วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เรื่อง
การผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบม้วนเดียวจบในฤดูกาล 2017/18 ไม่ได้ส่งผลสะเทือนเฉพาะกับเมืองแมนเชสเตอร์และประเทศอังกฤษเท่านั้น
แต่นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่สำหรับวงการลูกหนังโลก
ยุคที่สโมสรฟุตบอลต้องเปลี่ยนสถานะเป็น บรรษัทข้ามชาติ (multinational corporation) เท่านั้น จึงจะประสบความสำเร็จในลีกชั้นนำได้
การเป็นแชมป์ลีกสองครั้งก่อนของแมนฯ ซิตี้ ในปี 2011/12 และ 2013/14 อาจเป็นเรื่องของการใช้เงินมหาศาลกว้านซื้อนักเตะดังที่ถูกวิจารณ์ แต่การคว้าแชมป์ปีล่าสุดมีนัยไปไกลกว่านั้นมาก
บนสนามแข่ง เราเห็นสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนไปตามแนวทางของโค้ชเป๊ป กวาร์ดิโอลา
แต่การเปลี่ยนแปลงและความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอยู่นอกสนาม
เพราะทีมแมนฯ ซิตี้ ยุคปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “บรรษัทฟุตบอลข้ามชาติ” ที่มีเครือข่ายครอบคลุม 5 ทวีปทั่วโลก
เป็นโมเดลใหม่ที่กำลังสั่นสะเทือนทั้งวงการฟุตบอลและวงการธุรกิจ
จากเถ้าแก่น้อยสู่เจ้าสัวใหญ่
ในแง่ความเป็นเจ้าของ โลกฟุตบอลเคยผ่านการเปลี่ยนแปลงสำคัญมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรก คือการเปลี่ยนมือจากเจ้าของระดับท้องถิ่นมาเป็นกิจการของเศรษฐีระดับชาติ
ครั้งที่สองคือ การเปลี่ยนมือจากเศรษฐีระดับชาติมาเป็นเจ้าสัวระดับโลก
เช่น ในบรรดาสโมสรฟุตบอลจากพรีเมียร์ลีก 20 ทีมในฤดูกาลที่ผ่านมา มีเพียง 7 ทีมเท่านั้นที่มีคนอังกฤษเป็นเจ้าของ ส่วนที่เหลือล้วนมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่มาจากต่างแดนทั้งสิ้น อาทิ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน หรือแม้แต่ไทย
ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์อันเชี่ยวกราก พลังเงินปอนด์พ่ายแพ้ต่อพลังรูเบิลและพลังหยวนไปแล้ว
แมนฯ ซิตี้ก็เป็นหนึ่งในทีมที่มีเจ้าของเป็นคนต่างชาติ คือ ชีค มานซูร์ (Sheikh Mansour) แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
แต่ยุทธศาสตร์ของชีค มานซูร์ ไม่ได้จบลงที่แมนฯ ซิตี้เท่านั้น เป้าหมายของเขาอยู่ที่การสร้างเครือข่ายอาณาจักรลูกหนังระหว่างประเทศ
เป็นอาณาจักรที่ทีมจากต่างทวีปอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งเดียวกัน สามารถโยกย้ายถ่ายเทนักเตะและข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทีมฟุตบอล และเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรของธุรกิจไปพร้อมกัน

