุ่มตาลีบันแบบที่หลายคนไม่ทันได้ตั้งตัว คุณรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจฉันตอนนั้นคือฉันรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าในเวลาชั่วข้ามคืน ฉันต้องกลายเป็นเหมือนคนต่างด้าวของประเทศบ้านเกิดของฉันเอง และฉันเชื่อว่าคนอัฟกัน 35 ล้านคนทั่วประเทศก็คิดไม่ต่างจากฉัน เพราะคนอัฟกันล้วนแต่รู้ดีว่า กลุ่มตาลีบันมีแนวคิดและพฤติกรรมที่แปลกประหลาด ไม่เป็นที่ยอมรับ และพวกเขาก็กำลังจะเปลี่ยนประเทศไปในแบบที่เราไม่อยากให้เป็น นี่เป็นเหตุผลว่าทันทีที่ตาลีบันเข้ามา ทำไมเราถึงได้รู้สึกเหมือนเรากำลังกลายเป็นคนต่างด้าวบนแผ่นดินเกิดเราเอง
มีคนวิเคราะห์ว่าตาลีบันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และตาลีบันเองก็เคยให้สัญญาหลายเรื่อง เช่นจะเคารพสิทธิสตรี คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ
ฉันไม่ได้รับรู้อะไรถึงคำสัญญาของตาลีบันในข้อนี้ แต่ถึงจะรู้หรือไม่รู้ สิ่งที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้หญิงถูกสั่งแยกห้องเรียนเมื่อไปโรงเรียน ยิ่งถ้าเป็นเมืองเล็กๆ เด็กผู้หญิงหลายคนไม่ได้แค่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปโรงเรียน แต่ให้อยู่แต่บ้านเลยด้วยซ้ำ แล้วไม่ใช่แค่เด็กๆ แต่ผู้ใหญ่ก็ถูกจำกัดสิทธิในการทำงานหลายอย่าง และก็ยังมีคลิปวิดีโอหลายคลิปตามโซเชียลที่เราได้เห็นภาพของกลุ่มตาลีบันทำร้ายร่างกายผู้หญิงบนท้องถนน ถึงขั้นใช้ปืนขู่เลยก็มี
มันชัดเจนมากว่า กลุ่มตาลีบันไม่ยินยอมให้ผู้หญิงได้ที่มีที่ยืนในประเทศ ไม่ว่าจะในพื้นที่การเมือง เศรษฐกิจหรือสังคม ประชาชนมีบทเรียนจากช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้ตาลีบันมาก่อนแล้ว เห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนของตาลีบันมาก่อนแล้ว พวกเราจำมันได้ดี และเชื่อว่าตาลีบันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
คุณมองว่าสถานการณ์ของผู้หญิงอัฟกันภายใต้ตาลีบันนับจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
ฉันไม่เห็นเลยว่าผู้หญิงอัฟกันจะมีอนาคตอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างไร ถ้าถามว่าผู้หญิงอัฟกันจะเป็นอย่างไร ฉันตอบคำถามนี้ได้ด้วยคำๆ เดียวเลยว่า ‘ถูกทอดทิ้ง’ (isolation)
ทุกอย่างในประเทศอัฟกานิสถานกำลังจะมีเพียงแต่ผู้ชาย การเมืองและเศรษฐกิจของประเทศกำลังจะถูกกุมบังเหียนโดยผู้ชายเท่านั้น อนาคตของประเทศก็จะเป็นเพียงการตัดสินใจของผู้ชายเท่านั้น ขณะที่ผู้หญิงจะมีพื้นที่อยู่แต่เพียงในบ้าน
ตอนนี้ เราเห็นผู้หญิงอัฟกันจำนวนหนึ่งออกมาต่อสู้เรียกร้องสิทธิของตัวเอง แต่แน่นอนว่าการออกมาของพวกเขามีราคาที่ต้องจ่าย การต่อสู้ของผู้หญิงอัฟกันในวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในประเทศที่ชายเป็นใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบ
คุณบอกว่าคุณไม่เชื่อว่าตาลีบันจะเปลี่ยนแปลง แล้วในช่วงเวลาที่ตาลีบันปกครองประเทศครั้งแรกช่วงทศวรรษ 1990s ตาลีบันที่คุณเห็นตอนนั้นเป็นอย่างไร
อันที่จริง ฉันออกมาจากอัฟกานิสถานในตอนนั้น แต่ครอบครัวของฉันอยู่ที่นั่น ซึ่งก็ได้ยินเรื่องราวต่างๆ มาจากครอบครัวฉันอีกทีหนึ่ง แต่บอกตรงๆ ว่าฉันไม่ได้อยากจะเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาพบเจอในตอนนั้นเท่าไหร่ ฉันขอเล่าแบบทั่วๆ ไปว่าสถานการณ์ในอัฟกานิสถานตอนนั้นก็เหมือนที่หลายคนอาจได้ยินตามข่าวอยู่แล้ว กลุ่มตาลีบันโหดเหี้ยมมาก ฆ่าแกงคนได้แบบเลือดเย็น และแน่นอนว่าสถานการณ์ของผู้หญิงในตอนนั้นก็แย่มาก อย่างเช่นว่าผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเลย เว้นแต่จะออกได้เมื่อมีผู้ชายในครอบครัวไปด้วยเท่านั้น
