อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
ใช่ว่าจะมีปัญหาเฉพาะการใช้อำนาจรัฐ นักการเมือง ข้าราชการประจำ ตำรวจ ทหาร หรือสถาบันกษัตริย์ ฯลฯ แต่เพียงเท่านั้น หลายปีที่ผ่านมา เป้าหมายหนึ่งซึ่งผู้คนในสังคมเรียกร้องต้องการให้มีการปฏิรูป เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงให้ดีขึ้นก็คือสื่อมวลชน ผู้ประกอบวิชาชีพนำเสนอข้อมูลข่าวสาร รายงานเหตุการณ์ความจริงไปสู่ประชาชน
จากเคยเป็นที่ยอมรับถึงสถานะ บทบาทในการทำหน้าที่ตรวจสอบ สร้างความโปร่งใส เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชน ทุกวันนี้ สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุตลอดจนโซเชียลมีเดีย ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าถึงการนำเสนอข่าวสารโดยปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคมอันเป็นส่วนรวม ขาดจริยธรรม ไม่มีความเป็นกลาง เอื้อประโยชน์ให้กับบางฝ่าย
ถูกกล่าวหาถึงขนาดว่ากระทำการหรือเข้าไปมีส่วนร่วมในการประกอบอาชญากรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมในลักษณะต่างๆ อาทิ เป็นกระบอกเสียงหรือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ เผยแพร่เฟกนิวส์หรือข่าวปลอมให้กับระบอบปกครองเผด็จการทรราช
บ้างใช้สื่อในมือหลอกลวงปั่นหุ้น บ้างต้มตุ๋นประชาชนให้ตกเป็นเหยื่อสินค้า อาหารเสริม
บ้างแสวงหารายได้ ความมั่งคั่ง ชื่อเสียงจากข่าวดรามา ไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม นำเสนอภาพและข่าวอันมีเนื้อหาละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
หลายครั้งหลายหนที่สื่อมวลชนได้เข้าไปมีส่วนสำคัญในวิกฤตการณ์ สร้างความเสียหายร้ายแรงกับประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการใช้วิทยุทหารปลุกระดมความเกลียดชัง หนังสือพิมพ์บางฉบับปลุกปั่นตกแต่งภาพจนนำไปสู่การสังหารหมู่นิสิตนักศึกษาใจกลางเมืองหลวง หรือบทบาทของวิทยุ จส.100 และโทรทัศน์ทหารในเหตุการณ์ความรุนแรงเดือนพฤษภาคม 2535 ฯลฯ
ท่ามกลางกระแสเรียกร้องต้องการที่จะเห็นสื่อสารมวลชนคุณภาพ มีจรรยาบรรณ สำเหนียกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ในขณะที่สื่อมวลชนเองมักจะกล่าวอ้างว่า เสรีภาพสื่อคือเสรีภาพของประชาชน
ไม่รู้เหมือนกันว่าบ้านอื่นเมืองอื่นมีหรือเปล่า ที่คนข่าวสื่อมวลชนต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ติดคุกติดตะราง พ้นโทษจากเรือนจำไม่ทันไรก็ออกมาลอยหน้าลอยตา ประกอบวิชาชีพทำหน้าที่รายงานข่าวสาร วิเคราะห์วิจารณ์เหตุการณ์บ้านเมือง วิพากษ์สิ่งนั้นผิดสิ่งนี้ถูก คนนั้นดีคนนี้ไม่ดี
เป็นกรณีของการต้องโทษลงทัณฑ์ในคดีความผิดทางการเมือง ติดคุกติดตะรางเพราะเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน โดนจำขังเพราะต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการก็ว่าไปอย่าง สมควรได้รับการยกย่องชื่นชม ไม่มีประเด็นให้ต้องถกเถียงกันว่า จะกลับมาประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนได้หรือไม่
แต่นี่ที่เห็นกลับเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ไม่ยักยอกก็ฉ้อโกง เป็นเรื่องของพฤติกรรมคดในข้องอในกระดูก หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เม้มผลประโยชน์อันเป็นรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งล้วนไม่สมควรเป็นแบบอย่างให้กับสังคม
คนหนึ่งนั้นเป็นผู้เฒ่า ศาสดาของใครหลายคนซึ่งนิยมสวมใส่เสื้อสีเหลือง ที่วันนี้ออกมาลอยหน้าลอยตาเล่าเรื่องวิพากษ์วิจารณ์สังคมเป็นตุเป็นตะ ชี้หน้าด่าประณามไปทั่ว คนนั้นชั่ว คนนี้เลว ทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งพ้นคุกพ้นตะรางมาด้วยข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ทำรายงานเท็จค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทยพันกว่าล้านบาท ต้องคำพิพากษาจำคุกรวม 85 ปี ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 42 ปี 6 เดือน แต่ในคดีความผิดหลายกรรมต่างกัน กฎหมายให้ศาลลงโทษได้ไม่เกิน 20 ปี