สองกุนซือของ City Football Group
ชีค มานซูร์ ก่อตั้ง City Football Group (CFG) ขึ้นในปี 2008 เพื่อเข้าซื้อสโมสรแมนฯ ซิตี้ เขาใช้เวลา 4 ปีและเงินลงทุนราว 1,000 ล้านปอนด์ ในการยกระดับแมนฯ ซิตี้ จากทีมกลางตารางสู่บัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2011/12
แต่นั่นเป็นเพียงก้าวแรกของเป้าหมายระดับโลกเท่านั้น
ยิ่งถูกวิจารณ์ว่าแมนฯ ซิตี้ เป็นเพียงของเล่นเศรษฐีที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จ ชีค มานซูร์ยิ่งต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า CFG เป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จได้ทั้งในโลกลูกหนังและโลกธุรกิจ
มือขวาของชีค มานซูร์ ผู้ผลักดันโมเดลธุรกิจฟุตบอลใหม่ คือ เฟอร์ราน โซริอาโน (Ferran Soriano) เจ้าของฉายา “เดอะ คอมพิวเตอร์” จากแคว้นคาตาลุญญา
โซริอาโนเป็นลูกชายช่างตัดผมจากเมืองเล็กๆ ข้างบาร์เซโลนา เขาสร้างตัวเองจนเป็นเจ้าของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ และสามารถก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานสโมสรบาร์เซโลนาระหว่างปี 2003 ถึง 2008 โดยเป็นผู้รับผิดชอบด้านการเงิน

ระหว่างนั้นเขาปฏิรูปสโมสรครั้งใหญ่ พลิกตัวเลขจากการขาดทุนสะสมมาเป็นผลกำไร จัดโครงสร้างองค์กรให้ก้าวหน้าขึ้น นำคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานด้านต่างๆ เป็นผู้ทำงานหลังบ้านอันแข็งแกร่ง เป็นรากฐานให้บาร์เซโลนาประสบความสำเร็จ สร้าง “ฤดูกาลมหัศจรรย์” ปี 2008/09 ที่สามารถคว้าแชมป์ทั้ง 6 ถ้วยตรงหน้าภายใต้โค้ชเป๊ป กวาร์ดิโอลา
ความฝันของโซริอาโนที่อยากทำสโมสรฟุตบอลให้เป็นกิจการระหว่างประเทศเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ช่วงเวลานั้น
แต่เนื่องจากบาร์เซโลนาเป็นสโมสรที่วางอยู่บนระบบสมาชิก (สมาชิก 143,000 คนออกเสียงโหวตได้) ทั้งยังฝังรากลึกอยู่กับแคว้นคาตาลุญญา เมื่อโซริอาโนเสนอโปรเจ็กต์บรรษัทฟุตบอลข้ามชาติให้กับผู้บริหารบาร์เซโลนา เขาจึงได้รับคำตอบเพียงสั้นๆ ว่า “You’re crazy.”
ไอเดียของโซริอาโนได้รับการผลักดันจริงจังเมื่อ ชีค มานซูร์ ชักชวนเขามาเป็นซีอีโอของแมนฯ ซิตี้ ในปี 2012
ด้วยเม็ดเงินของชีค มานซูร์ พิมพ์เขียวของโซริอาโนค่อยๆ กลายเป็นความจริง
5 ปีหลังจากเขาเป็นซีอีโอ CFG กลายเป็นเจ้าของสโมสรจำนวน 6 แห่ง ใน 5 ทวีปทั่วโลก คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (อังกฤษ) นิวยอร์ก ซิตี้ (สหรัฐอเมริกา) เมลเบิร์น ซิตี้ (ออสเตรเลีย) โยโกฮามะ เอฟ มารินอส (ญี่ปุ่น) แอตเลติโก ตอเฆ (อุรุกวัย) และคิโรน่า (สเปน)