หลังตาลีบันลงจากอำนาจในปี 2001 สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นมากขนาดไหน ตอนนั้นคงเป็นช่วงที่คุณกลับเข้าไปอัฟกานิสถานแล้ว คุณมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
ก่อนหน้าปี 2001 อัฟกานิสถานอยู่ในวังวนสงครามมายาวนาน แล้วต้องมาอยู่ใต้ตาลีบันอีก เพราะฉะนั้นประเทศแทบไม่เห็นพัฒนาการอะไรเลยในตอนนั้น แต่หลังจากปี 2001 เราถึงได้เริ่มเดินหน้าพัฒนาประเทศกันอย่างจริงจัง
รากฐานสำคัญเลยก็คือรัฐธรรมนูญอัฟกานิสถานตอนนั้นที่ได้ให้สิทธิเสรีภาพประชาชนทุกคนอย่างกว้างขวาง แน่นอนว่ารวมถึงผู้หญิงด้วย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพที่จะพูดและแสดงออกได้อย่างเต็มที่ สื่อมวลชนเกิดขึ้นมากมายหลายรูปแบบ มันเป็นก้าวย่างสำคัญของประเทศเราเลยในตอนนั้น
นอกจากนี้ ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เรายังเห็นการพัฒนาเข้าถึงหลายพื้นที่ ตามหมู่บ้านหรือเมืองต่างๆ มีโรงเรียนเกิดขึ้นมามากมาย ผู้หญิงสามารถกลับเข้าไปเรียนหนังสือได้ และยังมีสิทธิเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างเท่าเทียมกับผู้ชาย
สำหรับฉัน 20 ปีที่ผ่านมาเป็น 20 ปีที่ประเทศเดินหน้าไปมาก แต่สุดท้ายเราก็ต้องเสียทุกอย่างไปเพราะการกลับมาของกลุ่มตาลีบัน มันน่าหดหู่มาก
แล้วผู้หญิงอัฟกันตอนนั้นได้รับสิทธิอย่างเต็มที่เลยหรือเปล่า หรือว่ายังเจอข้อจำกัดอะไรอยู่บ้างไหม
อย่างที่ฉันบอกว่าก่อนหน้านั้นอัฟกานิสถานอยู่ในวังวนของสงครามมานานร่วม 40 ปี เพราะฉะนั้น อัฟกานิสถานหลังปี 2001 ก็ยังคงเป็นสังคมที่เพิ่งฟื้นตัวจากสงคราม ทุกอย่างเลยต้องใช้เวลา รวมถึงเรื่องค่านิยมทางสังคมต่างๆ ก็ต้องใช้เวลาปรับตัว แน่นอนว่าสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบในตอนนั้น ยังมีปัญหาอยู่ แต่เราก็พยายามเดินหน้าต่อสู้เรียกร้องสิทธิของผู้หญิงกันหลายรูปแบบ และที่สำคัญคือพยายามปลูกฝังค่านิยมของคนในสังคมให้เคารพสิทธิผู้หญิงด้วย ฉันจำได้ว่าช่วงแรกก็จะยากลำบากหน่อย แต่เราก็พยายามเดินหน้าต่อเนื่อง
คุณทำงานเพื่อผู้หญิงอย่างไรบ้างในตอนนั้น
ฉันพยายามทำทุกทางที่ฉันสามารถทำได้ ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่ฉันได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในรัฐบาล ยกตัวอย่าง ฉันเข้าไปตามเมืองตามหมู่บ้านเล็กๆ เพื่อเข้าไปให้ความรู้ผู้คนเกี่ยวกับสิทธิผู้หญิง พยายามสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง และเชิญชวนให้แต่ละครอบครัวพาเด็กผู้หญิงไปเข้าโรงเรียน
และในปี 2015 เกิดคดีใหญ่คดีหนึ่งคือคดีของฟากุนดา มาลิกซาดา (Farkhunda Malikzada) เธอเป็นผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเผาคัมภีร์อัลกุรอานทั้งที่ไม่เป็นความจริง แต่เธอก็โดนรุมทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ตอนนั้นฉันก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามชูประเด็นนี้ขึ้นมาพูด และพยายามส่งเสียงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเธอ รวมทั้งตั้งคำถามต่อสิทธิผู้หญิงในสังคมอัฟกานิสถานตอนนั้น
ในตอนนั้น คุณได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือว่าคุณเป็นผู้หญิงคนแรกของประเทศเลยในตำแหน่งนี้ และนี่ก็น่าจะเป็นก้าวย่างอีกขั้นที่สำคัญมากของสิทธิสตรีในอัฟกานิสถาน ชีวิตคุณตอนนั้นเป็นอย่างไร แล้วการที่คุณเป็นผู้หญิงในตำแหน่งนี้ คุณต้องเจอปัญหาอะไรบ้างไหม
