คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง เรื่อง
Thai Catholic Media – สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย ภาพ
ผมและภรรยาติดสอยห้อยตามคณะชาวคาทอลิคที่เดินทางไปร่วมการชุมนุมชาวคริสต์ที่ประเทศเมียนมาร์ จัดโดยสื่อมวลชนคาทอลิคแห่งประเทศไทย
การเดินทางครั้งนี้มีไฮไลต์อยู่ที่การเข้าร่วมพิธีมหาบูชามิสซา ซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬา Kyaikkasan Ground กรุงย่างกุ้ง โดยมีสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นประธานในพิธี ในวันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
เมื่อเราเดินทางไปถึงย่างกุ้ง หนึ่งวันหลังการเสด็จอย่างเป็นทางการ บรรยากาศในย่างกุ้งเต็มไปด้วยบิลบอร์ด โปสเตอร์และแผ่นป้ายต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปา นอกจากนี้ ถนนหนทางในย่างกุ้งยังเต็มไปด้วยรถราจากทุกสารทิศ ซึ่งเพิ่มดีกรีความแออัดของการจราจรในเมืองหลวงของพม่าเข้าไปอีก
ชาวคริสต์ในพม่ามีจำนวนประมาณ 7% ของประชากรทั้งหมด โดยเป็นชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค ประมาณ 2% และโดยมากกระจายกันอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น คะฉิ่น กะเหรี่ยง ฉาน ไต จัดว่าเป็นชนกลุ่มน้อยทั้งด้านชาติพันธุ์และศาสนา
ประวัติศาสตร์คริสตศาสนาในพม่าเริ่มต้นจากการเข้ามาของมิชชันนารีชาวโปรตุเกสในคริสตศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ปัจจุบันในคริสตจักรโรมันคาทอลิคของพม่ามีนักบวชดำรงตำแหน่งสูงสุดเป็นพระคาดินัล ซึ่งเป็นสมณศักดิ์สูงสุดรองจากสมเด็จพระสันตะปาปา
เช้ามืดของวันที่ 29 พวกเราที่เข้าร่วมพิธีต้องติดบัตรสำหรับเข้าร่วมและผ่านจุดคัดกรอง สนามกีฬาขนาดใหญ่ถูกจับจองพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้กับปะรำพิธีชั่วคราว
การจัดการดูแลแม้จะใช้อาสาสมัครจำนวนมาก แต่ก็ยังมีหลายจุดที่เกิดความสับสนวุ่นวาย ก็เห็นใจพี่น้องชาวคริสต์ในพม่าที่มีจำนวนไม่มากนักและเพิ่งเคยจัดงานใหญ่ขนาดนี้
ผมและภรรยาเนื่องจากติดบัตรผ่านธรรมดาไม่ระบุโซนที่นั่ง จึงไม่สามารถเข้าไปยังโซนภายในได้ สุดท้ายเราได้ที่นั่งยังเต๊นท์หนึ่ง ไม่ไกลจากปะรำพิธีนัก ชิดกับรั้วรอบนอกปะปนกับชาวพม่าและชาติอื่นๆ โดยหวังว่าจะได้ยลโฉมพระสันตะปาปาสักแวบหนึ่งก็ยังดี
พระสันตะปาปาฟรานซิส ได้กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงหลังการรับตำแหน่งของพระองค์ ด้วยความเปลี่ยนแปลงหลายประการในคริสตจักร เป็นต้นว่า ทรงดำเนินกิจวัตรประจำวันและใช้ข้าวของส่วนพระองค์อย่างประหยัดและเรียบง่ายไม่ต่างจากสมัยยังเป็นพระคาดินัล ที่สำคัญ คือการให้ความช่วยเหลือต่อคนยากจน การไม่ถือธรรมเนียมและยศศักดิ์รวมทั้งความเป็นกันเอง
ความเมตตาอาทรเช่นนี้ ทำให้ทรงได้รับฉายาว่า พระสันตะปาปาของประชาชน
การเสด็จเยือนเมียนมาร์ครั้งนี้จึงดึงดูดชาวคริสต์นอกนิกายโรมันคาทอลิกและศาสนิกอื่นๆ ผู้ชื่นชมในพระจริยวัตรของพระองค์ ซึ่งรวมทั้งผมและภรรยาด้วย
การเสด็จเยือนครั้งนี้ใช้ตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการว่า “Love & Peace” ด้วยรักและสันติภาพ เพื่อจะสื่อว่าพระองค์เป็นมิชชันนารีแห่งความรักและสันติภาพ
“ข้าพเจ้ามาเพื่อประกาศพระวรสารของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นสาส์นแห่งการคืนดีกัน การให้อภัย และสันติภาพ” จากวิิิิิดีโอที่ทรงตรัสถึงชาวเมียนมาร์ก่อนการเสด็จเยือนในครั้งนี้
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จเยือนเมียนมาร์เป็นประเทศที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากทรงเยือนฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีชาวคริสต์เป็นประชากรมากที่สุดในภูมิภาคนี้