นอกจากเข้าซื้อสโมสรในหลายทวีป CFG ยังมีสำนักงานในหลายประเทศ เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรด้านการฝึกซ้อมและแลกเปลี่ยนข้อมูลแมวมองกับสโมสรอื่นๆ อีกห้าแห่ง และกำลังมองหาทีมเป้าหมายต่อไปในจีนและแอฟริกา
แนวทางของ CFG คือการเข้าซื้อสโมสรระดับกลางที่มีศักยภาพแต่ราคาไม่แพง เพื่อยกระดับให้เป็นทีมชั้นนำของลีก
เช่นในปี 2017 CFG เจรจาซื้อ สโมสรคิโรน่า (Girona FC) ตั้งแต่ยังอยู่ลีกรอง จึงใช้เงินเพียง 3 ล้านปอนด์ในการซื้อหุ้น 44 เปอร์เซ็นต์ (หุ้นอีก 44 เปอร์เซ็นต์เป็นของบริษัทน้องชายเป๊ป กวาดิโอลาร์) ก่อนที่คิโรน่าจะเลื่อนชั้นมาสู่ลาลีกาเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2016/17
คิโรน่าสามารถจบฤดูกาลล่าสุดในลาลีกาด้วยอันดับที่สิบ อยู่เหนือทีมชื่อดังอย่าง เรอัล โซเซียดาด, เซลต้า บีโก้, แอธเลติโก บิลเบา
ที่สำนักงานใหญ่ในเมืองแมนเชสเตอร์ CFG เขียนหลักการ 3 ข้อไว้บนผนังว่า Beautiful football – Football citizenship – A Global approach
สะท้อนเป้าหมายในการสร้างทีมฟุตบอลที่มีการเล่นสวยงามด้วยยุทธศาสตร์ระดับโลก
เป็นยุทธศาสตร์ที่มีเป๊ป กวาดิโอลาร์ เป็นกุนซือในสนาม
มีเฟอร์ราน โซริอาโน เป็นกุนซือนอกสนาม
และสนับสนุนด้วยเงินทุนของชีค มานซูร์
พลังของบรรษัทฟุตบอลข้ามชาติ
การยกระดับทีมงานและสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นเป้าหมายแรกๆ ของ CFG
CFG ดึงตัวผู้บริหารจากบริษัทกีฬาชั้นนำอื่นๆ เช่น ไนกี้ มายังแมนเชสเตอร์ ปรับปรุงสนามแข่ง สนามฝึกซ้อม และอุปกรณ์กีฬา เพื่อให้พนักงานและนักเตะทุกคนรู้สึกว่าแมนฯ ซิตี้ ไม่ใช่เพียงสถานที่สำหรับทำงานชั่วคราวก่อนย้ายไปสโมสรที่ใหญ่กว่า แต่สามารถวางเป้าหมายการทำงานระยะยาวที่นี่ได้
ถัดจากการสร้างคนและสิ่งของในฐานที่มั่น ก็เป็นการวางระบบเพื่อแสวงหาประโยชน์จากการเป็นบรรษัทข้ามชาติให้ได้มากที่สุด
แต่ละสโมสรในเครือจะมีซีอีโอด้านธุรกิจ (ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจกีฬา) ทำงานคู่กับประธานด้านฟุตบอล (ที่มักเป็นนักเตะมาก่อน)
ปัจจุบัน CFG มีนักเตะในเครือประมาณ 400 คน (เป็นนักบอลชาย 240 คน) จึงมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ขององค์กรที่สามารถแบ่งปันระหว่างทีมในเครือข่าย เช่น การรักษาอาการบาดเจ็บของนักเตะที่เมลเบิร์นก็สามารถใช้เป็นฐานข้อมูลวิเคราะห์นักเตะในแมนเชสเตอร์ได้
ไม่เพียงแต่นักเตะเท่านั้น ฐานข้อมูลของ CFG ยังรวมถึงรายละเอียดของโค้ช แพทย์ประจำทีม นักสรีรวิทยา แมวมอง หรือแม้แต่ข้อมูลจากฝ่ายสื่อสารมวลชนของแต่ละสโมสรในเครือ