หรือกรณีของกรรมกรข่าว ไอดอลของใครหลายคน ซึ่งตอนนี้กำลังมีเสียงเรียกร้องต้องการให้กลับมาทำหน้าที่เล่าข่าวอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังถูกจองจำ นั่นก็ต้องโทษทัณฑ์ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐกระทำความผิด ยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลา
รายนี้ถึงขนาดองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันออกมาเคลื่อนไหวจนต้องหยุดทำหน้าที่ ก่อนศาลจะมีคำพิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือน ลดโทษเหลือจำคุก 6 ปี 24 เดือน
จริงอยู่ว่าโดยหลักทัณฑวิทยา การลงโทษมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้แก้ไข ปรับปรุงตัวเองกลับมาเป็นคนดีอยู่ร่วมในสังคมภายหลังจากพ้นโทษ และสังคมควรให้โอกาสผู้เคยต้องโทษลงทัณฑ์ แต่เรือนจำก็ไม่ใช่แม่น้ำคงคาที่สามารถลงไปชำระบาปคราบมลทินให้หายไปได้
การผ่านคุกผ่านตะรางมาแล้วก็ไม่ได้ทำให้กลายเป็นผู้มิมีมลทินมัวหมอง และเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับความเหมาะสม สมควรในการกลับเข้าสู่วิชาชีพบางสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ เกี่ยวพันถึงความน่าเชื่อถือไว้วางใจ
ไม่เช่นนั้นคงไม่มีระเบียบราชการกำหนดคุณสมบัติ ข้อจำกัด ห้ามมิให้บุคคลซึ่งต้องคำพิพากษาจำคุกในคดีอาญาเข้ารับราชการ ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ฯลฯ
จะไปอยู่เบื้องหลัง ไปวาดรูป ร้องเพลง ฯลฯ คงไม่มีใครว่า ให้โอกาสเต็มที่
แม้วิชาชีพสื่อมวลชนจะไม่ได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของคนข่าว พิธีกร แต่ก็คงไม่ได้หมายความว่าขอแค่คลำดูแล้วไม่มีหาง ใครจะมาทำอาชีพนี้ก็ได้
แต่ก็นั่นแหละ จะไปหาคุณค่ามาตรฐานอะไรในบ้านเมืองนี้ที่ภูมิคุ้มกันความถูกต้องดีงามบกพร่อง กำลังเผชิญกับโรคระบาดทางจริยธรรมอย่างรุนแรง บ่อนทำลายสติปัญญาผู้คนจนถึงขนาดพูดจาสื่อสารกันไม่รู้เรื่องรู้ราว แม้จะใช้ภาษาเดียวกัน
น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าโควิด-19 เสียอีก
แอบอ้างประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่เนื้อหาสาระ พฤติกรรมการกระทำเป็นเผด็จการอำนาจนิยมโดยแท้
หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่เรียกร้องต้องการให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ปรารถนาเห็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น กลับกล่าวหาว่า ลูกหลานพยายามโค่นล้มทำลาย
อ้างว่าเป็นประเทศซึ่งปกครองภายใต้หลักนิติรัฐ ยึดมั่นในนิติธรรม แต่วันดีคืนดีมีการจับกุมคุมขังเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ในข้อหากระทำความผิดฐานใส่เสื้อครอปท็อป เอวลอย, แต่งชุดไทย แสดงท่าย่อตัว, ขีดเขียนหรือโพสต์ข้อความบางประโยค ทั้งๆ ที่มิได้เป็นถ้อยคำต่ำช้าสามานย์ หยาบคาย ไม่สุภาพ โกหกมดเท็จ สาดโคลน ใส่ร้ายป้ายสี หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้าย ฯลฯ แต่ประการใด
ตะบี้ตะบันบังคับใช้กฎหมายไม่รู้จักบันยะบันยังอย่างนี้ สักวันมิต้องจับกุมคุมขังประชาชนในข้อหาความผิดฐานคิดในใจหรอกหรือ
หัวร่อไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกกลัวจะเป็นความผิด
ประทานโทษเถอะ ต่อไปจะอบรมกุลบุตรกุลธิดา บอกอย่าได้เกียจคร้าน ให้รู้จักทำงานทำการเป็นประโยชน์เสียบ้าง หรือสั่งสอนบุตรหลานว่าอย่าเอาแต่บ้าผู้หญิง หมกมุ่นในสตรีเพศเลยนะลูกเอ๋ย ฯลฯ มิต้องปรึกษาทนาย สอบถามนักกฎหมายก่อนหรือว่าสามารถกระทำได้หรือเปล่า
ใครไปแน่ใจว่าจะไม่ถูกเอาผิด? หากบ้าจี้บังคับใช้กฎหมายโดยไม่คำนึงถึงมโนธรรมสำนึก ความถูกต้องใดๆ
ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ ตั้งข้อสังเกตถึงเหตุที่ประชาชนคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ล่าช้ากว่าประเทศอื่นก็ไม่ได้ ผิดมาตรานั้นมาตรานี้
จะเอาโทษอุกฉกรรจ์ให้ได้
กองทัพเมียนมาทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ร้อนท้อง มีกระบอกเสียงออกมาแก้ต่างแก้ตัว ประชาชนบ้านเขาออกมาต่อต้านเผด็จการทหารก็สะดุ้ง
เพราะจริยธรรมเสื่อมทราม คุณค่า มาตรฐานต่างๆ เสื่อมถอย จึงหวาดระแวงไปเสียทุกอย่าง