คำถามที่นักวิเคราะห์สนใจ คือเหตุใดทรงเลือกเมียนมาร์ ทั้งๆ ที่ชาวคริสต์มีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ซึ่งเคยได้ต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่สองมาแล้ว
คำตอบน่าจะเดาได้จากสถานการณ์ความรุนแรงที่มีต่อชาว “โรฮิงญา” ในเมียนมาร์ ซึ่งพระสันตะปาปาทรงเปิดเผยในภายหลังว่า ทรงหวังจะพบกับผู้อพยพชาวโรฮิงญาสักที่หนึ่งไม่ว่าจะเป็นในเมียนมาร์หรือบังคลาเทศซึ่งเสด็จหลังจากเยือนเมียนมาร์แล้ว
ทั้งนี้ในระหว่างเสด็จเยือนเมียนมาร์ ก็ไม่ได้ตรัสถึง “โรฮิงญา” ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับกลุ่มผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน โดยผู้นำพระศาสนจักรท้องถิ่นได้ขอร้องพระองค์ไม่ให้ทรงใช้คำนี้ในระหว่างการเสด็จเยือน
ในเมียนมาร์เอง มีความพยายามที่จะเรียกชาวโรฮิงญาว่า “เบงคอลี” หรือคนเบงคอล เพื่อแสดงให้เห็นว่า ชาวโรฮิงญานั้นไม่ใช่ชาวพม่า คำนี้จึงเป็นคำที่อ่อนไหวในทางการเมืองของเมียนมาร์ในเวลานี้อย่างยิ่ง
แต่สมเด็จพระสันตะปาปาเองได้เคยตรัสคำนี้มาก่อน ในช่วงที่ทรงประณามการใช้ความรุนแรงในพม่า และท้ายที่สุดได้ตรัสคำนี้ที่กรุงธากา เมืองหลวงของบังคลาเทศ ระหว่างพบผู้อพยพชาวโรฮิงญา โดยทรงให้เหตุผลในภายหลังต่อการไม่ตรัสคำนี้ว่า เพื่อไม่เป็นการปิดโอกาสที่จะได้เข้าหารือกับผู้นำระดับสูงของเมียนมาร์ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
อีกทั้งเราอาจเข้าใจได้ว่า ทรงจำเป็นจะต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของชาวคริสต์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในพม่าด้วย
เวลาประมาณแปดโมงเช้า เสียงซาวด์ระฆังเรียกมิสซาดังขึ้นรอบสนามกีฬา เป็นสัญญานให้ทุกคนรู้ว่า พิธีสำคัญกำลังจะเริ่มขึ้น แต่ในช่วงที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว รถโป๊บโมบิล หรือรถเปิดกระจกสำหรับพระสันตะปาปาก็แล่นเข้ามาอย่างช้าๆ ในเส้นทางระหว่างจุดที่นั่งต่างๆ สร้างความฮือฮาให้กับทุกคนในบริเวณพิธีซึ่งรอช่วงเวลานี้มานาน
สมเด็จพระสันปาปาฟรานซิส ทรงแย้มพระสรวล และโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนที่มารอเฝ้า ชั่วไม่กี่วินาทีที่โป๊บอยู่ใกล้ชิดและผ่านหน้าไป ดูจะทำให้พี่น้องชาวเมียนมาร์และชาติพันธุ์ต่างๆ ที่รอนแรมขึ้นเขาลงห้วยมาไกลแสนไกลพึงพอใจอย่างที่สุด ผมเห็นรอยยิ้มและดวงตาที่ฉ่ำชื้นของใครหลายคนในที่นั้น
พระสันตะปาปาทรงใช้เวลาในการพบปะเช่นนี้อยู่นานพอสมควร จากนั้นจึงทรงเริ่มพิธีมิสซา ซึ่งใช้ทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาลาตินปนกัน
ในภาค “บทภาวนาเพื่อมวลชน” นั้น มีการให้คนชาติพันธุ์ต่างๆ นำภาวนาด้วยภาษาถิ่นถึงหกภาษาด้วยกัน คือ ฉาน ฉิ่น ทมิฬ กะเหรี่ยง กะฉิ่น กะยาน
จากนั้นทรงเทศน์ด้วยภาษาสเปน และแปลเป็นภาษาพม่า ใจความทรงตรัสถึงบทอ่านจากพระวรสารดาเนียล และ เน้นถึง “ปรีชาญาน” ของพระเยซู ซึ่งนำมาสู่ความรักและการให้อภัย
ทรงตรัสถึง ความยากลำบากและอุปสรรคที่ศาสนิกจะได้รับ ทว่าให้รักษาความรักและความเมตตาไว้เสมอ
หลังจบพิธีมิสซาพี่น้องชาวคริสต์พากันเดินทางกลับ ผมได้เห็นอาสาสมัครเพื่อดูแลคนป่วยผู้พิการทำงานอย่างเข้มแข็ง ได้เห็นโรงทานและการแบ่งปันอาหารจำนวนมากแก่ผู้มาเข้าร่วม
หลังเข้าร่วมพิธีมิสซา สมเด็จพระสันตะปาปามีกำหนดการพิธีมิสซาที่อาสนวิหารเซนต์แมรี่ กรุงย่างกุ้ง เพื่อทรงพบปะกับเยาวชน ก่อนจะเสด็จยังบังคลาเทศ
วันเดียวกันนั้นผมและพี่ๆ ในคณะสื่อมวลชนคาทอลิคไปเยือนวัดนักบุญแอนโทนี่ ซึ่งเชื่อกันว่า บุญราศีนิโคลาส บุญเกิด บุญราศี (บุคคลศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะได้รับสถาปนาเป็นนักบุญ) ชาวไทยได้เคยมาเยือน
ที่วัดนักบุญแอนโทนี่ เราพบว่า ชาวคาทอลิคชนเผ่าจำนวนมากได้มาพักอาศัยชั่วคราวเพื่อรอเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาในกรุงย่างกุ้ง โดยวัดได้จัดหาเต็นท์พักและอาหารดูแลคนตลอดทั้งบริเวณวัด