ทำให้ CFG สามารถจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต่างจากบริษัทธุรกิจขนาดยักษ์ที่มีบริษัทลูกกระจายอยู่ทั่วโลกอย่างแมคโดนัลด์ หรือโคคา-โคล่า
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการจัดการทีม เมลเบิร์น ซิตี้
CFG เข้าซื้อสโมสรเมลเบิร์น ฮาร์ท ของออสเตรเลียในปี 2014 ด้วยเงินทุน 12 ล้านดอลลาร์ จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อสโมสรเป็นเมลเบิร์น ซิตี้ เปลี่ยนสีโมสรเป็นสีฟ้า และนำทรัพยากรในเครือข่ายมาใช้สร้างทีม
วิธีโยกย้ายที่ง่ายและส่งผลเร็วที่สุดคือ การยืมตัวนักเตะระหว่างทีมในเครือ เช่น การยืมตัว ดาวิด บีย่า จากนิวยอร์ก ซิตี้ มายังเมลเบิร์น ที่สามารถทำได้ชั่วข้ามคืนโดยไม่ต้องต่อรองอะไรวุ่นวาย
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ การนำตัวนักเตะใหม่ที่เหมาะสมเข้าสู่ทีม เช่น การซื้อตัว บรูโน่ ฟอร์นาโรลี (Bruno Fornaroli) มาร่วมทีมเมลเบิร์น แม้ว่าฟอร์นาโรลีจะเป็นเพียงนักเตะระดับกลางที่ไม่ประสบความสำเร็จกับทีมใหญ่อย่างซามพ์โดเรีย แต่ CFG ประเมินทักษะความสามารถแล้วคิดว่าเหมาะสมกับการเล่นในลีกออสเตรเลียมาก
ผลก็คือ ฟอร์นาโรลีประสบความสำเร็จเหลือเชื่อกับเมลเบิร์น เขายิงไป 48 ประตูในสองฤดูกาล ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมทุกรางวัลของลีกออสเตรเลีย และพาทีมเป็นแชมป์บอลถ้วยในปี 2016 สองปีหลัง CFG เข้ามาซื้อและปรับโครงสร้างทีม
การลงทุนในแต่ละประเทศยังสามารถตอบ โจทย์ทางยุทธศาสตร์ ที่ต่างกันได้ด้วย
เช่น การลงทุนในอุรุกวัย มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การค้นหานักเตะพรสวรรค์ให้เจอตั้งแต่ยังเด็ก เพราะ อุรุกวัยเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกนักเตะต่อหัวประชากรสูงที่สุดในโลก
นักเตะที่เข้าสู่สโมสรในเครือ CFG ยังมีทางเลือกเพิ่มขึ้นโดยปริยาย เพราะหากไม่ประสบความสำเร็จหรืออายุมากเกินไปสำหรับการเล่นทีมใหญ่อย่างแมนฯ ซิตี้ ก็ยังมีโอกาสย้ายไปเล่นแบบถาวรหรือยืมตัวกับสโมสรอื่นๆ ในเครือข่ายได้
ในขณะที่นักเตะเยาวชนหรือนักเตะสำรองทีมอื่นๆ ทำได้เพียงฝึกซ้อมหรือแข่งในทีมชุดเล็กเพื่อรอวันขึ้นชุดใหญ่ ผู้เล่นของสโมสรในเครือ CFG สามารถลงเล่นในลีกจริงสนามจริงตั้งแต่อายุยังน้อย และสามารถไต่เต้าตามลำดับขึ้นมาได้จาก ตอร์เฆ –> นิวยอร์ก –> คิโรน่า –> แมนฯ ซิตี้ หากมีพัฒนาการที่ดีต่อเนื่อง
ราวกับว่า CFG มีลีกฟุตบอลเป็นของตัวเองเลยทีเดียว
ฟุตบอลในฐานะ Venture Capital
นอกจากโยกย้ายนักเตะที่มีอยู่ในเครือข่ายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว เป้าหมายขั้นต่อไปของ CFG คือ การฝึกนักเตะเยาวชนของตนเองให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลก เหมือนที่บาร์เซโลนาสามารถฟูมฟักดาวดังอย่าง ลิโอเนล เมสซี