ถึงตอนนั้นรัฐธรรมนูญจะมีบทบัญญัติที่ปกป้องสิทธิของผู้หญิง แต่คนอัฟกันจำนวนไม่น้อยก็ยังคงมีแนวคิดที่ไม่ยอมรับผู้หญิงอยู่ เพราะแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมยังฝังรากลึก สำหรับหลายคนตอนนั้น การที่ผู้หญิงมีตำแหน่งแห่งที่ในสังคมก็ยังคงเป็นเรื่องต้องห้าม และแน่นอนว่าการที่ฉันได้เข้างานกับรัฐบาล ก็มีคนจำนวนหนึ่งไม่พอใจ เหมือนกับว่าฉันไปฝ่าฝืนข้อห้ามนั้น ฉันบอกได้เลยว่านั่นคือช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับฉัน ฉันต้องต่อสู้และเผชิญปัญหาอะไรมากมาย
ตอนนั้นฉันโดนคุกคามหนักมาก โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดีย ผู้ชายหลายคนส่งข้อความมาหาฉัน อย่างเช่นว่า ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ตำแหน่งสำหรับผู้หญิง มีการด่าทอฉันแบบหยาบคาย ด่าไปถึงครอบครัวฉัน มีการตัดต่อรูปล้อเลียนฉันมากมาย และก็ไปไกลถึงขั้นที่มีคนเผยแพร่ที่อยู่ของฉันบนสื่อโซเชียล ฉันกังวลมากว่าครอบครัวฉันจะไม่ปลอดภัย ฉันเจออะไรเยอะมากในตอนนั้น
ตาลีบันเพิ่งตั้งรัฐบาลรักษาการชุดใหม่ขึ้นมา และที่ต่างจากในช่วงเวลาของคุณก็คือว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีผู้หญิงอยู่เลย คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
ฉันไม่แปลกใจเลย เอาเข้าจริง ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรกับตาลีบันอยู่แล้ว ฉันคิดแค่ว่านี่คือรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม ต่อให้ตาลีบันจะตั้งผู้หญิงอยู่ในชุดรัฐบาลแม้แต่คนเดียว ฉันก็มองว่านั่นเป็นแค่การกระทำเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นว่ามีผู้หญิงเท่านั้น ไม่ได้มีความจริงใจอะไร
ตอนนี้คุณต้องออกมาอยู่นอกอัฟกานิสถานอีกครั้ง ขณะที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงคุณหลายคนยังอยู่ที่นั่น คุณรู้สึกอย่างไร
แน่นอนว่าฉันก็เป็นห่วงครอบครัวและเพื่อนฉันทุกคนที่นั่น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือฉันก็เป็นห่วงประชาชนอัฟกานิสถานทุกคน
ประเทศมหาอำนาจต่างๆ อาจจะบอกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการอพยพคนออกมา ป่าวประกาศว่าพาออกมาได้ถึง 150,000 คน อันนั้นฉันไม่เถียง แต่ประชาชนอีกกว่า 35 ล้านคนที่ถูกจองจำอยู่ที่นั่นล่ะ พวกคุณจะทำอย่างไร พวกเขากำลังหิวโหย ไม่มีงานทำ เหมือนกำลังเป็นคนไร้รัฐบนรัฐของตัวเอง พวกคุณจะรับผิดชอบอะไรได้บ้าง
โลกกำลังจับตาสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน ในฐานะที่คุณเป็นคนอัฟกัน คุณอยากจะสื่อสารอะไรให้โลกได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณและเพื่อนร่วมชาติในตอนนี้บ้าง
อย่ารับรองตาลีบันเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรม นี่คือสิ่งที่ฉันอยากพูดมากที่สุดในตอนนี้
สิ่งที่ฉันอยากให้โลกเรียนรู้คือว่า สันติภาพไม่มีทางได้มาด้วยกระดาษเพียงไม่กี่แผ่น การลงนามในสัญญาต่างๆ ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าประเทศจะเกิดสันติภาพ แต่สันติภาพเกิดขึ้นได้จากปัญญาความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตาลีบันไม่มี พวกเขาขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการเมืองและความเป็นสากลของโลก เพราะตาลีบันส่วนมากขาดการศึกษา พวกเขาไม่มีทางจะใช้ปัญญาความรู้ใดๆ มาสร้างสันติภาพได้
ที่ผ่านมา ประชาชนอัฟกานิสถานบาดเจ็บล้มตายมามากก็เพราะกลุ่มตาลีบัน ฉันเชื่อว่าตาลีบันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ศัตรูของคนอัฟกัน แต่เป็นศัตรูของมนุษยธรรม การนำอัฟกานิสถานไปประเคนให้กับตาลีบันอย่างง่ายดายจึงไม่ต่างจากการนำคนอัฟกันไปสังหารหมู่ครั้งยิ่งใหญ่