หาก CFG สามารถปั้นนักเตะจากอคาเดมีของตัวเองขึ้นมาได้ตามแผน ก็จะได้ประโยชน์ทั้งในด้านการแข่งขันและมูลค่าซื้อขาย
โซริอาโนเห็นว่า การใช้เงินในฟุตบอลยุคปัจจุบันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำธุรกิจ Venture Capital เพราะการลงทุนพัฒนาเด็กที่มีแววซัก 10 คน ด้วยงบประมาณไม่กี่ล้านปอนด์ต่อคน เมื่อเวลาผ่านไปสิบปี หากมีนักเตะชั้นนำเกิดขึ้นเพียง 1 คนก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว เพราะเด็กคนนั้นอาจมีค่าตัวสูงถึง 100 ล้านปอนด์
ต่อให้นักเตะไม่ประสบความสำเร็จขั้นสูงสุด CFG ก็ยังสามารถขายทำกำไรได้ เพราะอย่างน้อยที่สุด นักเตะในเครือก็เป็นนักเตะที่ผ่านประสบการณ์การลงสนามจริงแล้ว
เช่น แมนฯ ซิตี้ ซื้อตัว Aaron Mooy มาจากเมลเบิร์น ซิตี้ ในปี 2016 ด้วยราคา 425,000 ปอนด์ แต่เมื่อนักเตะไปไม่ถึงขั้นเป็นตัวจริงของแมนฯ ซิตี้ ก็ถูกขายให้กับฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ ในปีต่อมา ด้วยราคา 8 ล้านปอนด์ ทำกำไรเกือบ 20 เท่าตัว
ในอีกด้านหนึ่ง ระบบของ CFG ก็สามารถดึงดูดนักเตะพรสวรรค์เข้ามาร่วมทีมได้ง่ายขึ้นด้วย
แม้แต่หลานชายแท้ๆ ของสตีเฟน เจอร์ราด ที่ลิเวอร์พูลอยากเซ็นสัญญาด้วย ยังตัดสินใจไปอยู่กับทีมเยาวชนของแมนฯ ซิตี้ เพราะได้รับข้อเสนอที่ดีกว่า ทั้งในด้านเครือข่ายทีมและสัญญาที่รวมถึงการสนับสนุนให้นักเตะเยาวชนได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนควบคู่ไปกับการฝึกซ้อมฟุตบอล
นี่คือพลังของเครือข่ายข้ามชาติ ที่มาพร้อมกับเม็ดเงินมหาศาลและโอกาสที่ยืดหยุ่น
แต่ก็ใช่ว่าเครือข่ายมหึมานี้จะส่งผลดีเสมอไป แม้จะมีแรงดึงดูดนักเตะพรสวรรค์เข้าสู่ทีม CFG ก็กำลังเผชิญปัญหา “สมองไหล” เช่นกัน
ถึง CFG จะลงทุนสูงมากกับการพัฒนาเยาวชน แต่โอกาสขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ก็ยังต่ำอยู่ดี โดยเฉพาะกับทีมชั้นนำอย่างแมนฯ ซิตี้ เนื่องจากโค้ชไม่กล้าเสี่ยงให้โอกาสผู้เล่นหน้าใหม่ลงสนาม โดยเฉพาะในเวทีที่มีการแข่งขันเข้มข้นอย่างพรีเมียร์ลีกหรือฟุตบอลยุโรป
แต่ปัญหาสมองไหลก็สามารถลดลงได้ ถ้า CFG มีสโมสรชั้นนำในเครือข่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทีมเกรดเอในระดับเดียวกับแมนฯ ซิตี้
ความท้าทายของผู้คุมกฎและแฟนบอล
การเป็นบรรษัทข้ามชาติของ CFG ยกระดับพลังของสโมสรในเครืออย่างก้าวกระโดด เพราะแต่ละทีมจะได้รับประโยชน์จากการอยู่ในเครือข่ายที่ทรัพยากรทุกอย่างสามารถหมุนเวียน แบ่งปัน และโยกย้าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านฟุตบอลและการบริหารจัดการ
แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
โมเดลบรรษัทฟุตบอลข้ามชาติจะประสบความสำเร็จเพียงใด ย่อมขึ้นกับความสำเร็จบนสนามของแมนฯ ซิตี้ด้วย
หากแมนฯ ซิตี้ สามารถครองบัลลังก์พรีเมียร์ลีกได้ยาวนานและก้าวขึ้นมาเป็นเจ้ายุโรปทัดเทียมกับเรอัล แมดริด และบาร์เซโลนาได้ในอนาคต ย่อมเป็นแรงจูงใจให้สโมสรอื่นกระโจนเข้าสู่โมเดลนี้มากขึ้น
แต่ถ้า CFG กลายเป็นโมเดลใหม่ในวงการฟุตบอลได้จริงเมื่อใด ความท้าทายย่อมตกอยู่ที่ผู้คุมกฎอย่างสมาคมฟุตบอลของแต่ละลีก หรือองค์กรระหว่างประเทศอย่างสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป
ในทำนองเดียวกับที่รัฐชาติและองค์กรระหว่างประเทศปวดหัวกับการจัดการบรรษัทธุรกิจข้ามชาติ
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ความพยายามของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรปที่ต้องการจำกัดการใช้เงินของแต่ละสโมสรไม่ให้สูงเกินไป (UEFA Financial Fair Play Regulations) เพื่อลดอิทธิพลของเงินตราต่อการแข่งขันฟุตบอล และป้องกันไม่ให้ช่องว่างระหว่างสโมสรขนาดใหญ่กับสโมสรขนาดเล็กถ่างออกไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี เมื่อสโมสรฟุตบอลกลายเป็นกิจการข้ามชาติ การกำหนด ราคาโอน (transfer pricing) ระหว่างสโมสรก็จะทำได้ง่ายมาก เช่น การตั้งราคาการซื้อขายนักเตะเพื่อตัวเลขทางบัญชีที่ต้องการ โดยไม่ต้องสนใจราคาที่แท้จริงในตลาด เมื่อนั้น กฎระเบียบที่วางไว้ก็เป็นเพียงเสือกระดาษเท่านั้น
สมดุลระหว่างประสิทธิภาพกับความเป็นธรรมก็จะกลายเป็นปมเงื่อนใหญ่ในวงการลูกหนังยิ่งกว่าที่เป็นอยู่แล้วในปัจจุบัน
ความรู้สึกของแฟนบอลก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของโมเดลนี้
CFG หวังจะเปลี่ยนใจแฟนบอลให้ได้เหมือนที่เปลี่ยนสีสโมสรในเครือเป็นสีฟ้า
แฟนบอลเมลเบิร์น ซิตี้ น่าจะเริ่มมีใจหันมาร่วมเชียร์ “ทีมพี่” อย่าง แมนฯ ซิตี้ ด้วย
แต่อย่าลืมว่าจุดกำเนิดของฟุตบอลคือความรักท้องถิ่น ความจงรักภักดีต่อทีมเชื่อมโยงกับ “ท้องถิ่นนิยม” อย่างแนบแน่น
ถ้าจัดการไม่ดี แฟนบอลเมลเบิร์นอาจหันไปเชียร์ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทน และอาจพานเลิกเชียร์เมลเบิร์นไปด้วย
นี่ก็เป็นโจทย์สำคัญที่บรรษัทธุรกิจข้ามชาติเผชิญมาก่อนเช่นกัน
อ้างอิง
- ข้อมูลบริษัท CFG
- “Inside the City Football Group: how Manchester City’s network of clubs is methodically taking control”
- “Manchester City’s plan for global domination”
- “Ferran Soriano is the man to match Manchester City’s ambitions”